เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Fanfic Compilationmoneymonday
[ตัวร้ายอย่างข้าฯ | ปิงจิ่ว] Like Cats and Dogs
  • **UNEDITED



    เสิ่นหยวนมีสัตว์เลี้ยงอยู่สองตัว


    ตัวหนึ่งเป็นสุนัขพันธุ์ทางตัวใหญ่สีดำปลอดตัวหนึ่ง ไม่รู้ว่าในตัวมีเชื้อสายพันธุ์อะไรผสมอยู่บ้างถึงได้ออกมาตัวโตขนฟูหนาได้ขนาดนี้ ลั่วปิงเหอเป็นคนเก็บมาจากข้างทางเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นจำได้แม่นว่าตอนนั้นยังเป็นแค่ลูกหมาตัวน้อยหนึ่ง ดูอ่อนแอน่าปกป้อง อีกนิสัยยังน่ารักขี้อ้อน โดยเฉพาะตอนแหงนหน้ามองเสิ่นหยวนตาปริบๆ ที่หน้าตาดูเหมือนลั่วปิงเหอไม่มีผิด


    ดังนั้นเขาจึงตั้งชื่อมันว่าปิงเกอ


    ทว่าพริบตาเดียวผ่านไป จากปิงเกอตัวน้อยที่เขาจับนอนหนุนตักก็กลับกลายเป็นหมายักษ์ที่ไม่รู้จริงๆ แล้วกำลังวางแผนลอบฆ่าพวกเขายกครัวอยู่หรือเปล่า เอะอะก็ชอบมานั่งทับนอนทับ อย่างกับว่าไม่เข้าใจเสียเลยว่าจะทำเจ้านายตัวเองหายใจไม่ออกตายเอา


    แต่ถึงอย่างนั้น เสิ่นหยวนก็ยังชอบการแสดงความรักอย่างไม่อินังขังขอบของปิงเกอ ซึ่งตรงข้ามสมาชิกใหม่ของบ้านโดยสิ้นเชิง...


    สัตว์เลี้ยงอีกตัวของเขาที่เพิ่งรับมาเลี้ยงได้ไม่นานนี้เป็นเจ้าแมวเทาขนยาวแสนสวยที่เขาเรียกว่าอาจิ่ว
    อาจิ่วเป็นแมวที่มีนิสัยแมวๆ ตรงตามคำบรรยายที่หาได้ตามเพจแมวคิดจะครองโลกเป๊ะ ทั้งขี้หงุดหงิด เอาแต่ใจ ชอบใช้กำลัง หวงของ หวงที่ หวงถิ่น เข้าใกล้ยาก แตะต้องเป็นไม่ได้ แถมยังไม่เป็นมิตรกับสิ่งมีชีวิตอื่นเลยแม้แต่นิดเดียว เรียกได้ว่าเป็นขั้วตรงข้ามกับปิงเกอโดยสิ้นเชิง


    อันที่จริง พฤติกรรมเหล่านี้ก็มีสาเหตุอยู่เหมือนกัน เพราะว่าอาจิ่วนั้นเสิ่นหยวนไปรับมาจากสถานพักพิงสัตว์ คนดูแลเล่าประวัติให้ฟังว่าอาจิ่วที่จริงเป็นแมวพันธุ์แท้มีเพดิกรีรับรอง อีกทั้งยังเป็นสายที่เพาะประกวดเต็มขั้น เจ้าของเก่าซื้ออาจิ่วมาตั้งแต่ยังเล็ก แต่โชคร้ายที่เลี้ยงไปได้ไม่นานก็ได้เลื่อนตำแหน่งไปประจำอยู่ต่างประเทศ เลยส่งอาจิ่วต่อให้เพื่อนคนหนึ่งเลี้ยงแทน โดยหารู้ไม่ว่าเพื่อนคนนั้นเป็นพวกชอบทารุณสัตว์


    รายละเอียดที่ไม่น่าฟังเหล่านั้นก็ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าเรื่องราวก็ดำเนินไปจนกระทั่งสุดท้ายอาจิ่วก็ลงเอยมาอยู่ที่สถานพักพิงสัตว์แห่งนี้


    เพราะทั้งถูกทิ้งและถูกทำร้ายมานาน อาจิ่วจึงดุร้ายฉุนเฉียวเป็นที่สุด กระทั่งหน้าตาสวยสะและสายเลือดพันธุ์แท้ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ ไม่มีใครทนถูกกรงเล็บพิฆาตข่วนจนแขนลายได้เลยจริงๆ


    ...ยกเว้นเสิ่นหยวนนี่แหละ


    ใช่ว่าเขาจะเป็นพวกมาโซคิสม์หรอกนะ เพียงแต่รู้สึกถูกชะตากับเจ้าแมวตัวนี้อย่างบอกไม่ถูก แถมดูเหมือนอีกฝ่ายก็จะคิดคล้ายๆ กันเสียด้วย เพราะเสิ่นหยวนแค่ถูกข่วนจนเลือดซิบ ไม่ได้โดนตะกุยจนเลือดโชกเหมือนผู้โชคร้ายคนก่อนๆ


    ได้เห็นผู้ดูแลมองรอยแผลบนแขนเขาด้วยดวงตาเป็นประกายขนาดนั้นมันก็ออกจะรู้สึกชวนขนลุกอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้วนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เสิ่นหยวนตัดสินใจหิ้วตัวป่วนขนเทาตัวนี้กลับบ้านมาด้วย


    แน่นอนว่าถัดจากเขา ลั่วปิงเหอก็เป็นผู้โชคร้ายคนที่สอง ถึงชายหนุ่มจะไม่ได้เข้ามาอุ้มแต่ก็ยังถูกตามรังควานจนต้องสละกางเกงให้เป็นเครื่องสังเวยดับความโกรธเกรี้ยวของนายใหญ่คนใหม่ของบ้าน


    จะมีก็แต่ปิงเกอตัวเดียวที่ไม่ถูกคุกคาม ซึ่งเสิ่นหยวนก็เข้าใจดีว่าคงเพราะปิงเกอตัวสูงใหญ่น่ากลัวจนเกินไป อาจิ่วจึงทำได้แค่ปีนขึ้นไปขู่แฟ่บนตู้หนังสือแทน ในขณะที่ปิงเกอก็คอยเฝ้าอยู่ข้างตู้ไม่ยอมไปไหน ดูแล้วก็เห็นเป็นภาพที่แสนจะน่าสงสาร ตัวหนึ่งเพียรกระดิกหางให้อย่างเป็นมิตร แต่ก็ได้รับแต่เสียงขู่กับขนฟูตั้งกลับมา


    เสิ่นหยวนทีแรกก็แสนหวาดเสียวกับคอลเลคชั่นหนังสือของตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าอาจิ่วจะแค่อยากได้ที่สูงๆ ไว้หลบภัย ในขณะที่ถ้าอยากรื้อค้นทำลายข้าวของก็จะย่องลงมาทำที่ห้องครัวและห้องนั่งเล่น และหลังจากฝากรอยเขี้ยวรอยเล็บไว้จนหนำใจแล้วก็ค่อยกลับไปซ่อนช่องเก็บของชั้นบนของตู้เหมือนเดิม คงเพราะถือว่าตู้ทั้งตู้เป็น ‘รัง’ ของตัวเองไปแล้ว


    ดังนั้นถึงบ็อกเซ็ตเทพมารอหังการของเสิ่นหยวนจะปลอดภัยดี แต่สภาพโดยรวมของการอยู่ร่วมกับอาจิ่วในช่วงสองสามเดือนแรกนั้น...ก็ไม่ได้งดงามเท่าไหร่นัก


    หลังกลับจากบ้านมาเหนื่อยๆ แล้วเขาก็ต้องมาเก็บข้าวของที่ถูกอาจิ่วรื้อ ปัดกวาดเศษไม้ไส้ผ้านวมที่ถูกอาจิ่วทำลาย กว่าจะได้เข้านอนก็เหนื่อยสายตัวแทบขาดไม่พอ กลางดึกยังสะดุ้งตื่นขึ้นมาหลายครั้งเพราะผวาวิตกว่าอาจิ่วจะไปทำอะไรตกแตกอีก


    แต่ถึงเสิ่นหยวนจะทั้งต้องทึ้งหัวตัวเอง ทั้งต้องแอบตะโกนอัดหมอนหลายครั้ง เขาก็ยังพยายามเข้าอกเข้าใจอย่างถึงที่สุด เขารู้ว่าที่อาจิ่วมีนิสัยแบบนี้ก็เพราะเคยต้องผ่านเรื่องร้ายๆ มา และความรับผิดชอบนี้ก็เป็นตัวเขาที่เลือกเองตั้งแต่ตอนที่ตัดสินใจรับเลี้ยงอาจิ่ว ดังนั้นเขาจึงพยายามทำหน้าที่เจ้านายที่ดีและแสดงออกให้อาจิ่วเห็นเสมอว่าตัวเองพร้อมจะให้ความรักความอบอุ่นอย่างเต็มที่


    และแล้วในช่วงหัวโค้งสุดท้ายก่อนที่เสิ่นหยวนจะกลายเป็นบ้า ความเพียรทั้งหลายก็สัมฤทธิ์ผลในที่สุด
    มันเริ่มต้นจากจำนวนสิ่งของแตกหักที่น้อยลงไปทีละนิด จากนั้นก็เป็นรอยข่วนที่ลดลง...อีกอาทิตย์ถัดไปอาจิ่วค่อยๆ เริ่มเดินสำรวจรอบบ้านและไม่เอาแต่หลบอยู่ในตู้หนังสืออีกแล้ว และต่อมาก็นิ่งลงอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งสามารถปล่อยให้อยู่ในห้องเดียวกันกับปิงเกอได้แล้ว แม้จะยังติดที่ไม่ยอมให้เข้าใกล้อยู่ก็ตาม


    แต่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด และน่าปลาบปลื้มใจที่สุดก็มาถึงหลังอาจิ่วเข้ามาอยู่ในบ้านได้ครึ่งปี...
    ทั่วไปแล้วถ้าอาจิ่วอารมณ์ดี ก็จะยอมให้เสิ่นหยวนลูบๆ แตะๆ ได้ประมาณวันละครั้ง แต่จู่ๆ ในวันนั้น ระหว่างที่เสิ่นหยวนกำลังตอนอ่านนิยายออนไลน์ตอนใหม่ล่าสุด ก็มีก้อนขนสีเทาเดินนวยนาดขึ้นมาย่ำตัวเขา ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนท้อง หน้าตาดูเฉยสนิทเหมือนไม่ได้ทำอะไรแปลกใหม่เลยแม้แต่นิดเดียว ตรงข้ามกับเสิ่นหยวนที่รัวนิ้วใส่ปุ่มชัตเตอร์ พร้อมทั้งสลับแอปโซเชียลเน็ตเวิร์คเสร็จไปแล้วสี่แอปภายในหนึ่งนาที


    เสิ่นหยวนแทบไม่กล้าหายใจ ได้แต่นอนสบตาใสแจ๋วสีเขียวสวย ตัวแข็งทื่อไปหมดเพราะกลัวจะเผลอขยับแล้วทำให้นายท่านนอนไม่สบาย


    จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่อาจิ่วก็ค่อยๆ หลับตาลง ส่งผลให้เสิ่นหยวนก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจตามไปด้วย ชายหนุ่มกลืนน้ำลายก่อนจะรวบรวมความกล้ายื่นสองนิ้วออกไปลูบศีรษะเล็กๆ 


    ใบหูสามเหลี่ยมกระดิกนิดหนึ่ง แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ไม่มีปฏิกิริยาอื่นอีก


    เขาสูดลมหายใจเข้า เปลี่ยนไปใช้ทั้งมือ ลูบไล่ตั้งแต่หน้าผากลงมาถึงลำคอในคราวเดียว


    ...อาจิ่วสะบัดหัวเล็กน้อยเป็นเชิงรำคาญ แต่ก็ยังคงนอนหลับตาพริ้มไม่ขยับไปไหน


    เสิ่นหยวนเงยหน้ามองฟ้าพลางเม้มปากแน่นกลั้นเสียง ในใจน้ำตาไหลพราก



  • นับตั้งแต่วันนั้น อาจิ่วก็เริ่มเป็นมิตรมากขึ้น


    เขามานอนกลางวันบนตักเสิ่นหยวน ยอมให้ลั่วปิงเหอลูบหัว แล้วก็ไม่เอาแต่เผ่นหนีเวลาปิงเกอเข้าใกล้อีกแล้ว


    เพียงแต่จะยังติดนิสัยขู่แฟ่อยู่เหมือนเดิม...


    ซึ่งเสิ่นหยวนก็เห็นอกเห็นใจเป็นอย่างดี ขนาดเขาเป็นคนยังแอบกลัวตายเป็นบางครั้งเวลาปิงเกอกระโจนใส่ ถ้ามองจากสายตาของแมวแล้ว ปิงเกอคงตัวใหญ่ยักษ์เหมือนอสุรกายเลยทีเดียว การที่แมวขี้ตื่นอยากอาจิ่วจะกลัวจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยซักนิด


    แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องชมเชยปิงเกอที่แสนรู้ ช่วงแรกๆ ที่อาจิ่วแตกตื่นอาละวาดก็ยังพยายามหลีกเลี่ยงเว้นระยะ ไม่ได้วิ่งสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าหา ไม่ได้แสดงอาการอยากเป็นมิตรจนเกินพอดีอย่างที่จะทำให้อาจิ่วนึกว่าถูกคุกคาม หรือแม้แต่ตอนที่อาจิ่ววิ่งหนีก็ไม่มีท่าทางสัญชาตญาณนักล่าออกมาให้เห็น แค่ยืนกระดิกหางมองเงาปราดเปรียววิ่งปรูดปราดกระโดดขึ้นเฟอร์นิเจอร์ไปมา ไม่มีทีท่าว่าอยากจะไล่ตามเลยแม้แต่น้อย


    แต่ไม่ว่าปิงเกอจะระมัดระวังขนาดไหน สุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้


    เสิ่นหยวนที่พอเห็นอาจิ่วสงบลงมากแล้วก็วางใจปล่อยให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันตามลำพัง แต่ปรากฏว่าพอกลับเข้ามาในห้องอีกทีก็เจอกับปิงเกอมีแผลข่วนลึกที่จมูก ยืนปล่อยให้เลือดโชกอยู่ซื่อๆ ทื่อๆ ในขณะที่อาจิ่วหนีไปหลบในตู้หนังสือเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน


    สัตวแพทย์บอกว่าแผลไม่ได้ร้ายแรง เพียงแค่เลือดออกเยอะถึงได้ดูน่ากลัวกว่าความเป็นจริง


    ปิงเกอได้ทำแผลและกินยาเรียบร้อยที่คลินิก ทำให้พอกลับมาถึงบ้านก็หลับสนิทพอดี เสิ่นหยวนออกไปโทรศัพท์หาลั่วปิงเหอข้างนอกเพื่อจะปรึกษาว่าควรจับอาจิ่วแยกไปอยู่ที่อื่นซักพักเพื่อความปลอดภัย แต่ลั่วปิงเหอค้านว่าไหนๆ อาจิ่วก็พฤติกรรมดีมาตลอด ทั้งนี่ยังเพิ่งจะครั้งแรก แค่ให้อยู่คนละห้องกันเฉยๆ แล้วจับตาดูเอาไว้ก็น่าจะพอแล้ว พวกเขาเถียงกันอยู่ครู่ใหญ่ก็ไม่ได้ข้อสรุปเสียที จึงตกลงกันว่าจะมาหาข้อสรุปชัดๆ อีกทีในตอนเย็น


    เสิ่นหยวนทั้งเครียดทั้งกังวล พอหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องนั่งเล่นก็เห็นอาจิ่วยืนค้ำปิงเกอที่กำลังนอนหลับอยู่


    หัวใจเขาหล่นวูบ กลัวเหลือเกินว่าอาจิ่วจะฉวยโอกาสนี้ลงมือหนักข้อขึ้นไปกว่าเดิม


    “...!”


    ยังไม่ทันจะร้องห้าม เขาก็เห็นปลายจมูกสีชมพูขยับดุนดันกับจมูกของปิงเกอ เข้าใกล้รอยแผลที่ยังไม่แห้งนั่นอย่างน่าหวาดเสียว ก่อนที่ปลายลิ้นเล็กๆ จะแลบเลียตรงที่หน้าผาก ทำให้กลุ่มขนในบริเวณนั้นเรียบแปล้ลง ช่างขัดกับขนส่วนอื่นๆ ทั่วตัวที่ชี้ฟูจนทำให้ออกมาดูน่าหัวเราะ


    เสิ่นหยวนอ้าปากค้าง เผลอก้าวถอยหลังไปชนลูกบิดประตู


    อาจิ่วชะงักกึก หันขวับมองมาทางเขาด้วยตาดำเรียวรีดูดุร้าย...


    แล้วใช้อุ้งเท้าข้างหนึ่งตบใส่ปิงเกอเสียงดัง ตุ้บ ก่อนจะเผ่นหนีไป




  • ช่วงหลังๆ มานี้เสิ่นหยวนรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก


    เขามีสุนัขตัวใหญ่ชื่อปิงเกอที่แสนกระตือรือร้นและพร้อมจะแสดงความรักอยู่ตลอดเวลา


    เขามีแมวขนนุ่มแสนสวยชื่ออาจิ่ว ที่ถึงจะชอบทำตัวเย็นชา แต่ก็มีมุมขี้อ้อนที่พอแสดงออกมาแล้วก็น่ารักแทบขาดใจ


    อาจิ่วนั้นชอบวางมาด โดยเฉพาะเวลาเสิ่นหยวนเข้าไปลูบไปจับก็มักทำท่าทางเหมือนรังเกียจรังงอน แต่ถ้าเสิ่นหยวนติดอ่านนิยายจนไม่สนใจรอบข้างเมื่อไหร่ ก็จะเป็นอาจิ่วนี่แหละที่มานั่งทับเขา งับแขน เอาตัวบังหน้าจอ แย่งความสนใจอย่างสุดความสามารถ


    นอกเหนือจากเวลาถูกเมินแล้ว ตอนที่อาจิ่วคิดว่าคนอื่นไม่สังเกตนี่ละที่จะเป็นช่วงที่อาจิ่วซื่อสัตย์ที่สุด บ่อยครั้งที่เสิ่นหยวนตื่นมาโดยมีก้อนขนสีเทานอนขดอยู่ข้างตัว


    โชคดีที่ในที่สุดปิงเกอก็ดูจะเรียนรู้ได้สักทีว่าคนเราถ้าถูกกดทับหน้าอกนานๆ ก็มีสิทธิตายได้ ดังนั้นตอนที่ปิงเกอเกิดอยากมีส่วนร่วมบ้างก็จะค่อยขยับเยื้องออกมาหน่อย เปลี่ยนเป็นนอนกกเกยกับอาจิ่วที่ทำตัวเป็นก้อนกลมซุกง่ามแขนเขา เข้าคู่กันเหมือนผ้าห่มกับหมอนกอดได้พอดี


    เช้าไหนที่เป็นแบบนี้ กว่าเสิ่นหยวนจะได้ลุกจากที่นอนก็มักสายโด่ง เพราะเสียเวลาไปกับการนอนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่กับตัวเอง ตักตวงความอิ่มอกอิ่มใจขณะคิดว่า


    ได้ตื่นมาโดยมีกลุ่มขนฟูนุ่มก้อนเล็กก้อนใหญ่ล้อมรอบแบบนี้ มีความสุขอย่างกับขึ้นสวรรค์เลย




  • ‘ปิงเกอเป็นหมาใหญ่ใจดี อาจิ่วเป็นแมวน้อยซึนเดเระ’


    เสิ่นหยวนเข้าใจว่าตัวเองรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงทั้งสองของตัวเองเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าความจริงแล้ว...


    ท่ามกลางความมืด เงาร่างเล็กๆ ที่กำลังหมอบอยู่บนที่นอนค่อยๆ ขยับ


    แสงจันทร์ด้านนอกหน้าต่างยังส่องสลัวสงบนิ่ง ทว่าเงานั้นกลับวูบไหว บิดเบี้ยวไปมาราวภาพสะท้อนในเงาน้ำ


    อาจิ่วลุกขึ้นนั่ง ยังไม่ทันได้ชินกับร่างกายอีกแบบก็มีใครคนหนึ่งโผเข้ามาตะครุบเสียก่อน ทั้งตัวท่อนบนถูกโอบรัดไว้ด้วยท่อนแขนแข็งแรง ก่อนที่จะตามมาด้วยริมฝีปากพรมจูบ


    เขาพยายามขืนตัวออกจากอ้อมกอดแต่ก็ไม่สำเร็จ จึงได้แต่ปัดป้องด้วยคำพูด


    “ไปไกลๆ เลยนะไอ้หน้าขน”


    ปิงเกอหัวเราะ จมูกยังซุกไซ้อยู่กับซอกคออาจิ่วไม่ยอมถอยห่าง “พวกเรามันก็หน้าขนกันทั้งคู่ไม่ใช่รึไง?”


    อาจิ่วเดาะลิ้น โมโหที่ด่าไปแล้วดันย้อนเข้าตัว


    เขาเอียงหน้าหลบอย่างไม่ค่อยจะพ้นเท่าไหร่นัก ในขณะที่ปากก็พูดจิกกัดต่อว่า


    “ไอ้หมาพันธุ์ทาง! ไอ้ลูกผสม! ปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะ!”


    ทว่าคำด่าเหล่านี้ ปิงเกอก็ได้ยินจนชินไปหมดแล้ว ชายหนุ่มเพียงส่งเสียงว่า “อือฮึ” เป็นเชิงรับรู้ขณะที่สองมือตะโบมโลมไล้ไปตามแผ่นอกและหน้าท้องเรียบลื่น ถึงแม้ขนยาวๆ นั่นจะนุ่มนิ่มดี แต่นานๆ ครั้งพอได้สัมผัสผิวกายในร่างมนุษย์แล้วก็ทำให้ตื่นเต้นขึ้นมาได้ไม่ยาก


    “นี่!!”


    ปิงเกอชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะหยุดปากที่กำลังไล่ต่ำลงแล้วเงยหน้าขึ้น ช้อนตามองเขาตาปริบๆ อย่างเสแสร้งไร้เดียงสาขณะทำเสียงเตือนดัง ชู่ว และกระซิบเตือนว่า


    “อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวเสิ่นหยวนก็ตื่นหรอก”


    อาจิ่วถลึงตามองค้อน กำลังจะโต้กลับว่า ‘ก็อย่ามาทำรุ่มร่ามใส่ฉันสิ!’ แต่ก็ต้องตระหนกเมื่อเจ้าหมาลามกเริ่มหันกลับไปสนใจที่หน้าท้องของตัวเอง


    แรงสัมผัสของมือข้างหนึ่งที่คว้าเอวไว้นั้นแผ่วเบา เช่นเดียวกันกับปลายนิ้วของมืออีกข้างที่ลากไล่จากแผ่นอกลงมา คละเคล้ากับลมหายใจอุ่นชื้นและริมฝีปากนุ่ม


    ประสาทสัมผัสของเขารับรู้ว่าปิงเกอช่างทำให้รู้สึกดีเหลือเกิน แต่ถึงกระนั้น เบื้องใต้รอยร่องของความอ่อนโยนก็กลับยังมีเค้าบาดแผลและความเจ็บปวดเก่าแก่ซ้อนทับอยู่


    อาจิ่วพลันลนลาน ในอกโหวงวูบว่างเปล่าแต่ในหลอดลมกลับคล้ายมีอะไรสกัดกั้นเอาไว้


    “เดี๋ยว...” เสียงหลุดรอดออกมาได้เพียงแผ่วเบา ฟังแล้วราวกับเสียงหายใจหอบมากกว่าคำพูด


    รอยของมีคมบนผิวต่างแห้งตกสะเก็ด และหลุดลอกออกเหลือเพียงแผลเป็นมานานแล้วก็จริง แต่เมื่อสัมผัสของปิงเกอขยับเข้าใกล้ ร่องรอยสีขาวเหล่านั้นก็กลับจะเจ็บแปลบขึ้นมาใหม่อีกครั้ง


    “ยะ...อย่าจับ!” คำทักท้วงที่ถูกเอ่ยออกมาด้วยทำนองประหนึ่งเสียงสะอื้น ผิดวิสัยเข้มแข็งดุร้ายในยามปกติของตัวเองไปไกลนัก แต่เวลานี้อาจิ่วก็กำลังตื่นตระหนกเกินกว่าจะมานึกตำหนิตัวเอง อุ้งมือแบบมนุษย์ที่มีสิบนิ้วเรียวยาวพยายามต่อต้านอย่างเก้กัง


    กระนั้นปิงเกอก็กลับยอมหยุดให้กับแรงผลักอ่อนจ้อยนั้น ชายหนุ่มเหลือบตาขึ้นมองอีกครั้ง ครานี้ปราศจากเงาสีหน้าเสแสร้ง มีเพียงแต่ประกายที่ดูลึกล้ำเสียจนทำให้คนมองใจหวั่น


    “เจ็บเหรอ?”


    อาจิ่วลังเล ก่อนที่ในที่สุดจะยอมพยักหน้าอย่างช้าๆ ด้วยริมฝีปากเม้มแน่น


    “ไม่เป็นไร” จุมพิตประทับนาบลงมาบนผิวเนื้ออ่อน “ไม่เจ็บแล้ว”


    ลิ้นร้อนโลมไล้ไปตามแต่ละรอยแผล หากเป็นยามปกติอาจิ่วคงนึกแค่นว่าช่างสมกับเป็นสุนัข แต่สำหรับตอนนี้ เขาทำได้เพียงสะกดกลั้นเสียงคราง ในขณะที่สัมผัสซ่านซึมลึกส่งไปถึงช่วงท้องน้อย


    เจ้าสุนัขตัวโตในร่างมนุษย์นั้นยังไม่ทิ้งสัญชาตญาณเดิม ปิงเกอค่อยๆ เลียไปทีละจุด บรรจงปลอบประโลมเงาตกค้างของความเจ็บปวดไปด้วยปลายลิ้น การกระทำนุ่มนวลตรงข้ามกับแวววามในดวงตา


    มันคือแววตาที่อาจิ่วไม่มีทางได้เห็น และเป็นแววตาที่เสิ่นหยวนไม่เคยเห็น


    แววประกายคมปลาบ ดุดันและป่าเถื่อนเกินกว่าที่สุนัขบ้านแสนเชื่อฟังตัวหนึ่งควรจะมี


    ...โชคดีแล้วที่อาจิ่วไม่ได้อยู่ใกล้มนุษย์คนนั้นอีกแล้ว...


    ไม่เช่นนั้น เขาอาจพลั้งทำให้อาจิ่วหวาดกลัวตัวเองเสียแทน




  • เสิ่นหยวนชอบคิดว่าตัวเองรู้ทันสัตว์เลี้ยงของตัวเองทุกอย่าง


    เขาหัวเราะปิงเกอที่ชอบพยายามคร่อมอาจิ่ว ตลกกับเจ้าหมาโง่ที่แยกไม่ออกกระทั่งว่าแมวเป็นสัตว์คนละสปีชีส์กับตัวเอง ซ้ำร้ายแล้วยังเป็นแมวตัวผู้อีกต่างหาก


    เขาแอบยิ้มเวลาอาจิ่วแอบมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ดูออกว่าที่จริงเจ้าตัวอยากให้อุ้มให้จับ แต่ไม่ยอมแสดงออก


    เสิ่นหยวนมั่นใจว่าตัวเองมองปิงเกอได้ทะลุปรุโปร่ง และเข้าใจการแสดงออกถึงความรักของอาจิ่วได้เป็นอย่างดี


    ถึงแม้ว่าความจริงแล้ว...


    “เสิ่นหยวน”


    ผ้าม่านในห้องนอนถูกรูดปิดมิดชิดไม่ให้มีแสงใดเล็ดลอดเข้ามาได้ ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ใต้ความมืดสนิท หากเป็นดวงตาของคนปกติ คงมองเห็นเพียงเงาตะคุ่มของสิ่งของ ก้อนนูนของคนใต้ผ้าห่ม และเงาที่กำลังคร่อมร่างนั้นอยู่


    ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่เหนือร่างนั้น ท่วงท่าและกลิ่นอายกลับทำให้ดูแล้วราวกับสัตว์ที่อยู่ในท่าหมอบเตรียมกระโจน


    “เสิ่นหยวน”


    ชายผู้นี้ตัวเปลือยเปล่า มีเพียงเรือนผมดำขลับยาวสยายปกปิดเรือนร่างแทนอาภรณ์ นอกเหนือจากใบหูเรียวแหลมบนศีรษะและหางที่ผุดจากก้นกบแล้ว เขาก็มีรูปลักษณ์เหมือนมนุษย์ทุกประการ


    อาจิ่วโน้มใบหน้าลงใกล้ เอ่ยซ้ำอีกครั้ง การออกเสียงแปลกแปร่งทว่าเนื้อน้ำเสียงก็ยังทุ้มนุ่มน่าฟัง


    “เสิ่นหยวน?”


    ทว่าก็ไร้คำตอบรับ ชายเจ้าของชื่อยังคงนอนหลับสนิท ไม่อาจรับรู้ได้ถึงเค้าสั่นเครือในน้ำเสียงหรือเงาอ้างว้างในดวงตาของผู้เรียก


    อาจิ่วเผยอริมฝีปาก ปล่อยให้ความเงียบแทรกซึมเข้ามาชั่วครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจไม่เอ่ยอะไรอีก


    เขาจับแขนของเสิ่นหยวนให้กางออก จากนั้นจึงขยับเปลี่ยนท่าทางของตัวเองโดยขณะเดียวกันร่างก็ค่อยๆ ค้อมลง จากชายหนุ่มร่างเพรียวกลับกลายไปเป็นแมวขนยาวตัวหนึ่งนอนขด


    หากเงี่ยหูฟังให้ดี นอกเหนือจากเสียงฮัมของเครื่องปรับอากาศแล้ว ยังมีเสียงครางครือเบาๆ ปะปนอยู่ด้วย




  • เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอแล้ว ปิงเกอก็จึงค่อยก้าวเข้าไปในห้อง


    แม้ฝีเท้าจะเงียบเชียบ แต่ด้วยน้ำหนักของสุนัขตัวโตที่เหยียบลงบนเดียวแล้วก็ทำให้เกิดเสียงเอียดอาดเบาๆ


    หากเป็นเหมือนเมื่อก่อน ปิงเกอจะไม่ลังเลเลยที่จะนอนทับเสิ่นหยวนไปทั้งอย่างนั้น สำหรับเขา การได้เห็นชายหนุ่มทำท่าตะเกียกตะกายปานจะขาดใจทุกเช้านั้นก็นับได้เป็นความบันเทิงอย่างหนึ่ง


    แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ในบ้านมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง เป็นเจ้าแมวขี้เหงาที่มักใช้ความฉุนเฉียวเป็นเกราะป้องกันตัว (ปิงเกอยังจำความเจ็บของรอยข่วนบนจมูกได้ดี...แม้ในขณะเดียวกันก็ยังจำสัมผัสอุ่นซ่านของปลายลิ้นที่ช่วยปลอบประโลมได้ด้วยก็ตาม)


    แมวน้อยตัวนี้ตื่นตกใจได้ง่ายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหวาดกลัวของมีคมและเสียงคนตะโกนเป็นที่สุด จึงต้องปล่อยให้มีรังลับอยู่บนตู้หนังสือถึงแม้เสิ่นหยวนจะรู้สึกกังวลกับของที่อยู่บนนั้นมากก็ตามที


    นอกจากความขี้ตื่นเหล่านี้แล้ว อาจิ่วก็ยังขี้ระแวงอีกด้วย ระแวงทั้งที่แปลกถิ่น คนแปลกหน้า สิ่งของแปลกตา และที่สำคัญ...


    ยังมักหวาดระแวงว่าจะถูกทอดทิ้ง


    ปิงเกอพ่นลมหายใจอย่างดูหมิ่นขณะหมอบตัวลงนอน ไม่ใช่ทับบนตัวเสิ่นหยวนอย่างปกติแต่กลับเยื้องออกมาด้านข้าง บนที่ว่างจุดเดียวกันกับที่กลุ่มขนสีเทานอนขดอยู่


    เขาเกยคางไว้เหนือศีรษะเล็กๆ ได้แต่คิดอย่างระอาเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนจะหลับตาลง


    ระแวงอะไรได้ไร้สาระสิ้นดี



    _____________________________________________________________________________________________________



    When in doubt, write fluff
    Writing Playlist
    Alone Together - Fall Out Boy
    Home - Gabrielle Aplin
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in