เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Fanfic Compilationmoneymonday
[ตัวร้ายอย่างข้าฯ | ปิงจิ่ว] Kafkatrap

  • Mafia AU


    เทียนหลางจวินหายตัวไปครึ่งปีแล้ว ว่ากันว่าป่านนี้ก็คงกลายเป็นแท่งคอนกรีตนอนอยู่ก้นแม่น้ำที่ไหนสักแห่ง


    ราชาโลกมืดคนใหม่ขึ้นกุมอำนาจได้ไม่ทันไรก็กวาดล้างจนถนนหนทางสะอาดสะอ้าน แทบไม่เหลือร่องรอยกลุ่มโสเภณีตรงหัวมุมถนนหรือพวกค้ายาในตรอกมืด


    คนที่โง่ก็จะชื่นชมว่าคนลูกดีกว่าคนพ่ออักโข ช่างเป็นมาเฟียมือสะอาด รู้ผิดรู้ชอบทั้งยังสามารถวางระเบียบได้เป็นอย่างดี


    ส่วนคนในวงใต้ดินอย่างเขาก็จะรู้ว่าคนลูกนี่ละ ชั่วกว่าคนพ่อหลายเท่าตัว


    เมืองที่ถูกจัดระเบียบจนขาวสะอาดนั้นปราศจากพวกปลาซิวปลาสร้อยไร้สังกัดไปแล้ว และที่เหลืออยู่ก็มีเพียงคนที่ยอมศิโรราบต่อราชาคนใหม่ ส่งทอดสายป่านอำนาจให้สามารถควบคุมเมืองทั้งเมืองได้อย่างหมดจดยิ่งกว่ารัชสมัยก่อน


    เมื่อแสงสว่างจ้าขึ้น เงามืดก็ดำเข้มขึ้นไปด้วยเช่นกัน


    และในกรณีนี้ แสงสว่างนั่นแท้จริงก็เป็นแสงเทียมที่ถูกเงามืดบงการอยู่


    เสิ่นจิ่วเดินทอดน่อง เมืองที่เคยเปรียบได้กับบ่อโคลนขุ่นคลั่กตอนนี้กลายเป็นทะเลเลือด ลูกค้ารายใหญ่ของเขาถูกฆ่าตายคาเตียงนอน ในขณะที่สายข่าวหนึ่งของเขาก็ถูกลอบยิงกลางถนน


    ถึงรายรับหลักเขาจะได้จากแป้นคีย์บอร์ด หน้าจอคอมพิวเตอร์ และมันสมองของตัวเอง แต่ถ้าหากขาดรายได้เสริมนี้ไปก็คงฝืดเคืองขึ้นไม่น้อย


    บางทีอาจจะถึงเวลาต้องอพยพแล้วก็ได้...


    เขาขบคิดอย่างลังเลขณะเดินวนผ่านตรอกเดิมเป็นครั้งที่สาม ก่อนจะเลี้ยวเข้าทางขึ้นอาคารในที่สุด


    แต่ถ้าหากเป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากจะไปจากที่นี่


    เขานึกถึงเส้นสายที่ยังมีเหลืออยู่ ชั่งน้ำหนักกับตัวเลขบนบิลที่ต้องจ่าย แล้วก็ได้แต่ส่ายศีรษะขณะตรวจสอบไส้ดินสอตรงบานพับและเศษกระดาษที่เสียบไว้ระหว่างกรอบประตู


    ท้ายที่สุด เขาติงตัวเองว่ายังไม่ถึงเวลาจนตรอก จะเป็นลูกค้าหรือสายข่าวต่างก็หาใหม่ได้ทั้งนั้น นี่ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะให้ทำตัวใจเสาะ


    เสิ่นจิ่วเปิดไฟดวงเล็กหน้าประตูขณะก้มลงถอดรองเท้าตามความเคยชิน ไม่ทันสังเกตความผิดปกติไปจนกระทั่งเดินลึกเข้าไปด้านใน


    ไฟในห้องนั่งเล่นไม่ได้เปิดเอาไว้ แต่แสงสว่างของช่วงโพล้เพล้จากด้านนอกก็ส่องทะลุผ้าม่านผืนบางเข้ามาให้พอมองเห็น


    มากพอจะให้มองเห็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งในเก้าอี้นวมกลางห้อง


    ชุดสูทท่าทางราคาแพงบนร่างนั้นดูไม่เข้าที่เข้าทางเลยสักนิดกับเฟอร์นิเจอร์ดาษๆ รอบตัวในอพาร์ตเมนต์ขนาดเล็ก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เจ้าตัวก็กลับดูแสนผ่อนคลายขณะค่อยๆ ปิดหนังสือในมือและเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นจิ่ว


    เขาเป็นชายรูปงาม เอกลักษณ์ทั้งหลายบนใบหน้าเปี่ยมเค้าประณีต โดยเฉพาะโครงจมูกและริมฝีปากที่ดูอ่อนช้อยคล้ายสตรี ในขณะที่ดวงตาคมกร้าว อพคาพยพทั้งห้าสอดรับขับประสานกันออกมาเป็นความงดงามอย่างคมคาย


    และก็เป็นความงดงามที่สามารถสะกดใจผู้มองได้แม้รอยยิ้มจะส่งไปไม่ถึงดวงตา


    “วันนี้กลับช้านะครับ”


    หัวใจของเขาเต้นรัวขึ้นชั่วขณะหนึ่ง ความคิดเร่งย้อนทบทวนการกระทำตลอดทั้งวันที่ผ่านมาของตัวเองก่อนจะค่อยสงบลง วันนี้เขาไม่มีอะไรเป็นพิรุธ


    เสิ่นจิ่วยืนนิ่ง ไม่ยอมเข้าไปใกล้มาขึ้นแม้สักครึ่งก้าว ทั้งยังไม่คิดจะให้ค่าผู้บุกรุกมากไปกว่าความเงียบ


    ทว่าคนบนเก้าอี้นวมกลับยังคงยิ้ม ศอกสองข้างวางเท้าที่วางแขน ในขณะปลายนิ้วเกี่ยวประสานกันเป็นท่วงท่าราวกำลังเจรจาธุรกิจ สีหน้าสงบและเป็นมิตรอย่างน่าขนลุก


    ชายหนุ่มทำทีเป็นมองไปรอบๆ เสมือนว่าไม่ได้ฉวยโอกาสสำรวจจนทั่วไปแล้วก่อนเจ้าของบ้านจะกลับมา จงใจยืดระยะเวลาของความเงียบออกไปให้นานที่สุดก่อนที่จะหันกลับมาสบตากับเสิ่นจิ่ว น้ำเสียงเรียบเรื่อย


    “ที่อยู่แบบนี้ ดูแล้วไม่สมกับรายรับของคุณเลยนะครับ”


    ในคำพูดนั้นมีความหมายซ้อนแฝง เสิ่นจิ่วที่แม้รู้ความหมายหมายนั่นได้ทันทีก็ยังคงเงียบ ไม่มีวันยอมเป็นฝ่ายเผยไพ่ก่อนโดยเด็ดขาด


    เขารู้ดีว่ามีข้ออ้างมากมายให้ใช้ หรือกระทั่งจะตอบจิกกัดกลับไปก็ไม่เกินความสามารถ แต่เสิ่นจิ่วไม่ใช่คนเช่นนั้น เขาไม่มีความจำเป็นจะต้องตอบโต้หรือแก้ตัวอะไรกับพวกเดนมนุษย์อย่างลั่วปิงเหอ ต่อให้อีกฝ่ายจะถูกขนานนามว่าเป็น 'ราชาโลกมืด’ หรือมีดวงตาที่ดูราวมองเห็นเขาทะลุปรุโปร่งมากเท่าไรก็ตาม
    ‘บ้าน’ เป็นสถานที่ที่ส่วนตัวที่สุดของคนคนหนึ่ง ไม่ว่าจะในแง่ของสัญชาตญาณพื้นฐานที่ติดตัวมาตั้งแต่บรรพบุรุษ หรือในแง่อันละเอียดอ่อนและซับซ้อนอย่างเช่นความรู้สึก


    การที่จู่ๆ มาปรากฏตัวใน ‘บ้าน’ ของคนอื่น...การทำลายปราการและบุกรุกเข้าไปยังพื้นที่ที่ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของผู้อื่น...เช่นนี้ก็ย่อมมีจุดประสงค์ได้เพียงอย่างเดียว


    ข่มขู่


    เป็นการกระทำเชิงสัญลักษณ์ที่จงใจถ่มน้ำลายใส่เขา ไม่ต่างอะไรไปจากการหัวเราะเยาะซึ่งหน้าว่าผู้ถูกรุกล้ำนั้นอ่อนแอและด้อยกว่า และทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเขาถูกล่วงรู้ไปเรียบร้อยแล้ว


    แน่นอนว่าเขาฉลาดพอจะไม่ทิ้งข้อมูลส่วนตัวไว้ในที่แจ้ง แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีเศษเสี้ยวของเสิ่นจิ่วยึดโยงอยู่กับสิ่งของต่างๆ ในห้องนี้


    เก้าอี้นวมตัวโปรด แก้วน้ำที่ใช้บ่อย หนังสือที่ยังอ่านค้างไว้ หรือแม้กระทั่งโต๊ะกินข้าวที่หันเข้าหาหน้าต่าง รับมุมแสงแดดที่เขาชอบที่สุด...เมื่อมีลั่วปิงเหอแทรกเข้ามาอยู่กึ่งกลางเช่นนี้แล้ว ก็ประหนึ่งว่าความคิดเบื้องหลังการจัดวางทั้งหมดถูกเปิดเปลือยต่อหน้าชายผู้นี้ไปจนหมดสิ้น


    และหากเสิ่นจิ่วจะต้องยอมรับว่าเกลียดชังอะไรบ้าง การถูกมองออกย่อมต้องอยู่ในอันดับต้นๆ


    ดังนั้นเขาจึงปิดปากเงียบ สบตาตอบกลับไปอย่างไม่ลดละ


    ประกายกร้าวแล่นผ่านแววตาของอีกฝ่ายไปเสี้ยวแวบหนึ่ง ทว่าไม่ทันกระทั่งจะกะพริบตาก็หายวับไป เหลือเพียงฉากหน้าจอมปลอมดังเดิม


    “แต่ถึงห้องจะเล็กไปหน่อย ทำเลก็กำลังดีเลยนะครับ” ลั่วปิงเหอลุกขึ้นยืน ร่างสูงโปร่งเมื่อก้าวไปยืนข้างหน้าต่างแล้วก็ทำให้บานกรอบดูเล็กลงถนัด ท่าทางสบายๆ ราวกับอยู่ในบ้านของตัวเอง มือข้างหนึ่งล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง ขณะที่อีกข้างแหวกผ้าม่านให้เปิดออก


    การเคลื่อนไหวนั่นทำให้ปลายนิ้วของเสิ่นจิ่วกระตุก


    ชายหนุ่มส่งเสียงฮัมในลำคอเล็กน้อย เสมือนว่าได้ยืนยันความคิด “ดูสิ เดินไปนิดเดียวก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว สะดวกจริงๆ”


    เสิ่นจิ่วขยับเท้า คิดจะหลบออกไปให้พ้นระยะหน้าต่างเมื่อถูกขัดขึ้นเสียก่อน


    “อ๊ะ” ลั่วปิงเหอเบือนหน้ากลับมาทางเขา แสงสีส้มแดงในยามเย็นส่องกระทบเสี้ยวหน้ามุมหนึ่ง ขับให้รอยยิ้มยิ่งดูงดงามจับตา “อยู่เฉยๆ จะดีกว่านะครับ มือปืนของผมยิ่งเป็นคนใจร้อนอยู่ด้วย”


    เสิ่นจิ่วกัดฟัน ได้แต่สบถในใจ ตำหนิตัวเองที่ไม่รีบเคลื่อนไหวให้เร็วกว่านี้


    “เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่มาก ห้องพักก็ตกแต่งอย่างกับโรงแรม ค่ารักษาท่าทางจะแพงน่าดู...เห็นว่าเชี่ยวชาญด้านระบบประสาทด้วย” อีกฝ่ายเกริ่นต่อไป


    “ช่วงนี้ผมกำลังคิดจะลงทุนด้านสาธารณสุขดูบ้างน่ะครับ เลยได้หาข้อมูลมาพอสมควร แล้วก็ดันบังเอิญไปได้ยินเรื่องน่าสนใจมาอย่างหนึ่ง”


    ‘บังเอิญ’ บ้างละ ‘ได้ยินว่า’ บ้างละ


    โกหกทั้งเพ ของแบบนี้ถ้าไม่ใช่เพราะไปตรวจสอบมาแล้วจะรู้ได้ยังไง?


    เสิ่นจิ่วเกลียดวิธีการพูดอ้อมโลกแบบนี้ที่สุด และรังเกียจยิ่งกว่าที่ลั่วปิงเหอนำวิธีแบบนี้มาใช้


    เหมือนกับสัตว์ที่พยายามเลียนแบบท่าทางของมนุษย์ ลั่วปิงเหอเพลิดเพลินกับการสวมมาดเป็นสุภาพชนในทำนองเดียวกัน


    แต่ก็เช่นเดียวกันกับเสื้อสูทเนื้อดีที่แฝงกลิ่นเขม่าดินปืน เช่นเดียวกันกับรอยยิ้มที่ไม่ใคร่จะปกปิดแววกระหายเลือดในดวงตาได้มิด มันเป็นเพียงการเสแสร้งเพื่อความบันเทิง ที่ไม่หวังผลให้ดูแนบเนียนเลยแม้แต่นิดเดียว


    น่าเศร้าที่เด็กเกเรแก่แดดคนนี้มีอำนาจอยู่ในมือมากเกินไป ดังนั้นต่อให้ใครจะคิดอย่างไร สุดท้ายก็ได้แต่ต้องเล่นละครบทเดียวกันตามไปด้วย


    เสิ่นจิ่วรู้ดีว่าคำพูดต่อไปของอีกฝ่ายจะเป็นอะไร กระนั้นหัวใจก็ยังโหวงวูบเมื่อได้ยินชื่อที่คุ้นเคย


    “มีผู้ป่วยคนหนึ่งชื่อเสิ่นหยวน”


    แล้วยังไง ฉันไม่ได้แซ่เสิ่นอยู่คนเดียวบนโลกซักหน่อย


    เขากลบเกลื่อนความปั่นป่วนในใจด้วยสีหน้าเมินเฉย เพียงสบตาตอบเป็นเชิงท้าทาย รู้ดีเกินกว่าจะเอ่ยคำโต้แย้งให้ถูกเปิดโปงว่าเป็นการยอมรับ


    ลั่วปิงเหอพูดต่อไปเรื่อยๆ “น่าสงสารนะครับ เห็นว่าไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลมาหลายปีแล้ว แถมยังไม่มีญาติพี่น้องเหลืออยู่เลยซักคน แต่ก็โชคดีจริงๆ ที่ยังมีคนคอยจ่ายค่ารักษาให้ตลอด”


    มันคือเงินประกัน หรือไม่ก็เงินที่ได้จากมรดกไงล่ะ


    “มันน่าแปลกนะครับ ใครๆ ก็รู้ว่า ‘เสิ่นชิงชิว’ เรียกค่าจ้างสูงลิบ มีชื่อเสียงว่าหน้าเงินเป็นที่หนึ่ง แต่ทำไมถึงอยู่ในที่แบบนี้ แล้วยังไม่มีทรัพย์สินอะไรเลย”


    ฉันอาจจะเป็นผีพนัน หรือไม่ก็ฟุ่มเฟือยมาก หรือไม่ก็ซ่อนทรัพย์สินพวกนั้นไว้ในที่ที่แกหาไม่เจอก็ได้น่ะสิ


    เสิ่นจิ่วขบกรามแน่น ไม่รู้ตัวว่าถูกแววตาของตนเองทรยศความเงียบและสีหน้าเรียบเฉยไปเสียแล้ว


    “หรือว่าเงินทั้งหมดของคุณ…ถูกใช้เป็นค่ารักษาพยาบาลของเสิ่นหยวนไปหมดแล้ว?”


    แสงสุดท้ายของวันทอดให้เงาในห้องยืดยาว ท่ามกลางสีสันอันอบอุ่น ใบหน้าในเงาย้อนแสงของลั่วปิงเหอยิ่งดูประดุจยมทูต ไม่ว่ารอยหยักยิ้มที่มุมปากจะอ่อนละมุนเพียงใด


    “ผมพูดถูกใช่ไหม”


    ดวงอาทิตย์จมลับลงเบื้องหลังยอดตึก ทำให้ในห้องค่อยๆ สลัวลงทีละน้อย


    “...เสิ่นจิ่ว”


    คู่ดวงตาเบื้องหน้าสะท้อนเพียงแสงไฟจากประตูทางเข้า เห็นเป็นประกายวับวามปานดวงดาวที่ช่วงชิงมาจากท้องฟ้า


    เสิ่นจิ่วขบริมฝีปาก ตระหนักชัดเจนว่าอีกฝ่ายมั่นใจในความแม่นยำของข้อมูลในมือ และไม่ว่าเขาจะพูดหรือทำอะไรก็ไม่มีวันจะเปลี่ยนความคิดนั้นได้


    แผนเดิมพันหนึ่งผุดขึ้นในสมอง ความเจ็บของสัมผัสแข็งทื่อที่กดทับอยู่กับบั้นเอวเป็นดังคำกระตุ้น กระนั้นขณะเดียวกันก็รู้ดีว่าลั่วปิงเหอไม่ได้พกพามาเพียงมือปืนคนเดียวในตึกฝั่งตรงข้าม


    อาจจะมีคนยืนอยู่อีกฝั่งของประตูห้องนี้เองก็ได้ หรืออาจจะเฝ้าตรงทางเข้าตึก หรือสังเกตการณ์จากในรถที่จอดริมอีกฝั่งถนน แต่ที่แน่ๆ คือจะต้องมีคนอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วย คงด้วยข้ออ้างว่าเป็นเพื่อนที่มหาลัย ญาติที่พลัดพราก หรือไม่ก็เจ้าหน้าที่ทางกฎหมาย


    ก่อนหน้าจะมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอย่างนี้ลั่วปิงเหอย่อมเตรียมการไว้เรียบร้อยหมดแล้ว คนคนหนึ่งไม่มีวันขึ้นมาครอบครองโลกใต้ดินนี้ได้เพียงด้วยเสน่ห์และรูปลักษณ์ แต่หากต้องการจะอยู่รอด ความรอบคอบและหวาดระแวงเองก็สำคัญไม่แพ้ความโหดเหี้ยม


    เสิ่นจิ่วนั้นทั้งรอบคอบและหวาดระแวง และขอเพียงแค่ไม่มีจุดอ่อนบนเตียงผู้ป่วยเชื่อมสายระโยงระยางนั่น เขาก็จะสามารถโหดเหี้ยมได้อย่างถึงที่สุด


    ความคิดสัมฤทธิ์ผลได้เพียงปลายนิ้วมือ ปิดตายห้องนี้ คนสองคน ใช้กระสุนสองนัด เขายิงไม่พลาดแน่ ต่อให้ไม่รอดก็ช่างปะไร ขอให้ได้ลากเดนมนุษย์นี่ตายตกไปตามกันก็พอแล้ว


    สารเคมีในร่างกายสูบฉีดตอบสนองต่อจินตนาการนั้น หัวใจเต้นรัวขึ้นอีกครั้ง ลมหายใจกระชั้นขึ้นทีละนิด


    เหงื่อเย็นไหลลงข้างขมับ เสิ่นจิ่วหลับตาลงและตัดสินใจ


    เขารู้ขอบเขตความโหดเหี้ยมของตัวเองดี


    และแม้จะเจ็บใจ ก็ยังรู้ด้วยว่าความโหดเหี้ยมของเสิ่นจิ่วนั้นสิ้นสุดที่หน้าบานประตูห้องคลุ้งกลิ่นยาฆ่าเชื้อ


    ภาระติดตัวของเขาคนนั้น ในเมื่อเสียเงินรักษาชีวิตมาให้นานขนาดนี้แล้วก็ต้องอยู่ไปให้ถึงที่สุดสิ


    เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ตรงหน้าก็มีแต่เงาร่างหนึ่งและความมืดมิด


    เสียงของเขาแหบแห้ง


    “ต้องการอะไร”


    ลั่วปิงเหอก้าวเข้ามาใกล้ ต่อให้ไม่ต้องอาศัยแสงสว่างจากด้านหลังก็ยังรู้ว่าริมฝีปากนั่นโค้งขึ้น เป็นรอยยิ้มที่ในที่สุดก็ส่งไปถึงดวงตา


    ทว่าก็เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่ามองที่สุดสำหรับเสิ่นจิ่วด้วยเช่นกัน




    _____________________________________________________________________________________________________



    Kafkatrap : การถือว่าการปฏิเสธคือหลักฐานว่ามีความผิดจริง

    Writing Playlist
    Blame - Bastille
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in