เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Fanfic Compilationmoneymonday
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน [ตัวร้ายอย่างข้าฯ | ปิงจิ่ว] Fettered
  • WARNING : mpreg, filicide ideation, dubious consent (consent under coercion)
    **เนื้อเรื่องเสริมจาก Festered



    ลั่วปิงเหอไม่รู้ว่าข้อเสนอนั้นมีต้นกำเนิดมาจากความคิดใด


    สิบสองคน เลือดเนื้อเชื้อไขที่ผสานระหว่างเซียนกับครึ่งมารฟ้า


    สิบสองทายาทที่รับสืบทอดปราณทิพย์จากผู้อุ้มท้อง แลกกับสิบสองชีวิตของเจ้ายอดเขา


    เสิ่นชิงชิวไม่ถามด้วยซ้ำว่าเหตุใดจึงต้องการทายาท เหตุใดจึงต้องเป็นตน ไม่คิดหรือแสดงออกว่ากังขากับข้อเสนอนี้ เพียงแค่รับฟังอย่างเงียบๆ ภายนอกยังคงรักษาภาพลักษณ์สูงสง่าอันจอมปลอมเอาไว้ สีหน้าเยือกเย็น อ่านไม่ออกอย่างช่างไม่คล้ายผู้ปราชัย


    ไม่ว่ารอบกายจะเป็นที่ใด เรือนไผ่บนชิงจิ้งเฟิงหรือคุกใต้ดินของวังมาร ชายผู้นี้ก็ยังดูดุจเดิมไม่เปลี่ยน


    ...โดยเฉพาะยามดวงตากระจ่างคู่นั้นมองตรงมา มันก็ยังคงทำให้ส่วนลึกในอกของลั่วปิงเหอหนาวเยือก


    ชายหนุ่มสบตากับเขา เอ่ยตอบเรียบเรื่อยราวไม่ใช่เรื่องของตัวเอง


    "ตกลง"


    แล้วพวกเขาจึงมีพันธะระหว่างกันเช่นนั้น






  • ครั้งแรก เสิ่นชิงชิวไม่แม้แต่จะส่งเสียง


    อีกฝ่ายเปลื้องอาภรณ์ เปลือยกายและเอนตัวลงกับเตียงอย่างว่าง่าย ไม่แม้แต่จะมีปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อถูกตะโบมโลมไล้ หรือเมื่อปลายนิ้วชุ่มน้ำมันตระเตรียมช่องทางให้อย่างลวกๆ


    เพียงเม้มปากแน่น ใบหน้าซีดเผือดเคร่งขรึมราวกับกำลังยอมรับโทษตาย ทั้งที่แท้จริงแล้วนี่เพียงเพิ่งจะเป็นจุดเริ่มต้น


    ลั่วปิงเหอชำแรกตนเองรุกล้ำเข้าไป กำกับร่างกายของอีกฝ่ายตามแต่ใจขณะเคลื่อนไหวอย่างจาบจ้วง ไม่ยี่หระหรือสนใจอาการผวาสะดุ้ง หรือกลิ่นคาวเลือดจากแผลฉีกขาดของผู้รับ


    นี่เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนหนึ่งเท่านั้น และเพราะเป็นเช่นนั้น จึงไม่มีเหตุอันใดให้ต้องถนอม


    นี่ไม่ใช่หนึ่งในภรรยาทั้งหลายของเขา ไม่ใช่สตรีที่ควรระวังรักษา บุปผาบอบบางที่ต้องการการพะเน้าพนอ


    นี่คืออดีตอาจารย์ของเขา บุรุษผู้กดเขาให้ตกต่ำ ทำให้เขาเคยเข้าใจไปว่าตนนั้นต่ำต้อย เป็นหนามแหลมยอกใจที่ยิ่งทิ้งไว้ยังรังแต่จะกลัดหนอง


    เขาควรจะกำจัดเสิ่นชิงชิวไปได้นานแล้ว สังหารให้สิ้น หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องมีชีวิตอย่างอยู่ไม่สู้ตาย ไม่ใช่ให้เป็นคู่นอนหรือผู้อุ้มท้องบุตรของตัวเองถึงสิบสองคนเสียอย่างนี้


    แต่ถึงอย่างนั้น...ทั้งที่ไม่ควรเป็นเช่นนั้น...


    ลั่วปิงเหอปลดปล่อยออกมาพร้อมกับเสียงพรูลมหายใจยาว ในขณะที่เสิ่นชิงชิวยังคงเงียบงัน กายอ่อนยวบ ไม่รับรู้ถึงสัมผัสหรือความสุขสมใดๆ


    เขามองดูเม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผากนั้น จู่ๆ พลันนึกครึ้มอยากประทับริมฝีปากลงบนรอยขมวดย่นตรงหว่างคิ้ว...


    ทว่าสุดท้ายก็มิได้ทำอันใด






  • "ข้าจะตั้งชื่อเขาว่าลั่วชิงหยวน"


    หากสีหน้าของเสิ่นชิงชิวมีความเปลี่ยนแปลงใด ก็ไม่อาจมองเห็นได้ผ่านเรือนผมสยายปรกบังใบหน้าไปเกินครึ่งหนึ่ง


    ชายหนุ่มเพียงหลับตาลง ริมฝีปากแห้งผากกอปรกับใบหน้าซีดเซียวทำให้ดูราวลมหายใจจะปลิดปลิวไปได้ทุกเมื่อ


    ลั่วปิงเหอข่มความรู้สึกอยากจะเอื้อมออกไปเกลี่ยปอยผมชื้น นั่งอุ้มทารก จดจ่อจับเจ่าข้างเตียงอยู่ครู่ใหญ่ด้วยสาเหตุที่บอกตัวเองว่าเพื่อรอดูปฏิกิริยาอื่นของอีกฝ่าย


    จนกระทั่งในห้องเหลือเพียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ ราชามารจึงนำตัวองค์ชายคนใหม่กลับไป นำส่งเข้าสู่อ้อมอกของสตรีผู้จะรับบทบาทเป็น ‘มารดา’






  • กว่าจะมีครั้งที่สอง เสิ่นชิงชิวต้องใช้เวลาเกือบปีเพื่อเตรียมใจอีกครั้ง


    แน่นอนว่าลั่วปิงเหอยอมรอ


    นั่นเพราะเขาเป็นคนมีน้ำอดน้ำทน...และยิ่งถ้าเพื่อการแก้แค้น ก็ยิ่งทนคอยได้มากที่สุดเท่าที่จำเป็น


    เขาย้ำกับตนเองเช่นนั้น






  • ในครั้งที่ห้า เสิ่นชิงชิวเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาเอง


    “มานี่”


    ลั่วปิงเหอยิ้ม ไม่ใช่ว่าเกิดลิงโลดขึ้นมาเลยสักนิด แค่เพียงเพราะนั่นเป็นสีหน้าที่ตนใช้กับศัตรูเสียจนติดเป็นนิสัยไปแล้วเท่านั้น


    เขาถามกลับไปว่า “ทำไมหรือ?”


    อีกฝ่ายมีดวงตาดุร้าย ซ้ำยังใช้น้ำเสียงดุดันเรียกชื่อเขาอย่างไม่อินังขังขอบ


    “ลั่วปิงเหอ”


    ลั่วปิงเหอหัวเราะ ความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นมาในอก ช่างคล้ายนักกับความพึงพอใจ


    ...ไม่ว่าสถานการณ์แท้จริงจะเป็นเช่นไร ข้อตกลงและเงื่อนไขแลกเปลี่ยนจะเป็นอะไร เขาก็ยังยอมปล่อยตัวเองให้ยินดีไปกับการถูกเสิ่นชิงชิวเรียกหาเป็นครั้งแรก






  • ครั้งที่เก้า...


    ลั่วปิงเหอเพิ่งก้าวเข้าไปใกล้ก็พลันถูกกระชากคอเสื้อ และด้วยความไม่ทันตั้งตัวก็จึงเสียหลักในทันที


    โลกทั้งใบหมุนคว้าง อาภรณ์สีเขียววูบไหวผ่านไปเบื้องหน้า จากนั้นแผ่นหลังจึงกระทบเข้ากับที่นอนนุ่ม


    เหนือขึ้นไปด้านบน มีใบหน้าที่ยังเคียดขึงดุร้ายอย่างแสนคุ้นเคยมองลงมา


    เสิ่นชิงชิวเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมเขาด้วยตัวเอง


    ลั่วปิงเหอแค่นหัวเราะ


    เซียนผู้ปกครองยอดเขากำลังอยู่ในท่าชวนครหาบนตัวเขา ชายผู้ดูแสนสำรวมเคร่งครัดกำลังปลดเปลื้องร่างกาย ตระเตรียมตัวเองและปรนเปรอเขาอย่างเชี่ยวชาญ


    และเพราะอีกฝ่ายเรียนรู้เร็วนัก การเคลื่อนไหวจึงรวดเร็ว เหมาะเจาะ เป็นงานเป็นการโดยปราศจากอารมณ์ปะปนโดยสิ้นเชิง


    เมื่อคิดเช่นนั้นลั่วปิงเหอก็แค่นหัวเราะออกมาอีกครั้ง แม้จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอะไรน่าขัน


    เป็นเช่นนี้ก็ถูกต้องแล้ว ก็แค่เพียงการกระทำเพื่อผลประโยชน์ ร่วมรักไร้ร่วมประสงค์ เมื่อคนทั้งคู่ต่างมีจุดมุ่งมาดคนละสุดด้าน


    มันก็เพียงการแลกเปลี่ยนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีเหตุอันใดให้ต้องถนอม


    เสิ่นชิงชิวค่อยๆ ขยับ มือที่วางบนอกของเขาถ่ายน้ำหนักลงมา แนบแน่นหนักขึ้นตามที่ช่องทางด้านหลังนั้นรับเอาแก่นกายของเขาเข้าไปมากขึ้นทีละน้อย


    ริมฝีปากของชายหนุ่มเม้มแน่น ในขณะที่คิ้วขมวดมุ่นและลมหายใจเริ่มถี่กระชั้น ทั้งที่เบื้องล่างดูจะปรับตัวได้ดี แต่ความคิดจิตใจก็ยังคงยอมหักไม่ยอมงอเหมือนอย่างเมื่อเริ่มต้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง


    อีกฝ่ายคล้ายรับรู้ถึงสายตาจับจ้องของเขา จากแววตาตกในภวังค์จึงพลันปรายมาสบ วาวคมปลาบจึงปรากฏขึ้นชัดเจนอีกครั้ง


    ปลายนิ้วบนแผ่นอกกดลง เล็บจิกเข้าในผิวเนื้อราวกับกรงเล็บ ประหนึ่งว่าจะคว้านเอาหัวใจที่อยู่เบื้องในนั้นออกมา


    และในชั่วขณะนั้น ลั่วปิงเหอก็คล้ายจะคิดว่าเป็นเช่นนั้นเสียได้ก็ดี






  • ดูเหมือนว่าลูกๆ ของเขาจะผ่านค่ายกลเข้าไปยังป่าไผ่และได้พบกับเสิ่นชิงชิวเข้า


    ลั่วปิงเหอนึกหงุดหงิดนัก ซ้ำยังรำคาญใจเมื่อเห็นเสิ่นชิงชิวปฏิบัติกับเด็กเหล่านั้นอย่างย่อหย่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาคนนั้น ที่ก็คงจะชื่อชิงชีเหมือนอย่างฉีชิงชีแห่งเซียนซูเฟิง...


    เป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ หากฝึกฝนให้ดีสักวันคงขึ้นเป็นแม่ทัพได้ เพียงแต่สำหรับตอนนี้ก็ยังเป็นเพียงหนึ่งในบรรดาตัวเกะกะที่มีอยู่ทั้งหมดเก้าคนก็เท่านั้น


    ลั่วปิงเหอชั่งน้ำหนักในใจ ทีแรกคิดจะออกคำสั่งห้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายใช้แววตาท้าทายมองมาเช่นนั้น ประหนึ่งจะใช้ข้อแลกเปลี่ยนที่มีอยู่เก้าชีวิตเหล่านั้นมาคะคานอำนาจกับเขา ราวกับจะเอ่ยว่า ‘ไม่ว่าเมื่อไร ข้าก็จะต้านทานเจ้าไปจนถึงที่สุด’


    นั่นย่อมทำให้เขาเกิดโทสะ


    คนอย่างเสิ่นชิงชิวไม่ควรได้มีความสงบสุขในชีวิต ถึงอยู่ก็ต้องให้ทุกข์ทรมาน ถึงได้มีบุตรก็ต้องไม่อาจได้ชิดใกล้ คนอย่างเสิ่นชิงชิวสมควรต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่เป็นที่รักหรือที่ต้องการของใครทั้งนั้น


    แต่เมื่อมองเห็นดวงตาของเสิ่นชิงชิว ทั้งประกายพริบพราวดุจเงาดาราสะท้อนเหนือธารน้ำลึก และเค้าละมุนของสีหน้าที่ซ่อนแฝงอยู่หลังพัด


    บางที หากยังมีสิ่งที่เหนี่ยวรั้งเสิ่นชิงชิวไว้กับโลกใบนี้...สิ่งอื่นที่ไม่ใช่สำนักชางฉยงซานหรือเยวี่ยชิงหยวนผู้นั้น...






  • เมื่อถึงครั้งที่สิบ เสิ่นชิงชิวเว้นระยะไปไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อนจะดึงเขาเข้าไปในห้องนอน


    อีกฝ่ายเปลือยกายต่อหน้าเขา เปิดเผยอย่างชินชา แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจลดทอนความสนใจของลั่วปิงเหอที่มีต่อเรือนร่างนั้นได้เลย


    ชายหนุ่มดูเหนื่อยอ่อน ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายผอมซูบตรงข้ามกับทรวงอกคัดแน่น เต็มไปด้วยน้ำนมที่ไม่เคยได้มีโอกาสหล่อเลี้ยงบุตร ในขณะที่บนหน้าท้องมีรอยแตกลายสีแดงเข้มและขาวจาง เป็นร่องรอยทั้งเก่าทั้งใหม่ที่ทับซ้อน ปะปนกันเป็นดังหลักฐานลายลักษณ์ถึงข้อแลกเปลี่ยนระหว่างพวกตนทั้งสอง


    ดูแล้วราวแม่พันธุ์ที่ถูกใช้งานเสียจนร่างกายทรุดโทรม ทั้งถูกล่วงล้ำ อุ้มท้อง และคลอดบุตรมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนทำให้ช่องทางที่เคยคับแน่นบัดนี้อ่อนนุ่มได้โดยแทบไม่ต้องตระเตรียม กระทั่งแก่นกายที่เคยไร้การตอบสนองบัดนี้ก็ยังแข็งขึงขึ้นน้อยๆ ราวค้นพบแล้วว่าจะยังมีความสุขสมปะปนมาในความเจ็บปวดมากพอให้ตักตวง


    จากร่างกายของเซียนผู้สูงส่ง บัดนี้ถูกหล่อหลอมขึ้นใหม่ให้ไม่ต่างอะไรไปจาก...


    “ลงมือเสียที”


    ช่างเอ่ยได้จริงจัง เคร่งเครียดอย่างฟังแล้วราวกับจะประมือกัน ทั้งที่แท้จริงคือการเชิญชวนมาร่วมเตียง


    สภาพการณ์และคำพูดแตกต่างกันสุดขั้ว ช่างควรจะน่าขันนัก


    แต่ใจของลั่วปิงเหอกลับไร้ความยินดีอยู่โดยสิ้นเชิง






  • เขาได้แต่มองดูหน้าท้องที่โค้งนูนขึ้นไปทุกวัน


    และทุกครั้งที่เห็นก็มักต้องข่มกลั้น สะกดใจไม่ให้ปลายนิ้วเอื้อมไปหาซินหมัว


    ตนนั้นอยากแสนอยากจะชักใบมีดมะเมื่อมและแหลมคมนั้น ใช้มันผ่าผ่านเสื้อผ้าและผิวเนื้อ แหวกกายอ่อนแอนั้นออก และคว้านดึงเอาปรสิตที่ฝังตัวเติบโตอยู่ด้านในนั่นออกมา


    ลั่วปิงเหออยากจะฆ่าพวกมันทั้งหมด สังหารเสียตั้งแต่ยังไม่อาจนับได้ว่าเป็นชีวิต หักล้างคำสัญญา ผิดข้อแลกเปลี่ยน ลบเก้าข้อแลกเปลี่ยนเหล่านั้นไปให้สิ้น เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง


    และหากจะมีอะไรถือกำเนิดขึ้นอีก เขาก็จะทำลายมันทิ้งอีก อีกครั้ง...และอีกครั้ง...ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ให้ทุกอย่างคงอยู่เช่นนี้ เป็นข้อตกลงที่ไม่มีวันลุล่วงไปชั่วกัลป์


    หากแต่ยามมองเสิ่นชิงชิว เขาก็กลับถูกแววต่อต้านอันน่ารังเกียจในดวงตาและรอยหยักยกชวนชิงชังบนเรียวปากนั้นยับยั้งไว้






  • ครั้งที่สิบเอ็ด เสิ่นชิงชิวรั้งลั่วปิงเหอไว้ในวันที่สามหลังคลอด


    “เสิ่นชิงชิว เจ้าอยากตายนักหรือ?”


    แววตาคู่นั้นที่เขาชิงชังและเคยหวาดกลัว ช่างเย็นเยียบและเสียดแทงได้ดุจดมมีด


    ริมฝีปากแห้งระแหงค่อยขยับ เสียงทุ้มพร่ากระซิบท้าทาย


    “ให้มันจบไปเสียที”






  • ครั้งที่สิบสอง...


    ครั้งที่สิบสองเป็นอย่างไร ลั่วปิงเหอก็จำไม่ได้แล้ว


    จดจำลางๆ ได้เพียงว่าอ้อมแขนหนึ่งโอบรอบลำคอ และเสียงหัวเราะระคนหอบหายใจรดริมหู






  • "เหลืออยู่ชื่อสุดท้ายแล้ว"


    เสิ่นชิงชิวรำพึง น้ำเสียงแหบแห้งแตกพร่า


    ลั่วปิงเหอไม่ตอบ


    เสิ่นชิงชิวถอนใจเบาๆ เรี่ยวแรงไม่รู้จากที่ใดทำให้ชายหนุ่มสามารถลุกขึ้นนั่ง ทั้งยังเอื้อมมือมาฉวยห่อผ้านั้นไปไว้ในอ้อมแขน


    และทารกน้อยที่กำลังโหยไห้ก็พลันเงียบเสียงเมื่อถูกโอบไว้แนบกับทรวงอก ปากเล็กๆ รีบอ้าฮุบ ดื่มเอาทั้งน้ำนมและความอบอุ่นจากผู้ให้กำเนิดอย่างตะกละตะกลาม


    "เจ้าชื่อลั่วชิงชิว"


    เสิ่นชิงชิวเอ่ยเสียงเบา ดวงหน้าที่เคยอึมครึมซีดเซียวบัดนี้กลับปลอดโปร่ง ราวดอกไม้ที่ผลิสะพรั่งขึ้นในห้วงสุดท้ายก่อนเหี่ยวแห้ง


    ลั่วปิงเหอยังคงเงียบงัน ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความครุ่นคิดและเหม่อลอยขณะมองดูภาพตรงหน้า


    กว่าทศวรรษอันยาวนานนี้ ในที่สุดก็ลุล่วงไปเสียแล้ว


    เสิ่นชิงชิวเงยหน้าขึ้นมองมาทางเขา ดวงตามีแต่เค้าอิดโรยอันละมุนอย่างประหลาด แลดูแล้วชวนหวาดหวั่นเมื่อขาดประกายทิ่มแทงในยามปกติไป กระนั้น ที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าก็กลับเป็นความว่างเปล่าเบื้องในนั้น...


    แล้วทุกอย่างก็พลันปลิดปลิวไปในชั่วพริบตา






  • ลั่วปิงเหอโอบกอดร่างที่เย็นลงอย่างรวดเร็ว


    ห่อทารกตัวน้อยที่กำลังถูกร่างนั้นโอบกอดอยู่เริ่มขยับดิ้นเมื่อสัมผัสได้ว่ากำลังเสียความอบอุ่นไป


    จากนั้นจึงมีเสียงร้องไห้จ้า


    ลั่วปิงเหอนึกชิงชังนักที่มันสามารถแสดงความรู้สึกได้อย่างตรงไปตรงมาเช่นนั้น






  • เจ้ามิใช่เสแสร้งจอมปลอมนักหรือ เสิ่นชิงชิว?


    มิใช่ว่าเจ้าทำทีเป็นเซียนผู้ซื่อสัตย์สูงส่งหรอกหรือ เสิ่นชิงชิว?


    เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเจ้าจึงเสียสัจจะ?



    ‘สิบสองทายาทวังมาร แลกชีวิตสิบสองเจ้ายอดเขา’

    แต่เมื่อเจ้ายอดเขาเหลือเพียงสิบเอ็ด อย่างนี้แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร?



    เสิ่นชิงชิว ในเมื่อเจ้าผิดคำพูด...


    เช่นนั้นแล้วก็ให้ทุกอย่างเป็นโมฆะไปเลยเสีย ดีหรือไม่?


    ไม่ต้องมีอีกต่อไปแล้ว จะสิบสองทายาท จะสิบสองเจ้ายอดเขา หรือจะราชามารลั่วปิงเหอ


    ให้มันสูญสิ้น ภินท์พังลงไปทั้งหมด


    โดยเริ่มต้นที่เครื่องต่อรองที่หมดประโยชน์แล้วทั้งสิบสองชิ้นนี้...


    ซินหมัวในมือสั่นระริก คล้ายก็กำลังส่งเสียงขานตอบความคิดของเขา


    เรือนไม้ไผ่เทียมลุกโหม แดงก่ำ ร้อนหลอม แผ่ผลาญไปทั่วทุกทิศทางไม่หยุดยั้ง ปะทะกับต้นไผ่ชะลูดที่ยิ่งเสริมให้ไหม้สูงเทียมฟ้า ยิ่งยามเงยหน้ามองแล้วยังคล้ายจะจุดให้หมู่เมฆติดไฟไปพร้อมกัน


    ลั่วปิงเหอรู้สึกสองตาแสบเคือง ในอกร้อนระอุ และมีบางอย่างตีตื้นขึ้นมาให้ลำคอเจ็บระคาย คล้ายว่าในตัวเขาเองก็มีไฟสุมอยู่อีกกองหนึ่ง


    เหมือนกับไฟแห่งห้วงอเวจี ที่ประดุจจะลุกไหม้ไปชั่วนิรันดร์


    ...และเนิ่นนานไปยิ่งกว่านั้น ตราบจนไม่มีเหลือแม้แต่จุณ



    _____________________________________________________________________________________________________



    ปกติในความคิดของเราจะให้ความรู้สึกของปิงเกอที่มีต่ออาจิ่วอยู่ที่ประมาณ แค้น120 รัก/โหยหา/อยากได้80 (ใช่ค่ะ อารมณ์ของปิงเกอแม็กซ์ที่200) แต่สำหรับฟิคนี้จะค่อนข้าง แค้น50 รัก50 โหยหาอยากได้100 เลยออกมาเป็นการพยายามรั้งเขาไว้ทุกทาง พยายามทำให้เขาเป็นของตัวเอง แต่ก็ยังแอบพยายามหลอกตัวเองว่าไม่รักอยู่หน่อยๆ

    จริงๆ อยากเขียนฉากทำลูกให้ครบ 12 ครั้งเลย แต่ขี้เกียจคิดไม่ออก555 จริงๆ บางทีเขียนแล้วอาจจะกลายเป็นเซ็กส์ไดอารี่ของปิงเกอ แบบว่าวันนี้เสิ่นชิงชิวให้ข้าทำสองครั้ง วันนี้ให้ข้าจับมือ วันนี้ไม่ค่อยเกร็ง.......... อืม เอาเป็นว่าเขียนแค่นี้แหละคงดีแล้ว5555
    ว่าไปแล้วปิงเกอก็เชื้อแร๊งง ครั้งเดียวติดเลยกับลูกสิบสองคน...
    แต่คิดอีกที หนึ่งครั้งก็ไม่ได้แปลว่าแค่รอบเดียวนี่นา...
    ฉากเรตเขียนยากมากเลย แงTT

    Writing Playlist
    Dinner & Diatribes - Hozier
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in