เพื่อการรักษาฝ้าอย่างมีประสิทธิภาพ ครีมทาฝ้าที่เลือกใช้นั้นจำเป็นต้องมีสารที่สามารถยับยั้งการสร้างเม็ดสีได้โดยตรงอย่างสารฟอกสีเป็นส่วนผสมหลัก เช่น ไฮโดรควิโนน ยาทากลุ่มกรดวิตามินเอหรือเรตินอยด์ กรดโคจิก และกรดไกลโคลิก อย่างไรก็ตาม ก่อนใช้ครีมทาฝ้าใดๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพราะการใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารฟอกขาวที่มีความเข้มข้นมากหรือใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกินไปอาจทำให้ผิวหนังระคายเคืองและเกิดฝ้าถาวรได้

2. ต้องมีมาตรฐาน อย. รับรอง 

การซื้อครีมเพื่อรักษาปัญหาหน้าเป็นฝ้าจะต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองโดยองค์การอาหารและยาเท่านั้น เพราะการใช้ครีมทาฝ้าที่ไม่ผ่านการรับรองคุณภาพจากองค์การอาหารและยาอาจมีสารออกฤทธิ์คล้ายตัวยาที่มีความเข้มข้นสูง หรือมีสารต้องห้ามเป็นส่วนประกอบอย่างปรอท หรือสเตียรอยด์ ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยควรตรวจสอบเลขที่จดแจ้ง อย. ผ่านหน้าเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุขก่อนตัดสินใจซื้อ

3. ไม่มีส่วนประกอบของสารเร่งการผลัดเซลล์ผิว

การเลือกใช้ครีมทาฝ้าที่มีส่วนผสมของสารผลัดเซลล์ผิวทุกวันอย่าง AHA, BHA หรือกรดผลไม้อาจทำให้ผิวหน้าบาง ไวต่อแดด และระคายเคืองง่าย ซึ่งอาจส่งผลให้รอยฝ้า กระ มีสีที่เข้มขึ้นมากกว่าเดิมในระยะยาวได้ ดังนั้น ควรอ่านฉลากข้างผลิตภัณฑ์ให้ถี่ถ้วนทุกครั้ง หรือหากจำเป็นต้องใช้ครีมทาฝ้าที่มีสารผลัดเซลล์ผิวเป็นส่วนประกอบควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

การเลือกครีมทาฝ้านั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะหากเลือกใช้ครีมที่ไม่ได้มาตรฐานอาจทำให้เกิดปัญหาผิวต่างๆ ตามมาได้ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อของผิวหนัง ผิวบาง สีผิวด่างหรือไม่สม่ำเสมอ และเกิดรอยดำถาวร เป็นต้น นอกจากนี้ ควรปกป้องผิวหนังจากการสัมผัสแสงแดดด้วยการทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน รวมทั้งกางร่มหรือสวมหมวกเพิ่มเติมในวันที่ต้องเผชิญแดดแรงด้วย