เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Solo Trip - ABC Trek ไปเนปาลครึ่งเดือนยังไงไม่ถึง 30,000มนุษย์ที่สังเคราะห์แสงได้
Nayapul > Poonhill บันทึกเส้นทางขาขึ้น (1)
  • Day 3            

    Pokhara > Nayapul > Ulleri

                วันนี้ซอบินมาหาเราแต่เช้ามาก อาการของเราที่แย่ ๆ เมื่อวานก็เริ่มดีขึ้นเกือบร้อยเปอร์เซ็น ซอบินให้เรากินข้าวเช้าที่ที่พักเลย แล้วเดี๋ยวค่อยเดินทางไป Nayapul เมืองเริ่มต้นของการเทรคกิ้งเส้นนี้  เราสั่งฮอทดอกกิน แล้วตกใจมาก คือชิ้นใหญ่มาก นั่งกินนานมากกว่าจะหมด
                 

                 พอมื้อเช้าเรียบร้อย เราก็มานั่งคุยเรื่องรถที่จะเหมาไปกัน ซอบินเสนอราคามาให้แล้วเราไม่ไหว เราขอต่อราคา แต่ราคาที่ได้ก็ยังแพงไปสำหรับเรา เพราะมาคนเดียวด้วยแหละ ถ้ามีเพื่อนมาช่วยหารก็น่าจะดี พอตกลงราคาได้ ซอบินก็เรียกรถมารับ เพื่อเริ่มต้นทริปเทรคกิ้งเส้น ABC 10 วัน 
     
    เห็นเงาหิมาลัยลาง ๆ ข้างหลังไหม ไม่ใช่ก้อนเมฆนะ

                 ความจริงเมืองแถบนี้เป็นเมืองที่เห็นวิวหิมาลัยไกล ๆ เยอะมาก แต่ช่วงที่เราไปหมอกหนา เลยหายากหน่อย ต้องนั่งรถออกไปสักพักถึงได้เห็นเงาหิมาลัยลาง ๆ แค่ได้เห็นเงาหิมาลัยก็เริ่มตื่นเต้นแล้ว!!! 

                 เรานั่งรถไปเป็นชั่วโมง วิวข้างทางเริ่มเปลี่ยนจากอาคารบ้านเรือนเป็นวิวธรรมชาติที่แห้งแล้ง

    รถที่เหมามาที่นายาปุลจะประมาณนี้

    วิวตอนใกล้จะถึงประมาณนี้

                  จุดเดินขึ้นจะคล้าย ๆ กับทางขึ้นดอยที่บ้านเรา มีของที่จำเป็นขาย มีนักท่องเที่ยวเยอะ พอลงรถซอบินก็เตรียมจัดการเรื่องกระเป๋า และไม้เทรคให้ เช็คความเรียบร้อยทุกอย่าง วิวตอนเดินขึ้นแรก ๆ เป็นวิวภูเขาและทุ่งนาทั่วไปคล้ายบ้านเรา มีจุดแวะพักเป็นระยะ ๆ แดดยังร้อนอยู่มาก


    ลำธารน้ำใส ๆ ช่วงทางเดินขึ้น


                    วิวตอนเดินขึ้นแรก ๆ เป็นวิวภูเขาและทุ่งนาทั่วไปคล้ายบ้านเรา มีจุดแวะพักเป็นระยะ ๆ แดดค่อนข้างร้อนเลยแหละ



                 ตอนนั้นเราเดินไปได้ไม่กี่เมตรก็เหนื่อยมากแล้ว ซอบินบอกว่าเป็นเรื่องปกติ เราเดิน ๆ หยุด ๆ บ่อยมาก ส่วนซอบินก็เดินตัวปลิวมาก เวลาเราขอพัก ซอบินก็จะบอกว่า เดี๋ยวไปพักเอาข้างหน้าที่จุดพักดีกว่า 

                  กว่าจะถึงจุดพักนี่จะขาดใจตายมาก เริ่มคิดละว่า ไหวเหรอ 55555 ซอบินน่าจะเห็นแล้วแหละว่าเราเดินได้ช้ากว่าคนทั่วไป และหน้าตาหมดแรงมาก เลยซื้อกล้วยให้กินเติมพลัง 2-3 ลูก

                 มื้อแรกของการเทรค เราสั่งแค่ไข่เจียวกับชาดำ แล้วก็เอาอาหารสำเร็จรูปที่พกไปมากินกับไข่เจียว และออกเดินทางต่อ



    จากนั้นเริ่มเข้าเขตหมู่บ้าน และบันไดหิน 



    เราเจอน้องหมาน่ารักหนึ่งตัว

            


    เจอม้าผอมซูบอีกหนึ่งตัว



    และบันไดหินแบบไม่รู้จบ เราเริ่มรู้สึกดีที่เลือกจ้างลูกหาบ ไม่ง้้นตายแน่ ๆ



    เราต้องเดินข้ามสะพานด้วยนิดหน่อย 

              ซอบินมักเดินตัวปลิวแล้วไปนั่งรอเราชิว ๆ เพราะยิ่งชวนเราคุยมาก เราก็จะยิ่งเหนื่อยมาก        ซอบินเลยเลือกให้เราเดินเงียบ ๆ ให้ร่างกายปรับตัวก่อน แล้วค่อยคุยกันตอนจุดพัก พอเราเดินขึ้นไปถึงจุดสูง ๆ  ซอบินก็จะให้เรามองลงไปข้างล่าง ให้ดูว่าเรามาไกลแค่ไหนแล้ว

                 เราถึงที่พักช่วงเย็น ๆ ยอมรับว่าวันนี้เหนื่อยมากจริง ๆ เหนื่อยจนอยากถอดใจ แต่ถอดไม่ได้ เสียดายตัง 55555 เหนื่อยจนไม่ได้ถ่ายภาพมาเยอะ

                ห้องพักคืนแรกสภาพดีเลย มีที่ชาร์จไฟได้ฟรี น้ำร้อนฟรี เราล้างหน้าล้างตา แล้วก็ไปสั่งข้าวกิน คืนนั้นน่าจะกินซุปมาม่า กินเสร็จก็มานั่งเขียนไดอารี่ เขียนไปสักพักไฟดับ สักพักไฟก็มา ติด ๆ ดับ ๆ ไปหลายรอบ ถือเป็นเรื่องปกติของที่นี่ เราเขียนไดอารี่เสร็จก็พักผ่อน น่าจะนอนประมาณ 2 ทุ่มได้ 

                ก่อนนอนเรานึกถึงที่ซอบินบอกว่าวันที่ยากที่สุดคือ วันแรกและวันที่ลงจาก ABC ถ้าเราผ่านวันแรกไปได้ ทุกอย่างจะง่ายขึ้น วันนี้เราผ่านวันแรกไปแล้ว หวังว่าวันต่อ ๆ ไป จะดีขึ้น  ^^

  • Day 4

    Ulleri > Ghorepani

               ซอบินให้เราเริ่มเดินทางประมาณ 7.30 - 8.00 น. ซอบินบอกว่าทางวันนี้ไม่ยากเท่าเมื่อวาน ไม่มีบันไดเยอะมากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เดินเข้าป่าและทางเป็นพื้นดิน
               ระหว่างเดินออกจากโซนหมู่บ้าน เราเห็นซอบินทักทายกับลูกหาบอีกกรุ๊ป ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับซอบิน กรุ๊ปนั้นมีเทรคเกอร์ 3 คน เป็นชาวจีน 2 คน ชื่อ โคลอี้ กับเดเร็ค มาเทรคเส้น Poon Hill และชาวฮ่องกง 1 คน ชื่อ ไรอัน เทรคเส้น ABC เหมือนกัน
                โคลอี้เริ่มเข้ามาคุยกับเรา และเราก็คุยกันไปเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีเราก็รวมกรุ๊ปเดินไปด้วยกัน 4 คนแล้ว โคลอี้น่ารักมาก เป็นผู้หญิงสดใสและเฟรนด์ลี่มาก นางบอกว่านางเหงาเพราะทั้งกรุ๊ปมีแต่ผู้ชาย และนางก็เดินรั้งท้ายตลอด มีเราเป็นเพื่อนค่อยรู้สึกดีขึ้น 555555

                 ทางเดินช่วงครึ่งวันแรกจะเป็นทางเดินไปน้ำตก อากาศชื้นหน่อย ๆ แต่สดชื่นดี ไม่ร้อน

    เราจะเห็นธงสี ๆ นี้ประดับอยู่ระหว่างทางเดินเรื่อย ๆ 

    มีน้ำตกเล็กให้เราเดินผ่าน 2 - 3 จุด

                   ประมาณเที่ยง เราแวะกินอาหารกลางวันที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ข้างทาง เราว่าเราไม่เหนื่อยไม่มาก เลยสั่งแค่ onion soup มา คิดว่าน่าจะเป็นซุปข้น น่าจะอยู่ท้องแหละ

                   แต่...มันคือซุปใสจ้า และมีแค่น้ำซุปจริง ๆ ไม่มีเนื้อ ไม่มีหนัง ไม่มีแม้แต่หอมใหญ่เป็นชิ้น ๆ มีแต่วิญญาณหอมใหญ่ล่องลอยอยู่ เอาจริงคือตกใจกับอาหารมาก แต่ก็แบบ สั่งมาแล้วอ่ะ สั่งเพิ่มก็เสียตังอีก กินไปเหอะ เพื่อนอีกสามคนก็ตกใจเหมือนกัน และไม่เชื่อว่าเรากินได้ เราก็บอกว่าไอโอเค ไอกินได้ ไอกินน้อย (แม้ในใจจะแบบแย่แน่) 

                  โคลอี้กับเดเร็คกสั่งมาม่ามากินด้วยกันถ้วยใหญ่ เลยแบ่งมาม่าให้เราส่วนหนึ่ง ไรอันก็สั่งโมโม่มา และแบ่งให้เราหนึ่งชิ้น ทุกคนกลัวเราหมดแรงจากซุปหอมใหญ่  


    นี่คือ onion soup ที่เราเข้าใจผิด ใครไปก็อย่าได้สั่งมากินเปล่า ๆ เด็ดขาด สั่งอาหารอย่างอื่นด้วย


                  ครึ่งวันหลังก็ยังเป็นทางแบบป่าอยู่ แต่เริ่มเป็นป่าโล่งมากขึ้น เราเริ่มเห็นดอกไม้ระหว่างทางมากขึ้น  



                   ตอนบ่ายยาวนานกว่าที่เราคิด เราเข้าหมู่บ้าน Ghorepani กันเร็ว แต่กว่าจะเดินถึงที่พักก็นานอยู่ เพราะเราไปพักบนที่สูง ๆ ต้องขอบคุณลูกหาบที่เลือกที่พักให้เราอย่างดี เพราะวิวมุมสูงคือสวยมาก

    ถึง Ghorepani แล้ว ถ่ายรูปหน่อย

                    วันนี้เป็นวันที่ประทับใจมากที่สุดวันหนึ่ง ซอบินถามเราว่าจะพักที่เดียวกับกรุ๊ปโคลอี้ไหม เราก็บอกว่าพัก แต่อยากรู้ราคาก่อนว่าเท่าไหร่ เพราะเราก็อยากพักแบบประหยัด ถ้าแพงเกินไม่เอา ซอบินก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ แต่ก็พาไปพักที่เดียวกันนั่นแหละ ชื่อ Peace & Excellent View Lodge

                     พอไปถึงที่พัก เราว้าวมาก คือวิวห้องสวยมากกกกกกก เห็นภูเขาและดอกกุหลาบพันปี แถมเห็นเมฆลอยไปลอยมาอยู่นอกหน้าต่างด้วย ว้าวเสร็จก็รีบถามซอบินเลยว่าเท่าไหร่ ดูท่าจะแพงมาก ซอบินก็ยังไม่ตอบ บอกแค่ว่า Don't worry! 

                     ซอบินเข้ามาคุยเป็นเพื่อนในห้อง คงกลัวเราเหงา แต่ไม่ได้คุยอย่างเดียวนะ นางสอนมวยและเทรนออกกำลังกายให้ด้วย ก็นะ ครูสอนมวยอยู่กับเราต้อง 10 วัน จะไม่เรียนรู้หน่อยก็ยังไงอยู่ 

                     คุยกันสักพัก เราก็ขอตัวไปสักเสื้อเผื่อไว้แป๊บ เผื่อวันอื่น ๆ มันจะหนาวและชื้นจนซักไม่แห้งยิ่งกว่านี้ ซักเสร็จ ซอบินก็มาช่วยตาก แถมช่วยเอายางรัดผมออกจากผมที่เป็นสังกะตังให้เราด้วย ซอบินเป็นทุกอย่างให้เธอแล้วจริง ๆ 


    ห้องพักที่เราได้พักคืนนี้ สวยสุด ประทับใจสุด

    กุหลาบพันปีนอกหน้าต่างแบบใกล้ ๆ 

                  พอมื้อเย็น เราจะสั่งแค่ข้าวเปล่ามากินกับกับข้าวที่เตรียมมาจากไทย แต่ดันเปิดกุญแจห้องไม่ได้ ต้องเรียกซอบินมาเปิดให้ แต่ซอบินก็บอกว่าไม่ต้องไปเอาของกินหรอก อยู่นี่แหละ ไอสั่งข้าวให้อยู่แล้ว เราก็แบบได้ไง ราคาเท่าไหร่ ทำไมไ่ถามเราก่อน เราพยายามถามค่าอาหารและค่าห้องจากซอบิน และอธิบายว่าอยากประหยัดค่าที่พักกับค่ากิน จะได้มีเงินพอเหลือไว้ให้ทิปยูด้วยไง แต่ซอบบินตอบกลับมาว่า "ไม่เป็นไร เขาไม่ต้องการทิป เขาต้องการให้เราเดินไปถึง ABC ด้วยสภาพร่างกายที่แข็งแรง ดังนั้น เราต้องใส่ใจเรื่องกินของเราก่อน กินให้มีพลังงานพอ นอนให้พอแค่นั้น" เรานี่แบบโห น้ำตาจะไหล โชคดีจังที่เจอลูกหาบดี 

                 เราตกใจตอนอาหารมาเสิร์ฟมาก ซุปไข่ถ้วยใหญ่มาก นี่มองหน้าซอบินแบบไอกินไม่หมดแน่ ซอบินบอกกินไป เพื่อนอีกสามคนก็ตกใจว่าทำไมมื้อนี้กินเยอะจัง และเราก็กินไม่หมดจริง ๆ เลยแบ่งให้เพื่อนช่วยกิน จากนั้นเราสี่คนก็ลอง ๆ ผลัดกันชิมอาหารแต่ละอย่างบนโต๊ะ

                 เราชอบบรรยากาศที่ห้องอาหารด้านล่างมาก  จะมีโต๊ะวางอยู่รอบ ๆ ห้องสำหรับมื้ออาหารของเทรคเกอร์ ส่วนตรงกลางเป็นโซนเตาผิงไฟของเหล่าลูกหาบ บ้างก็นั่งชงชา บ้างก็นั่งคุย บรรยากาศอบอุ่นมาก ตอนค่ำเราก็มานั่งคุยกับเหล่าเทรคเกอร์คนอื่นในห้องอาหาร บรรยากาศสนุกสนานและหนาวมาก เรา โคลอี้ เดเร็ค และไรอัน ออกไปดูดาวด้วยกันข้างนอกพักหนึ่ง
                
                 จะบอกว่านี่เป็นซีนที่เราชอบที่สุดในทริปนี้ ดาวที่นี่สวยมากกกกกกกกกกกกก ท้องฟ้าโปร่งมาก โปร่งที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา อยากจะยืนอยู่ตรงนั้นทั้งคืน แต่อาจแข็งตายได้ เราไม่ถ่ายรูปอะไรทั้งสิ้น เพราะอยากซึมซับความรู้สึกนั้นด้วยตา (ถ่ายไปก็ไม่เห็นอยู่ดี) เราเลยยืนจำภาพและความรู้สึกนั้นให้นานที่สุด และกลับเข้าไปพักในห้องนอนวิวระดับพรีเมียมของเรา




  • Day 5

    Ghorepani > Tadapani

                       วันนี้เราต้องตื่นแต่เช้ามืดเดินขึ้น Poon Hill เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เราเดินขึ้นไปแบบมืด ๆ มีไฟฉายส่องทางสลัว ๆ และต้องเสียค่าผ่านทาง 50 NPR
                        เราเดินได้ช้ามากถ้าเทียบกับคนอื่น ๆ ทางขึ้น Poon Hill นี่ชวนปวดขามาก เราเดินไปพักไป สุดท้ายไปไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้นจ้า เลยถ่ายรูปข้างทางไว้ก่อน  เผื่อขึ้นไปไม่ไหว 555

    รูปข้างทางระหว่างไป poonhill

                    แต่พอไปถึงจุดชมวิว โทรศัพท์ที่รักก็ทนความหนาวเย็นไม่ไหว ดับไปต่อหน้าต่อตา ไม่เหลืออะไรไว้ให้เราถ่ายรูปเลย วิวที่นี่สวยมาก เป็นวิวพาโนรามาของภูเขาหางปลา โชคดีที่ไรอันเห็นใจ เลยถ่ายรูปเรากับที่นี่ให้หนึ่งรูป


    รูปที่ไรอันถ่ายให้ พร้อมกับชาดำที่ซอบินซื้อให้ทันทีที่ถึง

                 ดูวิวพาโนรามาจนสมใจก็บอกลา Poon Hill และเดินกลับที่พัก เราเพิ่งเห็นว่าวิวที่พักเราสวยมากตอนเช้าเนี่ยแหละ เพราะเมื่อวานหมอกหนามาก ตอนมาถึงมองไม่เห็นอะไรเลย ตรงลานที่ไปยืนดูดาวเมื่อคืนนี่มองเห็นหิมาลัยได้รอบ ๆ เลย


    วิวจากโต๊ะอาหาร กระจกห้องอาหารที่นี่เป็นกระจกใส มองหิมาลัยได้รอบ ๆ เลย

                   เช้านี้เราสั่งแพนเค้กกล้วยกิน กับชาดำ 1 แก้ว และเติมน้ำเปล่าเต็มขวด 1 ขวด พอถึงเวลาเช็คบิลทุกอย่างก็เห็นว่า ในใบเสร็จไม่มีค่าห้องเลย ถามซอบินว่าทำไมไม่มีค่าห้อง ซอบินก็บอกว่าจ่ายไปแล้ว เรางงมาก ไม่รู้ว่าเป็นการดีลพิเศษของลูกพี่ลูกน้องซอบิน หรือซอบิน หรือใครจ่าย หรือส่วนลดอะไรไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ คือเราไม่ได้จ่ายค่าที่พักคืนนี้ ที่พักที่วิวสวยที่สุดของทริปนี้เนี่ย ต้องขอบคุณกันยกใหญ่


    ซอบินถ่ายให้หนึ่งรูปก่อนออกเดินทางวันที่ 3

                     ทางเดินวันนี้ถือว่าโหดอยู่ แต่สวยมาก พอพ้นจุดที่โหดไปเราจะได้เห็นวิวต้นดอกกุหลาบพันปีอยู่ตามทางเต็มไปหมด ซอบินเป็นคนชอบถ่ายรูปมาก คอยจัดแจงมุมถ่ายรูปให้เราตลอด เราเลยได้รูปกับเส้นวันนี้เยอะมาก ความจริงก็มีรูปตัวเองตลอดทริป จนเพื่อนไม่เชื่อว่าไปคนเดียว 55555


    วิวกุหลาบพันปีกับหิมาลัยไกล ๆ 


    มีธงสี ๆ ประดับด้วย เหมือนคอยต้อนรับว่า คุณเดินมาถึงเส้นชัยของจุดนี้แล้ว

    แต่กว่าจะเดินถึงก็หนักหน่อย คนที่ถ่ายรูปข้างบนคือซอบิน ส่วนเราถ่ายจากข้างล่าง เพราะเดินช้าสุด

    น่าแปลกที่บรรยากาศรอบ ๆ เป็นหญ้าแห้ง แต่ต้นกุหลาบพันปีก็ออกดอกสวยเต็มต้นไม่แคร์ความแห้งเลย สมกับชื่อพันปีจริง ๆ 

                กุหลาบพันปี (Rhododendron / LaliGurans) เป็นดอกไม้ประจำชาติของเนปาล ดอกเป็นช่อใหญ่ มีสีชมพูเข้มไปจนถึงสีแดง ซึ่งพื้นหลังของธงชาติเนปาลก็ใช้สีจากดอกกุหลาบพันปีนี้ กุหลาบพันปีจะออกดอกช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน มักพบบนที่สูงประมาณ 1,800 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไป


    ถึงจุดวิวสวยก็ต้องรับบทเป็นนางแบบให้ซอบินหน่อย

    ถ่ายคู่กับซอบินด้วย แต่รูปเห็นหน้ามันไม่สวยเท่ารูปหันหลังอ่ะ 55555

                      จำได้ว่า พอหมดวิวดอกกุหลาบพันปี เราก็เดินขึ้นลงเขาไปอีกหลายลูก เรามีอาการ AMS หน่อย ๆ รู้สึกว่ามีอาการคลื่นไส้และเวียนหัว คล้ายจะเป็นลมด้วย แต่โชคดีที่เป็นแค่แป๊บเดียว ตรงช่วงใกล้ลงเขา พอลงเขาก็อาการก็ดีขึ้นมาก ยังไม่ต้องถึงขั้นใช้ยาอะไร


    จุดพักนี้อยู่สูงมาก พอลงจากตรงนี้ เราก็มีอาการ AMS นิดหน่อย


    ตรงจุดนี้เราจะเห็นก้อนเมฆอยู่แค่เอื้อม


    ระหว่างทางเจอน้องหมาภูเขาที่เดินมาเป็นเพื่อนเหล่าเทรคเกอร์อยู่เรื่อย ๆ 

    ถ่ายรูปให้น้องหน่อย

                        ลงจากจุดนี้ไปเรากับไรอันต้องแยกกับโคลอี้และเดเร็ค ใจหายเบา ๆ นะ เพราะโคลอี้น่ารักมาก คอยคุยกับเราตลอดทาง และชอบเรียกเราว่าน้องสาว ส่วนเดเร็คก็จะคอยมองเราเวลาเราเดินช้ามาก แล้วก็ไปบอกโคลอี้ให้โคลอี้รอเรา คอยเช็คกันตลอดว่าโอเคไหม โคลอี้บอกว่าถึง ABC เมื่อไหร่อย่าลืมส่งรูปให้ดูด้วยนะ เรากอดลากันแล้วก็เดินแยกกันไปคนละทาง


    เราถ่ายรูปด้วยกันก่อนกลับ (ซ้ายไปขวา) ลูกหาบโคลอี้กับเดเร็ค เดเร็ค ไรอัน โคลอี้ เรา ซอบิน ลูกหาบไรอัน 

                       เรากับไรอันเริ่มเดินเข้าเขตป่าชิ้นอีกครั้ง มีลำธารน้อย ๆ พอให้รู้สึกชุ่มฉ่ำ และมีหินวางตั้งเต็มข้างทางไปหมด


    ซอบินบอกว่าการตั้งหินแบบนี้เป็นความเชื่ออย่างหนึ่งของเนปาล เหมือนตั้งไว้เพื่อขอพรอะไรสักอย่าง

    เราไม่ได้ไปตั้งอะไรแบบเขา ขอแค่นั่งมองและกินช็อคโกแล็ตเพิ่มพลังดีกว่า

                    ถัดจากซีนป่าชื้นก็เข้าเขตป่าโบราณ เราชอบมาก ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในป่าโบราณในหนังหรือเทพนิยายอะไรสักอย่าง 


    ซีนนี้ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ป่าลอธลอริเอนใน The Lord of the Rings จะมีเอล์ฟโผล่มาไหมน้า

    ทางจะเป็นบันไดหินสลับกับทางราบ


    ทางเดินที่โรยไปด้วยกลีบดอกไม้ แต่ไม่ได้สบายอย่างที่คิด 55555

                      วันนี้เราเดินถึงที่พักค่อนข้างเย็น แต่ก็ไม่ได้เย็นเกินที่จะฝึกมวยกับซอบินต่อ แถมวันนี้มี wifi ค่อนข้างแรง โทรศัพท์ก็มีสัญญาณ เราเลยโทรหาเพื่อนเพื่ออัพเดตสภาพชีวิตและร่างกายนิดหน่อย จากนั้นก็พักเงียบ ๆ อยู่ในห้องจนถึงเวลาอาหารเย็น และภาพความทรงจำก็ตัดไปตอนเข้านอนเลย Goodnight!


    (มีต่อ)



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in