หูของเขาอื้อ สายตาพร่ามัวราวกับโลกหมุนเร็วขึ้นกระทั่งดวงตายังโฟกัสไม่ทัน ความเจ็บปวดที่แก้มซ้ายมันชัดเจนเสียจนประสาทสัมผัสส่วนอื่นๆแทบจะมืดบอดไป วินาทีต่อมาร่างกายของชิลลิ่งกระแทกกับพื้น
การกระแทกดึงความรู้สึกของเรากลับมา แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดบนใบหน้า เชือกผูกลูกโป่งหลุดมือไปแล้ว
"ว่าไงไอ้จมูกโต" หมัดเมื่อกี้คือคำทักทายงั้นหรอ? เป็นคำทักทายที่รวดเร็วราวกับจังหวะที่ลูกโป่งแตก
เราเหลือบมอง วัยรุ่นชายสามคนยืนอยู่เหนือตัวเรา เป็นกลุ่มที่เราพยายามเลี่ยงมาตลอด เจ้าของหมัดคนที่ยืนตรงกลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตสีตุ่น ขณะที่ลูกน้องอีกสองคนยิ้มเยาะอยู่ด้านหลัง โอ้ ในมือของเขาคือมีดพกสีเงิน เขานั่งยองลงมาประชิดตัวเรา ยิ่งทำให้ไม่กล้าขยับตัว เขาจ่อมีดพกนั่นมาใกล้ใบหน้าแล้วกด
เสียงของใบมีดอันแหลมคมสปริงเด้งออกมาทำให้เรานึกย้อนไปถึงซากลูกแมวที่เราพบบนทางเท้าในวันที่ฝนตกปรอยๆเมื่อหลายเดือนก่อน ไม่มีใครสักคนสนใจเจ้าแมวนั้นเลย ทุกคนต่างเร่งรีบวิ่งหลบฝน
เรากลัว เรารู้สึกกลัวเหลือเกินว่าวันนี้เราจะมีชะตาแบบลูกแมวตัวนั้น ถูกทิ้งให้ตายอย่างโดดเดี่ยว เราหลับตาแน่น ไม่ใช่ตอนนี้ เรายังไม่พร้อม
ชิลลิ่งไม่รู้ว่าเขาควรจะรู้สึกโชคดีหรือไม่ที่วัยรุ่นทั้งสามคนไม่ได้ฆ่าเขาในวันนี้ แต่สายโยงชุดเอี๊ยมของเขาถูกตัดขาด "ไอ้ตัวประหลาดโสโครก" เสื้อยืดคอกลมสีขาวที่เขาใส่ถูกฉีก "ไอ้จมูกน่าขยะแขยง" เขาผู้ไม่อาจต่อต้านแรงของทั้งสามได้ "แก ไอ้ตัวไร้ค่าน่าสมเพช" เสื้อผ้าของเขาถูกถอดออกจนหมด "คิดว่ากูจะกลัวมึงหรอ" อมนุษย์ทั้งสามต่างหัวเราะเยาะร่างกายอันผอมบางของเขา "ไสหัวออกไปจากเมืองนี้ซะ"
..........
ฝันร้ายดูเหมือนจะหยุดลง น้ำตาแห่งความอับอายไหลอาบแก้ม คงจะไม่มีใครบนโลกนี้หรอกที่รู้ว่าน้ำตานี้เป็นของจริงไม่ใช่แค่การแต่งหน้า เราไม่ได้ยินเสียงของวัยรุ่นสามคนนั้นแล้ว เสียงที่ดังที่สุดตอนนี้คือเสียงสะอื้นของตัวเอง
ชิลลิ่งนอนเปลือยเปล่า คุดคู้อยู่ในตรอกแคบๆอันชื้นแฉะ
ก็ตอนที่เราหยุดร้องไห้นั่นล่ะ ถึงสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนแอบอยู่หลังถังขยะสีเขียว ใครบางคนที่แอบดูเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ เหตุการณ์อันแสนจะอัปยศ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in