ความจริงเมืองแถบนี้เป็นเมืองที่เห็นวิวหิมาลัยไกล ๆ เยอะมาก แต่ช่วงที่เราไปหมอกหนา เลยหายากหน่อย ต้องนั่งรถออกไปสักพักถึงได้เห็นเงาหิมาลัยลาง ๆ แค่ได้เห็นเงาหิมาลัยก็เริ่มตื่นเต้นแล้ว!!!
เรานั่งรถไปเป็นชั่วโมง วิวข้างทางเริ่มเปลี่ยนจากอาคารบ้านเรือนเป็นวิวธรรมชาติที่แห้งแล้ง
จุดเดินขึ้นจะคล้าย ๆ กับทางขึ้นดอยที่บ้านเรา มีของที่จำเป็นขาย มีนักท่องเที่ยวเยอะ พอลงรถซอบินก็เตรียมจัดการเรื่องกระเป๋า และไม้เทรคให้ เช็คความเรียบร้อยทุกอย่าง วิวตอนเดินขึ้นแรก ๆ เป็นวิวภูเขาและทุ่งนาทั่วไปคล้ายบ้านเรา มีจุดแวะพักเป็นระยะ ๆ แดดยังร้อนอยู่มาก
วิวตอนเดินขึ้นแรก ๆ เป็นวิวภูเขาและทุ่งนาทั่วไปคล้ายบ้านเรา มีจุดแวะพักเป็นระยะ ๆ แดดค่อนข้างร้อนเลยแหละ
ตอนนั้นเราเดินไปได้ไม่กี่เมตรก็เหนื่อยมากแล้ว ซอบินบอกว่าเป็นเรื่องปกติ เราเดิน ๆ หยุด ๆ บ่อยมาก ส่วนซอบินก็เดินตัวปลิวมาก เวลาเราขอพัก ซอบินก็จะบอกว่า เดี๋ยวไปพักเอาข้างหน้าที่จุดพักดีกว่า
กว่าจะถึงจุดพักนี่จะขาดใจตายมาก เริ่มคิดละว่า ไหวเหรอ 55555 ซอบินน่าจะเห็นแล้วแหละว่าเราเดินได้ช้ากว่าคนทั่วไป และหน้าตาหมดแรงมาก เลยซื้อกล้วยให้กินเติมพลัง 2-3 ลูก
มื้อแรกของการเทรค เราสั่งแค่ไข่เจียวกับชาดำ แล้วก็เอาอาหารสำเร็จรูปที่พกไปมากินกับไข่เจียว และออกเดินทางต่อ
จากนั้นเริ่มเข้าเขตหมู่บ้าน และบันไดหิน
เราเจอน้องหมาน่ารักหนึ่งตัว
เจอม้าผอมซูบอีกหนึ่งตัว
และบันไดหินแบบไม่รู้จบ เราเริ่มรู้สึกดีที่เลือกจ้างลูกหาบ ไม่ง้้นตายแน่ ๆ
เราต้องเดินข้ามสะพานด้วยนิดหน่อย
ซอบินมักเดินตัวปลิวแล้วไปนั่งรอเราชิว ๆ เพราะยิ่งชวนเราคุยมาก เราก็จะยิ่งเหนื่อยมาก ซอบินเลยเลือกให้เราเดินเงียบ ๆ ให้ร่างกายปรับตัวก่อน แล้วค่อยคุยกันตอนจุดพัก พอเราเดินขึ้นไปถึงจุดสูง ๆ ซอบินก็จะให้เรามองลงไปข้างล่าง ให้ดูว่าเรามาไกลแค่ไหนแล้ว
เราถึงที่พักช่วงเย็น ๆ ยอมรับว่าวันนี้เหนื่อยมากจริง ๆ เหนื่อยจนอยากถอดใจ แต่ถอดไม่ได้ เสียดายตัง 55555 เหนื่อยจนไม่ได้ถ่ายภาพมาเยอะ
ห้องพักคืนแรกสภาพดีเลย มีที่ชาร์จไฟได้ฟรี น้ำร้อนฟรี เราล้างหน้าล้างตา แล้วก็ไปสั่งข้าวกิน คืนนั้นน่าจะกินซุปมาม่า กินเสร็จก็มานั่งเขียนไดอารี่ เขียนไปสักพักไฟดับ สักพักไฟก็มา ติด ๆ ดับ ๆ ไปหลายรอบ ถือเป็นเรื่องปกติของที่นี่ เราเขียนไดอารี่เสร็จก็พักผ่อน น่าจะนอนประมาณ 2 ทุ่มได้
ก่อนนอนเรานึกถึงที่ซอบินบอกว่าวันที่ยากที่สุดคือ วันแรกและวันที่ลงจาก ABC ถ้าเราผ่านวันแรกไปได้ ทุกอย่างจะง่ายขึ้น วันนี้เราผ่านวันแรกไปแล้ว หวังว่าวันต่อ ๆ ไป จะดีขึ้น ^^
ประมาณเที่ยง เราแวะกินอาหารกลางวันที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ข้างทาง เราว่าเราไม่เหนื่อยไม่มาก เลยสั่งแค่ onion soup มา คิดว่าน่าจะเป็นซุปข้น น่าจะอยู่ท้องแหละ
แต่...มันคือซุปใสจ้า และมีแค่น้ำซุปจริง ๆ ไม่มีเนื้อ ไม่มีหนัง ไม่มีแม้แต่หอมใหญ่เป็นชิ้น ๆ มีแต่วิญญาณหอมใหญ่ล่องลอยอยู่ เอาจริงคือตกใจกับอาหารมาก แต่ก็แบบ สั่งมาแล้วอ่ะ สั่งเพิ่มก็เสียตังอีก กินไปเหอะ เพื่อนอีกสามคนก็ตกใจเหมือนกัน และไม่เชื่อว่าเรากินได้ เราก็บอกว่าไอโอเค ไอกินได้ ไอกินน้อย (แม้ในใจจะแบบแย่แน่)
โคลอี้กับเดเร็คกสั่งมาม่ามากินด้วยกันถ้วยใหญ่ เลยแบ่งมาม่าให้เราส่วนหนึ่ง ไรอันก็สั่งโมโม่มา และแบ่งให้เราหนึ่งชิ้น ทุกคนกลัวเราหมดแรงจากซุปหอมใหญ่
วันนี้เป็นวันที่ประทับใจมากที่สุดวันหนึ่ง ซอบินถามเราว่าจะพักที่เดียวกับกรุ๊ปโคลอี้ไหม เราก็บอกว่าพัก แต่อยากรู้ราคาก่อนว่าเท่าไหร่ เพราะเราก็อยากพักแบบประหยัด ถ้าแพงเกินไม่เอา ซอบินก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ แต่ก็พาไปพักที่เดียวกันนั่นแหละ ชื่อ Peace & Excellent View Lodge
พอไปถึงที่พัก เราว้าวมาก คือวิวห้องสวยมากกกกกกก เห็นภูเขาและดอกกุหลาบพันปี แถมเห็นเมฆลอยไปลอยมาอยู่นอกหน้าต่างด้วย ว้าวเสร็จก็รีบถามซอบินเลยว่าเท่าไหร่ ดูท่าจะแพงมาก ซอบินก็ยังไม่ตอบ บอกแค่ว่า Don't worry!
ซอบินเข้ามาคุยเป็นเพื่อนในห้อง คงกลัวเราเหงา แต่ไม่ได้คุยอย่างเดียวนะ นางสอนมวยและเทรนออกกำลังกายให้ด้วย ก็นะ ครูสอนมวยอยู่กับเราต้อง 10 วัน จะไม่เรียนรู้หน่อยก็ยังไงอยู่
คุยกันสักพัก เราก็ขอตัวไปสักเสื้อเผื่อไว้แป๊บ เผื่อวันอื่น ๆ มันจะหนาวและชื้นจนซักไม่แห้งยิ่งกว่านี้ ซักเสร็จ ซอบินก็มาช่วยตาก แถมช่วยเอายางรัดผมออกจากผมที่เป็นสังกะตังให้เราด้วย ซอบินเป็นทุกอย่างให้เธอแล้วจริง ๆ
แต่พอไปถึงจุดชมวิว โทรศัพท์ที่รักก็ทนความหนาวเย็นไม่ไหว ดับไปต่อหน้าต่อตา ไม่เหลืออะไรไว้ให้เราถ่ายรูปเลย วิวที่นี่สวยมาก เป็นวิวพาโนรามาของภูเขาหางปลา โชคดีที่ไรอันเห็นใจ เลยถ่ายรูปเรากับที่นี่ให้หนึ่งรูป
ดูวิวพาโนรามาจนสมใจก็บอกลา Poon Hill และเดินกลับที่พัก เราเพิ่งเห็นว่าวิวที่พักเราสวยมากตอนเช้าเนี่ยแหละ เพราะเมื่อวานหมอกหนามาก ตอนมาถึงมองไม่เห็นอะไรเลย ตรงลานที่ไปยืนดูดาวเมื่อคืนนี่มองเห็นหิมาลัยได้รอบ ๆ เลย
เช้านี้เราสั่งแพนเค้กกล้วยกิน กับชาดำ 1 แก้ว และเติมน้ำเปล่าเต็มขวด 1 ขวด พอถึงเวลาเช็คบิลทุกอย่างก็เห็นว่า ในใบเสร็จไม่มีค่าห้องเลย ถามซอบินว่าทำไมไม่มีค่าห้อง ซอบินก็บอกว่าจ่ายไปแล้ว เรางงมาก ไม่รู้ว่าเป็นการดีลพิเศษของลูกพี่ลูกน้องซอบิน หรือซอบิน หรือใครจ่าย หรือส่วนลดอะไรไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ คือเราไม่ได้จ่ายค่าที่พักคืนนี้ ที่พักที่วิวสวยที่สุดของทริปนี้เนี่ย ต้องขอบคุณกันยกใหญ่
ทางเดินวันนี้ถือว่าโหดอยู่ แต่สวยมาก พอพ้นจุดที่โหดไปเราจะได้เห็นวิวต้นดอกกุหลาบพันปีอยู่ตามทางเต็มไปหมด ซอบินเป็นคนชอบถ่ายรูปมาก คอยจัดแจงมุมถ่ายรูปให้เราตลอด เราเลยได้รูปกับเส้นวันนี้เยอะมาก ความจริงก็มีรูปตัวเองตลอดทริป จนเพื่อนไม่เชื่อว่าไปคนเดียว 55555
กุหลาบพันปี (Rhododendron / LaliGurans) เป็นดอกไม้ประจำชาติของเนปาล ดอกเป็นช่อใหญ่ มีสีชมพูเข้มไปจนถึงสีแดง ซึ่งพื้นหลังของธงชาติเนปาลก็ใช้สีจากดอกกุหลาบพันปีนี้ กุหลาบพันปีจะออกดอกช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน มักพบบนที่สูงประมาณ 1,800 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไป
จำได้ว่า พอหมดวิวดอกกุหลาบพันปี เราก็เดินขึ้นลงเขาไปอีกหลายลูก เรามีอาการ AMS หน่อย ๆ รู้สึกว่ามีอาการคลื่นไส้และเวียนหัว คล้ายจะเป็นลมด้วย แต่โชคดีที่เป็นแค่แป๊บเดียว ตรงช่วงใกล้ลงเขา พอลงเขาก็อาการก็ดีขึ้นมาก ยังไม่ต้องถึงขั้นใช้ยาอะไร
ลงจากจุดนี้ไปเรากับไรอันต้องแยกกับโคลอี้และเดเร็ค ใจหายเบา ๆ นะ เพราะโคลอี้น่ารักมาก คอยคุยกับเราตลอดทาง และชอบเรียกเราว่าน้องสาว ส่วนเดเร็คก็จะคอยมองเราเวลาเราเดินช้ามาก แล้วก็ไปบอกโคลอี้ให้โคลอี้รอเรา คอยเช็คกันตลอดว่าโอเคไหม โคลอี้บอกว่าถึง ABC เมื่อไหร่อย่าลืมส่งรูปให้ดูด้วยนะ เรากอดลากันแล้วก็เดินแยกกันไปคนละทาง
เรากับไรอันเริ่มเดินเข้าเขตป่าชิ้นอีกครั้ง มีลำธารน้อย ๆ พอให้รู้สึกชุ่มฉ่ำ และมีหินวางตั้งเต็มข้างทางไปหมด
ถัดจากซีนป่าชื้นก็เข้าเขตป่าโบราณ เราชอบมาก ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในป่าโบราณในหนังหรือเทพนิยายอะไรสักอย่าง
วันนี้เราเดินถึงที่พักค่อนข้างเย็น แต่ก็ไม่ได้เย็นเกินที่จะฝึกมวยกับซอบินต่อ แถมวันนี้มี wifi ค่อนข้างแรง โทรศัพท์ก็มีสัญญาณ เราเลยโทรหาเพื่อนเพื่ออัพเดตสภาพชีวิตและร่างกายนิดหน่อย จากนั้นก็พักเงียบ ๆ อยู่ในห้องจนถึงเวลาอาหารเย็น และภาพความทรงจำก็ตัดไปตอนเข้านอนเลย Goodnight!
(มีต่อ)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in