เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Fanfic Compilationmoneymonday
[ตัวร้ายอย่างข้าฯ | ปิงจิ่ว] Mania

  • A/B/O-Modern AU


    รถสีดำคันนั้นจอดอยู่ที่เดิมมาหลายวันแล้ว


    ...พอพูดแบบนี้ ทุกอย่างก็ฟังดูเหมือนกับหลุดออกมาจากในหนังชอบกล


    เสิ่นจิ่วได้แต่ส่ายศีรษะกับตัวเองเงียบๆ อาคารนี้มีระดับการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาสมราคาสูงลิ่ว ไม่ว่ารถคนนั้นมีร้ายหรือไม่ ก็ไม่มีทางจะทำอะไรได้อยู่ดี


    หน้าประตูทางเข้ามีแผงตรวจจับคีย์การ์ดอยู่แล้วขั้นหนึ่ง จากนั้นเมื่อเข้ามาถึงล็อบบี้แล้วก็ยังต้องสแกนบัตรซ้ำ โดยที่ลิฟต์จะพาขึ้นไปยังชั้นที่พักอาศัยตามข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้โดยอัตโนมัติ เป็นกลไกเพื่อความปลอดภัยและเป็นระเบียบที่รัดกุมอย่างยิ่ง


    กระนั้น ลางสังหรณ์ที่ผุดขึ้นในใจก็กลับคล้ายจะสลัดไม่หลุด เสิ่นจิ่วเหลือบมองออกไปยังถนนฝั่งตรงข้ามอีกครั้งก่อนจะก้าวเข้าไปในลิฟต์


    ประตูเหล็กมันปลาบเลื่อนปิดลงตัวเลขดิจิตัลจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างไม่ช้าไม่เร็ว เสิ่นจิ่วพรูลมหายใจพลางหลับตาลง ไม่เชิงผ่อนคลายแต่ก็ไม่ใช่จดจ่อรอคอย เป็นเพียงการฉวยโอกาสพักสายตาเล็กน้อยก่อนจะต้องไปทำงานต่อเมื่อถึงห้อง ตามปกติแล้วต้องใช้เวลาเกือบนาทีกว่าจะไปถึง เป็นช่วงเวลาไม่ช้าไม่นานที่ก็บ่งบอกได้ว่าเขาต้องทุ่มกำลังทั้งกายใจไปเท่าไหร่กว่าจะมาถึงจุดนี้


    ...แต่ถึงแม้ลำดับชั้นจะอยู่สูง มันก็ยังเป็นห้องระดับรอง


    แผลสดใหม่ในใจถูกสะกิด เสิ่นจิ่วเผลอหลับตาแน่น หัวคิ้วชักเข้าหากันไปโดยไม่รู้ตัว


    รายได้ของเขาตอนนี้ยังไม่มากพอจะมีเพนต์เฮาส์เป็นของตัวเอง


    แต่ก็ไม่นานนักหรอก...เสิ่นจิ่วคิด


    เป้าหมายของเขาไม่ใช่ง่ายดายอย่างแค่เพียงต้องการอยู่อย่างสุขสบาย...แต่เป็นการได้ ‘เป็นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้อยู่เหนือพวกอัลฟ่าที่น่าชิงชังเหล่านั้นต่างหาก


    ทำไมผู้คนต้องถูกจำกัดและตีค่าด้วยเพศรองที่มีติดตัวมาแต่กำเนิด?


    เขานึกถึงเส้นทางอาชีพที่เข้าสู่ทางตันของตัวเองแล้วก็ขบริมฝีปาก ทำไมคนที่พยายามและทุ่มเทจนเลือดตาแทบกระเด็นถึงถูกปิดกั้นได้ง่ายๆ ด้วยเหตุผลเพียงว่า ‘เพราะคุณเป็นเบต้า’?


    ทำไมอัลฟ่าที่มีสัญชาตญาณรุนแรงอย่างกับสัตว์ป่าถึงถูกยกให้มีตำแหน่งสูงกว่าคนอื่น?


    ทำไมโอเมก้าที่มีดีแค่ปล่อยฟีโรโมนได้ถึงได้รับการยกย่องเชิดชู ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษเหนือใครๆ?


    เสิ่นจิ่วรังเกียจคนเหล่านั้น พวกที่แค่บังเอิญโชคดีก็ได้เดินบนพรมกุหลาบตั้งแต่เกิด ในขณะที่คนอื่น...ในขณะที่เขา...ไม่ว่าจะดิ้นรน กระเสือกกระสนปีนขึ้นจากบ่อโคลนด้วยแรงกำลังเท่าใดก็กลับไม่มีวันได้รับโอกาสเทียบเท่า


    คำปฏิเสธของนายจ้างก้องสะท้อนไปมาในความคิด แทบจะทำให้เขายอมรับว่ามันทิ่มแทงหัวใจจนเจ็บระบม


    เสียงเอ่ยเลขชั้นพลันดังขึ้น


    เขาสะดุ้งเฮือก


    จริงอยู่ที่เสียงนั้นยังคงแข็งทื่อ ไร้ทำนองสูงต่ำ และออกเสียงอย่างไม่เป็นธรรมชาติราวเป็นปัญญาประดิษฐ์อยู่เช่นเคย เพราะสิ่งที่ทำให้เลือดในกายจับตัวนั้นก็คือหมายเลขที่ผิดเพี้ยนไปต่างหาก


    เขาเงยหน้าขึ้น ได้รับการยืนยันจากตัวเลขไม่คุ้นตาแล้วหัวใจยิ่งหล่นวูบ จู่ๆ สังหรณ์อันหนักอึ้งพลันโถมเข้าใส่ มันเป็นเหมือนกับเกลียวคลื่นที่สูงท่วมศีรษะ ซัดสาดน้ำทะเลเย็นเยียบเข้าใส่ ทำให้ตัวเขาถูกพัดพาจนล้มคว่ำ จมดิ่งลงไปในวังวนของน้ำ อึดอัดทรมานเหลือจะเปรียบ


    ลมหายใจคล้ายติดสำลักอยู่ในลำคอ แม้สมองยังไม่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จิตสำนึกก็กลับราวจะได้คำตอบไปแล้ว


    บานประตูที่สะท้อนภาพใบหน้าซีดเผือดของเขาเคลื่อนเปิดออก เชื่องช้าประดุจเปิดม่าน ทว่าก็ยังเร็วเกินกว่าที่ตัวเองจะเสแสร้งใดได้ทัน


    ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น


    ใบหน้าคุ้นตาดูไม่คล้ายเหมือนอย่างเคย แต่กระนั้นก็ยังทำให้เหมือนถูกย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายปีก่อนได้อยู่ดี


    เค้าลางอ่อนละมุนตรงข้างแก้มหายไปแล้ว ความไร้เดียงสาเมื่อยังอ่อนเยาว์บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยเงาอันตราย…


    จากความเคยคุ้นหลงเหลือเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่ง


    ลั่วปิงเหอยิ้ม


    ทั้งเส้นโค้งตรงขอบตาและรอยหยักบนมุมปากล้วนละมุนยิ่ง ดูอ่อนโยนเสียจนแทบได้กลิ่นหวานเลี่ยนแซมมาในอากาศ


    "ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ รุ่นพี่"


    เหงื่อเย็นไหลไปตามสันหลัง พานให้รู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวขึ้นมาในฉับพลัน


    เสิ่นจิ่วเม้มปาก ทำทีเมินเฉย ขณะเดียวกันหัวสมองก็เร่งคิดเร็วรี่


    สถานการณ์ของเขาไม่ต่างอะไรไปจากหนูติดจั่น เบื้องหลังคือทางตันอย่างไม่ต้องสงสัย ในขณะที่เบื้องหน้ามีเพียงชายคนหนึ่งและประตูบานคู่หนึ่งชุดเท่านั้น


    “ผมเปลี่ยนข้อมูลคีย์การ์ดของรุ่นพี่ไปโดยพลการ ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้ตกใจ” อีกฝ่ายสาวเท้าเข้ามาใกล้ ดูราวไม่สังเกตเห็นสีหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย


    “แต่ต่อไปนี้เราจะได้อยู่ด้วยกัน...เหมือนอย่างที่เคยสัญญาไว้แล้วนะครับ”


    เสียงทุ้มต่ำยังคงนุ่มนวล ถ้อยคำอ่อนหวานปานเอื้อนเอ่ยกับคนรัก


    ทว่าสำหรับเสิ่นจิ่วแล้ว แต่ละพยางค์ล้วนอาบไปด้วยพิษร้าย ต่อให้เพียงได้ยินโดยไม่หลงเชื่อก็ยังสามารถทำให้เจ็บปวด


    เสิ่นจิ่วรู้ดีว่าตนกำลังตกอยู่ในสถานะเป็นรอง แต่เหตุผลและอารมณ์ก็ต่างแตกแยก จึงทำให้ไม่อาจหยุดตัวเองไม่ให้แค่นเสียงเสียดสีออกไปได้ว่า “แล้วที่ฉันเคยพูดว่าจะมีลูกให้แกนี่ก็ยังต้องทำด้วยรึไง?”


    ฝ่ามือร้อนผ่าวพลันคว้าแขนเขาไว้ แรงที่ฉุดกระชากสวนทางกับน้ำเสียงเรียบเรื่อย ลั่วปิงเหอยังคงยิ้ม เพียงเอียงศีรษะมองเขาพลางตอบว่า


    “รุ่นพี่สัญญาอะไรไว้ก็ต้องทำตามนั้นให้หมดสิครับ?”


    หัวใจของเสิ่นจิ่วตกวูบ


    เขาเซตามแรงดึงออกไปนอกลิฟต์ ความกลัวที่พุ่งวาบขึ้นมาทำให้เอ่ยอะไรไม่ออกไม่ชั่วขณะ จนกระทั่งมองเห็นประตูไม้บานโตใกล้เข้ามาตรงหน้าแล้วก็จึงเริ่มต่อต้านขึ้นอีกครั้ง


    “แกเป็นบ้าไปแล้วรึไง?!” เขาตะคอก


    ท่าทีของอีกฝ่ายทำให้หวาดหวั่นเสียจนต้องเอ่ยคำที่เกลียดแสนเกลียดออกมาว่า


    “ฉันเป็นเบต้า!!”


    เบต้าที่แสนจะธรรมดา ไม่มีพละกำลังล้ำเลิศหรือประสาทสัมผัสพิเศษ เป็นเพียงเพศรองที่ถูกมองข้าม ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็จำต้องตกเป็นรองไปโดยไร้เหตุผล...นั่นคือตัวเขาเอง


    ไม่คาดว่าอีกฝ่ายเองก็ประหลาดใจที่เขาจะเป็นฝ่ายประกาศเช่นนั้นออกมาด้วยตัวเอง เสิ่นจิ่วฉวยโอกาสบิดแขน อาศัยเสี้ยววินาทีนั้นขืนตัวออกจากการเกาะกุม ร่างกายขับเคลื่อนไปด้วยสัญชาตญาณขั้นพื้นฐานของเหยื่อ


    โถงลิฟต์ไม่ได้กว้างขวางจนเกินไป และประตูหนีไฟก็ดูแล้วห่างออกไปเพียงไม่เกินเอื้อม แต่เขาก็กลับคล้ายจะต้องใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อบังคับตัวเองให้ออกวิ่งไปข้างหน้า


    กระนั้น อีกฝ่ายเพียงสาวเท้าไม่กี่ก้าวก็ไล่ตามทันเสียแล้ว


    ความตระหนักอันขมปร่าสะท้อนขึ้นมาในทรวงอก


    การดิ้นรนที่ไม่ต่างอะไรไปจากการเดิมพันระหว่างความเป็นความตายของเขา...ก็คงจะเป็นเพียงการละเล่นแมวหยอกหนูในสายตาของลั่วปิงเหอเท่านั้น


    ท่อนแขนถูกดึงไว้อย่างแรงอีกครั้ง เสิ่นจิ่วตัดสินใจชั่วพริบตาหมุนตัวกลับไปเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ ก่อนที่สุดท้ายจะถูกรวบแขนไปทั้งสองข้าง พ่ายแพ้สิ้นท่า


    อีกฝ่ายเพียงใช้มือข้างเดียวก็กุมสองข้อมือของเขาตรึงไว้ด้านหลัง จากนั้นจึงผลักให้หันเข้าหากำแพง
    ร่างสูงใหญ่ก็พลันขยับเข้ามาแนบชิด ทำให้เสิ่นจิ่วต้องตกอยู่ในสภาวะถูกกักขังไปโดยสิ้นเชิง


    เสียงหัวใจเต้นรัวแรงเสียจนสองหูอื้ออึง กระนั้นกับเสียงกระซิบกลั้วหัวเราะข้างหูก็กลับได้ยินชัดเจนทุกคำ


    “ประตูหนีไฟเปิดเข้าไปในตัวตึกไม่ได้นะครับ รุ่นพี่คิดจะวิ่งลงบันไดสี่สิบชั้นไปถึงหน้าล็อบบี้จริงๆ เหรอ?”


    เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่ตอบ ด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายจงใจใช้น้ำเสียงเช่นนั้นเพื่อยั่วโมโหตน


    “รุ่นพี่?”


    ...แต่ก็น่าเจ็บใจอีกเช่นกันที่อีกฝ่ายรู้ว่าควรทำเช่นไรให้เขาโมโห


    ปลายจมูกคลอเคลียอยู่แถวต้นคอ มาพร้อมกันกับจุมพิตที่พรมลงสะเปะสะปะไปทั่วไม่ยอมหยุด


    “รุ่นพี่ไม่คิดถึงผมบ้างเลยเหรอครับ?”


    เสิ่นจิ่วหลับตาเม้มปากแน่น พยายามขยับศีรษะเบือนหน้าหนีริมฝีปากที่รุกไล่ ทว่าในตำแหน่งที่ถูกทาบทับอยู่นั้นก็ทำให้ไม่อาจหลบเลี่ยงได้เลย


    ลั่วปิงเหอยังคงพูดต่อไป สุ้มเสียงอ่อนแผ่วลงเหลือเพียงรำพึง ท่าทางดูราวกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ของตัวเอง “ผมน่ะ คิดถึงรุ่นพี่จนแทบบ้า”


    เบื้องหลังเปลือกตาผุดภาพใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เสียงที่สั่นเทาเอาแต่พร่ำเพียงคำว่า ‘ทำไม ทำไม’




    ‘ผิดที่แกต่างหากที่โง่เชื่อฉัน’


    ประโยคนั้น...เขาเพียงแค่คิด หรือว่าได้พูดออกไปกันแน่นะ?




    “รู้ไหมว่าผมจินตนาการวันนี้มาตลอด” ชายหนุ่มฝังจมูกเข้ากับซอกคอของเขา แล้วสูดดม


    เสิ่นจิ่วเกร็งตัวขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบสนอง มืออีกข้างที่ปัดป่ายไปทั่วอยู่เมื่อครู่ก็พลันมีจุดหมาย


    สัมผัสที่ลากไล้บนเส้นสันหลังแจ่มชัด เป็นปลายนิ้วที่เคลื่อนผ่านก้นกบ สะโพก และไล่ต่ำลงไปจนกระทั่งกดคลึงที่ช่องทางเบื้องหลัง


    แม้จะมีเนื้อผ้ากั้นอยู่ถึงสองชั้น แต่ความรู้สึกคล้ายถูกขืนเข้ารุกล้ำนั่นก็ยังชัดเจนเกินไป


    เสิ่นจิ่วสะท้านเฮือก คำรามลั่นว่า


    “ลั่วปิงเหอ!!!”


    ทั้งแรงกำรอบข้อมือและไอร้อนที่นาบอยู่กับแผ่นหลังพลันผละออกไปพร้อมกัน นั่นคืออิสระในหนึ่งห้วงสั้น และขณะเดียวกันก็เป็นคำเชื้อเชิญให้เข้าสู่กับดัก


    เสิ่นจิ่วหมุนตัวหันหลังกลับไปทันที อีกทั้งยังดื้อดึงต่อยออกไปหมัดหนึ่ง ซึ่งก็ถูกคว้าไว้โดยง่ายดายอีกครั้ง


    ที่ทำเช่นนี้ใช่ว่าเพราะไม่รู้จักจำหรือโง่งม ตรงข้ามเสียด้วยซ้ำ เขาต่างหากที่รู้ดียิ่งกว่าใครถึงความแตกต่างระหว่างอัลฟ่าและเบต้า


    เขารู้ว่าต่อให้พยายามต่อสู้หรือขัดขืนอย่างสุดชีวิต ก็ไม่อาจเอาชนะกำลังของอีกฝ่ายที่ใช้เพียงมือข้างเดียวได้เลยด้วยซ้ำ


    แต่ถึงอย่างนั้น...


    ถึงอย่างนั้น เสิ่นจิ่วก็ยังหันไปเผชิญหน้า แม้จะรู้ทั้งรู้อยู่เต็มอกว่ากำลังเล่นไปตามเกมของอีกฝ่าย


    นั่นก็เป็นเพราะศักดิ์ศรีของเขาไม่มีวันยอมให้ตนเองถูกสัมผัสอย่างน่าละอาย หรือถูกปฏิบัติราวกับตัวเองเป็นโอเมก้าจริงๆ เสียอย่างนั้นได้


    เขาไม่ใช่พวกที่มีดีแค่ที่กำลังกับสัญชาตญาณ และเขาก็ไม่ใช่พวกที่ได้รับการสรรเสริญเพียงเพราะนอนอ้าขาเก่งหรือสามารถท้องได้


    เขามั่นใจว่าตัวเองดีกว่านั้น เหนือกว่านั้น เป็นมากกว่านั้น


    และลั่วปิงเหอเองก็รู้ดี


    ไอ้หมาพันธุ์ทางนั่น แน่นอนมันต้องรู้ดี โดยเฉพาะด้วยรอยยิ้มและแววตาพรายแบบนั้น


    เสิ่นจิ่วกัดฟันกรอด โทสะลุกโพลงอัดแน่นอยู่เต็มอก ทว่าก็ไม่อาจทำอะไรได้เมื่ออยู่ต่อหน้าท่าทีไร้ยี่หระเช่นนั้น


    ชายหนุ่มใช้มืออีกข้างหนึ่งกำรอบลำคอเขา ปลายนิ้วโป้งกดคลึงอยู่บนลูกกระเดือก บ้างแรงบ้างเบา ทำให้ยากจะคาดเดาได้ว่าแท้จริงมีเจตนาใดกันแน่


    ลั่วปิงเหอนิ่งเงียบ พิจารณาไปทั่วใบหน้าของเขาด้วยดวงตาที่อ่านอารมณ์ไม่ออก ดูกึ่งหนึ่งคล้ายกำลังดื่มด่ำความทรงจำในอดีต ในขณะที่อีกกึ่งหนึ่งคล้ายนักล่าที่กำลังมองดูเหยื่อในอุ้งมือดิ้นรนหายใจเฮือกสุดท้าย…


    เสิ่นจิ่วคาดเดาเหตุการณ์ถัดไปไว้มากมาย แต่ไม่คาดคิดแม้สักนิดว่าอีกฝ่ายจะคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน
    แม้กระทั่งเสียงกระซิบที่ริมหูก็ยังละมุนละไมประดุจว่าทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเมื่อห้าปีก่อน เสมือนไม่เคยมีความวาดหวัง ไม่เคยเกิดการทรยศ และหัวใจของใครบางคนไม่ได้เคยถูกเหยียบย่ำทำลาย


    มันคือแวววามของความเชื่อใจที่บ้าคลั่ง


    เหมือนกับคลื่นทะเลที่พร้อมจะโหมกลืนทุกสรรพสิ่งในท้องน้ำให้สิ้น ลั่วปิงเหอมองดูเขาด้วยแรงหักหาญของครรลองธรรมชาติ เด็ดขาดและสัมบูรณ์อย่าที่ไม่มีสิ่งใดจะโต้แย้งได้


    กลับกลายว่าคำโกหกในอดีตของเขาเสียอีกที่ถูกตีความหมายใหม่


    จากเรื่องหลอกหลวงถูกเบือนให้เป็นคำร้องขอหนึ่ง...ที่คนรักผู้แสนดีอย่างลั่วปิงเหอยินดีจะทำให้เป็นจริง


    เสียงกระซิบและลมหายใจร้อนคลออยู่ริมหู ก่อนที่ข้างลำคอจะเจ็บแปลบ กลิ่นสนิมคาวเจือขึ้นในอากาศ



    “ถ้ารุ่นพี่อยากเป็นโอเมก้ามากนัก ผมก็จะช่วยให้สมหวังเอง”




    _____________________________________________________________________________________________________



    ? Happy(?) Belated Valentine's ?

    - สรุปก็คือรถสีดำคันนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย555
    - เขียนไปได้ครึ่งทางแล้วค่อยนึกขึ้นได้ว่าคนอ่านไม่ได้มารู้แบ็คสตอรี่ที่เราคิดเอาไว้ด้วยนี่หว่า... เลยต้องมาพยายามแทรกเข้าไปทีหลัง 55
    - พล็อตมาจากที่เคยคิดเล่นๆ ไว้ (ข้างล่างนี้ก๊อปแปะจากทวิต) ว่า
         > ปิงจิ่ว ABO ในโลกที่อัลฟ่ากับโอเมก้าเป็นคนพิเศษ เสิ่นจิ่วเป็นเบต้า มี inferiority complex ตามประสา สมัยวัยเรียนเจอปิงเกออัลฟ่ารูปหล่อพ่อรวยแสนฉลาดก็หมั่นไส้ แถมบังเอิญโดนเข้าใจผิดว่าเป็นโอเมก้าเลยฉวยโอกาส ใช้กลิ่นปลอมแกล้งว่าเป็นจริงๆ จนมาได้เป็นแฟนกัน ปิงเกอก็รักมากก ติดกลิ่นเสิ่นจิ่วมากๆ
         > ปิงเกอดอกบัวขาว 50% วาดหวังไว้เยอะมาก มีแพลนว่าอนาคตจะทำนั่นทำนี่ (ตรงนี้ทั้งคู่อาจจะใกล้ชิดจนเกือบ bond กันไปแล้วก็ได้) จนตอนเรียนจบเสิ่นจิ่วบอกเลิก เฉลยว่าตัวเองเป็นเบต้า ทุกอย่างพังครืน แต่เสิ่นจิ่วก็ไม่คิดว่ากลิ่นปลอมจะมีผลข้างเคียงทำให้ปิงเกอกึ่งๆเสพติด (ประมาณติดคาเฟอีน)
         > ปิงเกอดอกบัวขาว 30% ก็โวยวายรุนแรง โกรธด้วยเสียใจด้วยแต่ยังไงก็ไม่ยอมเลิก เสิ่นจิ่วตกใจกับปฏิกิริยาเลยหนีหายไปเลย
         > หลายปีผ่านไป ปิงเกอเทิร์นดาร์คเต็มขั้น กลับมาหาเสิ่นจิ่วอีกครั้ง พูดว่า ถ้าอยากเป็นโอเมก้าเดี๋ยวก็จะช่วยให้เป็นเอง →เข้าวังวนกักขังหน่วงเหนี่ยว
    - อาจจะมีต่อ หรืออาจจะไม่มี ขึ้นอยู่กับวาระ โอกาส และไอเดีย ถถถถ

    Writing Playlist
    Just One Yesterday - Fall Out Boy
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
chompooacn (@chompooacn)
อมกก ชอบภาษาจังค่ะะ พล็อตอร่อยมาก แง///// จะมีต่อมั้ยคะเนี่ย
moneymonday (@monmon)
@chompooacn อาจจะมีต่อค่ะ แต่แค่อาจจะนะคะ อาจจะ ถถถถ
impuniltd (@impuniltd)
ชอบสไตล์การเขียนของคุณมากเลยย อ่านแล้ว emotional rideตลอด เรากรี๊ดไอเดียนี้มากก อยากเห็นตอนต่อไปถ้าเปนไปได้55555
moneymonday (@monmon)
@impuniltd ขอบคุณค่า จริงๆก็มีอะไรที่ยังอยากเขียนอีกต่อเหมือนกันค่ะ อาจจะมีตอนต่อหรือไม่ก็ฉากแฟลชแบ็ค แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขออนุญาตไม่สัญญานะคะ YuY