เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Double Death (DTOL OMEGAVERSE AU)piyarak_s
Chapter 3: At the Regent's Park
  • (3)

    หลังประชุมรอบเช้ากับผู้กำกับการสถานีตำรวจไวท์ชาเพลและผู้กำกับการหัวหน้าหน่วยสืบสวนคดีพิเศษเสร็จ และทำให้สารวัตรวิลเลียม แบล็คผู้หดหู่ซึมเซาที่คดีเจ้าปัญหาหล่นใส่อย่างจังเมื่อวานนี้กลับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อเขาโยนเผือกร้อนใส่มือผมได้สำเร็จ แต่ก็สัญญาอย่างหน้าชื่นตาบานว่า จะให้ความร่วมมือและแบ่งปันข้อมูลกับผมอย่างเต็มที่ ผมเดินจากสำนักงานตำรวจนครบาลไปยังสถานีรถไฟใต้ดินเวสต์มินสเตอร์ขึ้นรถใต้ดินสายจูบิลีไปยังสถานีเบเคอร์สตรีท


    เพราะที่ทำงานของผมอยู่ฝั่งเวสต์เอนด์ ผมจึงมาถึงก่อนเวลานัดนานพอสมควร และมีเวลาแวะซื้อแซนด์วิชกับกาแฟเผื่อ ดร. ฟอล์กเนอร์ที่ขับรถมาจากที่ทำงานฝั่งอีสต์เอนด์และอาจมาถึงหลังจากนี้อีกพักใหญ่ เพราะการเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินเร็วกว่าขับรถเกือบสองเท่า เพราะไม่ต้องอ้อมและไม่ต้องหาที่จอด แล้วเดินผ่านถนนเบเคอร์ไปยังทางเข้าสวนสาธารณะรีเจนท์สพาร์คฝั่งที่ใกล้กับตึกคณะบริหารธุรกิจที่นำรถไปจอดริมถนนบริเวณนั้นได้ และใกล้กับสะพานซึ่งเป็นจุดนัดพบของเรา


    ผมฆ่าเวลาด้วยการนั่งกินแซนด์วิชกับกาแฟส่วนของตัวเอง และนั่งมองผู้คนที่เข้ามาเดินเล่น นั่งพักผ่อน และทำกิจกรรมต่าง ๆ ภายในสวนสาธารณะ ผมเคยคิดเล่น ๆ ว่า ถ้าแมรี่ยังมีชีวิตอยู่และเราย้ายมาลอนดอนด้วยกัน เธอคงจะชอบที่นี่ เพราะเธอชอบดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิทุกชนิด ไม่ว่าจะเดซี่เล็ก ๆ ที่ขึ้นตามสนามหญ้าหรือดอกเชอร์รี่ที่บานสะพรั่งอยู่บนต้น และอาจใช้เวลาสักวันหนึ่งเต็ม ๆ นั่งอ่านหนังสือใต้ต้นไม้เงียบ ๆ จนจบไปเป็นเล่ม ๆ


    ชีวิตของสาวร้านหนังสืออย่างแมรี่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ชีวิตของโทเบียส ฟอล์กเนอร์ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง



    ถึงจะเล่าเรื่องที่ควรจะรู้ให้ฟังแล้ว แต่ยังคงมีบางอย่างที่ผมยังคงติดใจเกี่ยวกับจดหมายจากชายที่ใช้ชื่อ เซบาสเตียน อาร์เชอร์ และอีกเรื่องที่สำคัญกว่า คือ เรื่องของ ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์


    ผมอยากรู้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างร้อยโทอาร์เชอร์และ ดร. ฟอล์กเนอร์


    เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ความอยากรู้อยากเห็นของผม ไม่เกี่ยวอะไรกับความรัก ไม่ใช่ความหึงหวง ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นเรื่องที่พวกเขาพบกันที่อัฟกานิสถาน ประเทศที่กลายเป็นสนามรบและพื้นที่ที่มีความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศสูงเป็นพิเศษ


    ผมไม่เคยสงสัยเรื่องความสามารถของ ดร. ฟอล์กเนอร์ แต่ผมแปลกใจกับการที่เขาไปทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัยที่โอเมก้ามักไม่ได้รับอนุมัติ ยกเว้นมีผู้รับรองเป็นพิเศษ และพื้นที่เสี่ยงภัยในที่นี้ ไม่ใช่พื้นที่ที่เกิดภัยพิบัติและต้องการแพทย์อาสาทุกสาขาและไม่จำกัดว่ามีเพศรองเป็นอะไรอย่างที่ ดร. เบนจามิน เวสต์ อาจารย์และเพื่อนร่วมงานของเขาเคยบอกผมก่อนหน้านี้


    อังกฤษส่งทหารเข้าร่วมกับกองกำลังสนับสนุนความมั่นคงระหว่างประเทศของนาโต้ (International Security Assistant Force หรือ ISAF) ที่อัฟกานิสถานตั้งแต่กลางปี 2000 มาจนถึงปัจจุบัน และส่งทหารไปหลายผลัดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่พื้นที่รับผิดชอบหลักของกองทัพอังกฤษอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอัฟกานิสถาน ซึ่งห่างจากโรงพยาบาลขององค์กรแพทย์อาสาไร้พรมแดนที่คุนดุซเกือบยี่สิบชั่วโมง ด้วยนิสัยของ ดร. ฟอล์กเนอร์การที่ รท. เซบาสเตียน อาร์เชอร์จะลงทุนเดินทางผ่านดงระเบิดและการสู้รบ เพื่อไปหาเขาที่นั่นด้วยเรื่องส่วนตัวที่ไม่สำคัญกับงานคงไม่สามารถทำให้เขาใจอ่อนหรือประทับใจการลงทุนอย่างนั้นแน่ เหตุผลเดียวที่ทำให้พวกเขามีเหตุที่จะต้องพบกันให้ได้ คือ มีงานสำคัญที่ต้องทำด้วยกัน


    มีชื่อหน่วยงานราชการของอังกฤษบางหน่วยงานที่ทำงานด้านการข่าวอย่าง แวบเข้ามาในความคิด ถ้าหากผมเดาถูก ที่ ดร. ฟอล์กเนอร์บอกความจริงกับผมไม่หมดก็มีเหตุผลในตัวของมัน และเป็นคำตอบให้กับข้อสงสัยส่วนใหญ่ในใจของผมได้เกือบทั้งหมด แต่ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น ผมก็จนปัญญาจะนึกหาเหตุผลอื่น จนกว่าเขาจะสามารถเฉลยความลับของเขาให้ผมได้รับรู้


    คืนที่ผ่านมา ผมเพิ่งเข้าใจคำว่า ‘ถึงใกล้ก็เหมือนไกล’ อย่างแจ่มชัดเป็นครั้งแรก ทั้งที่นอนอยู่ด้วยกัน แต่ผมรู้จักตัวตนและอดีตที่ผ่านมาของเขาเพียงแค่ส่วนเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น


    เราแต่ละคนมีพื้นที่ส่วนตัวและมีความลับที่ไม่อยากให้ใครรู้ แม้กระทั่งกับคนที่เรารักและเชื่อใจมากที่สุด ผมผ่านประสบการณ์และอายุมากพอที่จะเข้าใจความจริงข้อนี้ดี แต่เรื่องบางอย่างที่เขาแบกรับไว้ตามลำพังต้องการคนช่วยแบ่งเบา


    ผมเคารพพื้นที่ส่วนตัวของเขา ผมนับถือความเข้มแข็งของเขา แต่บางครั้ง ผมก็อยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้


    นั่งคิดอะไรอยู่ตามลำพังอยู่พักใหญ่ เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของผมก็ดังขึ้น หมายเลขบนหน้าจอขึ้นชื่อของคนที่ผมรออยู่ ผมขยำกระดาษห่อแซนด์วิชยัดใส่ลงในแก้วกาแฟที่หมดแล้วของตัวเอง ยกโทรศัพท์ขึ้นรับสาย ลุกจากม้ายาวที่นั่งอยู่ไปทิ้งขยะ แล้วเดินไปทางทางเข้า เสียงปลายสายบอกว่า เขามาถึงแล้ว และเห็นผมแล้ว


    ผมโบกมือและยิ้มให้ ส่งถุงใส่กาแฟกับแซนด์วิชที่ซื้อมาให้เขา และบอกเขาว่า ผมกินส่วนของผมเรียบร้อยแล้ว


    “ขอบคุณครับ” ท่าทางของ ดร. ฟอล์กเนอร์ดูขัดเขินเล็กน้อย แต่ก็ไม่ปฏิเสธ “คราวหน้า ผมขอเลี้ยงคืนบ้างก็แล้วกัน”


    “วันหลังเราไปกินอาหารจีนที่เบย์สวอเตอร์กัน ผมจะสั่งให้คุณหมอเลี้ยงไม่ไหวเลย” ผมแกล้งพูด นั่งลงบนม้ายาวตัวเดิมที่ยังไม่มีใครอื่นมาแทนที่ อัลฟ่าลำดับต่ำกว่ากับโอเมก้าที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นอาจได้กลิ่นประจำตัวของผม และการจัดลำดับชั้นทำให้พวกเขาลังเล แม้ผมจะไม่ถือสาและพร้อมจะไปหาที่นั่งใหม่


    “แมนดารินหรือโฟร์ซีซันดีล่ะครับ เอาล็อบสเตอร์ด้วยไหม” แพทย์นิติเวชหัวเราะ นั่งลงข้าง ๆ ใกล้จนแขนของเราสัมผัสกัน แต่เหมือนเขาไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เพราะความสนใจส่วนใหญ่ของเขาไปลงที่อาหารกลางวันที่ผมซื้อมาฝาก เมื่อเช้านี้ เราดื่มกาแฟแค่คนละแก้วก่อนออกจากบ้าน ตัวผมไม่เดือดร้อนมากนัก แต่โอเมก้าที่กำลังเข้าสู่ช่วงฮีทเต็มทีต้องการอาหารมากขึ้นและหิวบ่อยเป็นพิเศษ และดูเหมือนว่า นอกจากกาแฟแก้วที่ผมชงให้ เขาจะไม่ได้กินอะไรเลยกระทั่งได้แซนด์วิชชิ้นนั้น


    ผมมองสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัว และเหลือบมอง ดร. ฟอล์กเนอร์ที่กินอาหารกับกาแฟเงียบ ๆ เป็นระยะ
    ตัวของเขาสะอาดและหอม กลิ่นดอกเฮเธอร์ซึ่งเป็นกลิ่นประจำตัวของเขาก็ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนอีกกลิ่นคือกลิ่นของสบู่อ่อน ๆ ที่ทำให้ผมคาดเดาไว้ว่า มีศพมาให้เขาผ่าชันสูตรก่อนมาถึงที่นี่ และความชื้นของเส้นผมทำให้รู้ว่า เขาต้องรีบอาบน้ำแต่งตัวจนละความพิถีพิถันในการดูแลความเรียบร้อยของตนเองไปบ้าง เพื่อมาให้ทันนัด


    “ถ้าเป็นห่วงมาก จะหมายกลิ่นไว้ก็ได้นะครับ จะได้ไม่มีใครมายุ่ง” เขาหมายถึงการทำ scent mark หรือฝากกลิ่นประจำตัวของผมไว้บริเวณลำคอของเขาเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ


    คำพูดของ ดร. ฟอล์กเนอร์ที่จัดการกับแซนด์วิชทั้งชิ้นและกาแฟทั้งแก้วหมดแล้ว และกำลังมองผมยิ้ม ๆ อยู่ทำให้ผมรู้ตัวว่า ตัวเองเผลอจ้องมองเขาอยู่ โดยเฉพาะบริเวณคอและต้นคอด้านหลังที่ซ่อนอยู่ใต้ปกเสื้อเชิ้ตเพื่อให้มีอะไรป้องกันลำคอของตนเองไม่ให้อัลฟ่าจมูกไวแต่จิตอ่อนคนไหนอยากพุ่งเข้าขย้ำ และเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อเขาเป็นไฮโอเมก้าจากตระกูลที่ไม่เคยมีเลือดเบต้ามาผสม ซึ่งสามารถดึงดูดความสนใจของอัลฟ่าได้ยิ่งกว่าโอเมก้าทั่วไปหลายเท่า


    “ไม่ดีกว่า เดี๋ยวคนที่นัดคุณหมอมาพบจะผิดสังเกต คิดว่าคุณหมอมีเจ้าของแล้ว ถ้าเขาเป็นอัลฟ่าคนนั้นขึ้นมาจริง ๆ”


    นั่นเป็นความจริง แต่ยังมีอีกเหตุผลที่ผมไม่อยากทำอย่างนั้น เพราะผมกลัวตัวเองจะห้ามใจไว้ไม่อยู่ แล้วกลายเป็นฝ่ายเผลอขบกัดลำคอของเขาเข้าเสียเอง ด้วยแรงดึงดูดระหว่างคู่แท้ของกันและกันนั้นรุนแรงยิ่งกว่าคนอื่น


    การเข้ามาคลอเคลียใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นนั่งเบียด ซบไหล่ หรือนอนซุกอยู่กับอกของผมในช่วงเวลานี้เป็นการทำตามสัญชาตญาณโอเมก้าช่วงที่พร้อมสำหรับการเรียกร้องและตอบรับความสัมพันธ์กับอัลฟ่ามากที่สุด และโดยมาก เขาทำไปโดยไม่รู้ตัว แต่สิ่งหนึ่งที่ผมแน่ใจได้ คือ เขาไว้ใจผมและแสดงความใกล้ชิดนี้กับผมที่ถูกกำหนดให้เป็นคู่แท้ของเขาแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น และหลายครั้ง ผมก็เห็นเขายังคงแสดงท่าทีหวาดระแวงกับอัลฟ่าชายมากกว่าอัลฟ่าหญิงเหมือนเช่นเคย


    “ถ้าเซ็บฟื้นคืนชีพขึ้นมาเหมือนนักบุญเซบาสเตียนกลับมาหาผมเหมือนที่ท่านกลับไปเผชิญหน้ากับจักรพรรดิไดโอคลีเชียน ผมคงต้องเลิกเป็นหมอนิติเวช เพราะชันสูตรและรับรองว่า คนที่มีชีวิตอยู่เป็นคนตายไปเสียได้”


    เสียงหัวเราะแผ่วเบาของเขาฝาดเฝื่อน และมีร่องรอยของความกังวลบางอย่างอยู่


    “ร้อยโทอาร์เชอร์มีพี่น้องหรือญาติคนไหน ที่เขาสามารถบอกเล่าเรื่องส่วนตัวหรือความลับได้บ้างหรือเปล่า” ผมถาม วางมือลงเหนือเข่าของเขาแล้วลูบเบา ๆ


    ดร. ฟอล์กเนอร์นิ่งฟัง คิดทบทวนคำถามของผมเพื่อหาคำตอบ ส่ายหน้าช้า ๆ ทว่าน้ำเสียงมีความลังเลเล็กน้อย


    “เขาเคยบอกว่า มีพี่ชายที่แก่กว่าเขาหนึ่งปีอยู่คนหนึ่ง แต่พ่อแม่ของเขาแยกกันอยู่ แม่พาพี่ชายของเขาไปอยู่ที่อื่น ส่วนพ่อที่เป็นอัลฟ่าเลี้ยงเขามาในลอนดอน ส่วนใหญ่จะได้ติดต่อกันทางโทรศัพท์ หลังจบจากโรงเรียนเตรียมทหาร คุณพ่อของเขาที่เป็นทหารเหมือนกันก็เสียชีวิต และอีกไม่กี่ปีต่อมา แม่ของเขาก็ป่วยจากไปด้วย เขากับพี่ชายพบกันครั้งสุดท้ายในงานศพของแม่เขา... ที่เชสเชียร์ ถ้าผมจำไม่ผิด” คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด แต่ที่สุดแล้วก็ถอนใจหนัก ๆ ด้วยความผิดหวังและขัดใจที่ความทรงจำของตนเองเริ่มไม่เป็นใจ “ผมไปงานศพของทั้งพ่อและแม่ของเขา แต่ไม่แน่ใจว่าได้พบพี่ชายของเขาหรือเปล่า แย่มาก ให้ตายเถอะ ทำไมถึงนึกไม่ออกขึ้นมาเฉย ๆ เอาตอนนี้...”


    “ไม่เป็นไรครับ ค่อย ๆ นึก” ผมปลอบ อัลฟ่าที่ใกล้ถึงช่วงรัทก็มีอาการแทบไม่ต่างกับโอเมก้าในช่วงใกล้ฮีท และอาจจะแย่กว่าโอเมก้าตรงที่อัลฟ่ามักจะหงุดหงิดและระบายออกด้วยความรุนแรงกว่าหลายเท่า “คุณหมอยังโอเคอยู่ไหม”


    “สามถึงสี่ชั่วโมงยังพอไหว ผมลางานครึ่งบ่ายนี้เอาไว้แล้ว” เขาตอบ สเปรย์ที่เขาใช้สำหรับบล็อกกลิ่นฟีโรโมนช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่นได้กลิ่น แต่ไม่ได้ช่วยยับยั้งหรือชะลออาการฮีทออกไปเหมือนยากดฮอร์โมนที่เขาจำเป็นต้องหยุดใช้ได้แล้ว หลังจากใช้มาต่อเนื่องยาวนานเกินไป “เอพิเพนสำหรับใช้เวลาฉุกเฉินอยู่ในกระเป๋ากางเกงข้างซ้ายเหมือนเดิมครับ”


    ดร. ฟอล์กเนอร์ขยับตัวออกห่างจากผม ลุกขึ้นจากม้ายาว เดินไปที่ถังขยะเพื่อนำกระดาษห่อแซนด์วิชและแก้วกาแฟไปทิ้ง มีอัลฟ่าชายบางคนเดินผ่านมาแล้วเหลียวกลับมามองเขา แต่เมื่อเห็นสายตาของผมที่จ้องอยู่ เขาก็หันไปทางอื่นและรีบจ้ำผ่านไป แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้ผมตัดสินใจยืนขึ้น แล้วเดินตามไปสมทบกับเขาที่เชิงสะพานคอนกรีตสำหรับข้ามทะเลสาบไปยังฝั่งลานมหรสพ และสนามเทนนิสซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่ง


    เขาหันมามองผมที่ก้าวขึ้นมายืนข้างเขาโดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไร ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เบนสายตาไปมองรอบ ๆ ตัว คะเนทิศทางที่อีกฝ่ายน่าจะมาภายในสิบนาทีข้างหน้า สอดมืออ้อมหลังโอบเอวผม เอนศีรษะอิงกับไหล่ของผม ก่อนกระซิบที่ข้างหู


    “มีคนที่กระทรวงการต่างประเทศอนุมัติการเดินทางออกนอกประเทศไปยังพื้นที่เสี่ยงภัยให้ผม เพื่อแลกกับการรายงานข้อมูลทั่วไปในพื้นที่ให้เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองทางการทหารทราบ เซบาสเตียน อาร์เชอร์เป็นเพื่อนเก่าของผมจริง ๆ ในขณะเดียวกันเขาเป็นคนของหน่วยข่าวกรองระหว่างประเทศ หรือ MI6 และเป็นบุคคลที่ผมจะต้องติดต่อด้วยตลอดระยะเวลาที่อยู่อัฟกานิสถาน”


    “สถานะตอนขอวีซ่าของคุณหมอกับเขาตอนนั้นล่ะ” ผมโอบบ่าเขา


    “คู่หมั้นครับ" เขาตอบตามตรง "เป็นสถานะที่น่าสงสัยน้อยที่สุดแล้ว และเป็นเหตุผลที่เหมาะสมดีสำหรับการพบกันในเชลเตอร์สำหรับเจ้าหน้าที่องค์การระหว่างประเทศและองค์กรเอกชนระหว่างประเทศที่เป็นโอเมก้าในช่วงฮีทที่กรุงคาบูล พบกันครึ่งทางระหว่างคุนดุซกับเฮลมัน”


    เพียงแต่ในเวลานั้น ห้องส่วนตัวสำหรับโอเมก้าอย่าง ดร. ฟอล์กเนอร์ใช้ร่วมกับคู่หมั้นเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์อื่น และไม่ว่าใครก็ตามที่ตัดสินใจใช้เขา คนคนนั้นเป็นคนฉลาดอย่างร้ายกาจที่อาศัยเรื่องที่เขาไม่สามารถมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับอัลฟ่าหรือเบต้าชายคนไหนได้ให้เป็นประโยชน์ ซึ่งหมายความว่า คนผู้นั้นสืบรู้ประวัติของเขามาเป็นอย่างดี


    ดร. ฟอล์กเนอร์ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับผมระหว่างที่เราอยู่ด้วยกันในบ้านของเขา แต่ไม่ว่าจะบอกตอนไหน คำบอกเล่าของเขาเป็นคำเฉลยสำหรับข้อสงสัยในใจผมให้ได้ความกระจ่างยิ่งขึ้น


    “สารวัตรดูไม่แปลกใจ”


    “สำหรับในอังกฤษ ถ้าเอาหินสักก้อนเขวี้ยงเข้าไปในผับ แล้วโดนหัวสายลับสักคนก็ไม่น่าแปลกใจอยู่แล้ว” ผมพูดกลั้วหัวเราะ เลื่อนมือข้างที่โอบไหล่เขาอยู่ขึ้นลูบผมสีทรายอ่อนนุ่มของคนข้าง ๆ “ผมดีใจที่เดาถูกมากกว่า”


    “ผมคิดอยู่เหมือนกันว่า สารวัตรจะถามไหม” เขาหัวเราะ “แต่สารวัตรไม่ถามสักที ผมเลยคิดว่าบอกเลยคงดีกว่า”


    “ผมเองก็รอให้คุณหมอบอกกับผมก่อนเหมือนกัน” ผมว่า พยายามมองหาคนที่มีลักษณะคล้าย รท. อาร์เชอร์ในรูปที่เขาเคยให้ผมดูไปด้วย “ผมเองก็อยากถาม แต่พอมานึกดูว่า ถ้าเป็นเรื่องของ MI6 คุณหมออาจลำบากใจที่จะตอบ”


    แพทย์นิติเวชทำเสียงอืมเบา ๆ ในลำคอ แต่ท่าทีผ่อนคลายลงบ้างระหว่างที่ผมลูบเรือนผมของเขากลับตึงเครียดขึ้นมาอย่างกะทันหัน มือของเขาที่โอบเอวของผมไว้กำเสื้อด้านหลังของผมอย่างลืมตัว


    ผมมองตามทิศทางที่สายตาของเขาจับจ้องอยู่ และนิ่งงันตามเขาไปชั่วขณะ


    เลยจากปลายสะพานฟากตรงข้ามไปไม่ห่างนัก ในร่มเงาของต้นวิลโลว์ใหญ่ทอดกิ่งลู่ลมระผิวน้ำของทะเลสาบที่คั่นสวนออกเป็นสองฝั่ง มีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งซุ่มซ่อนอยู่


    แม้จะเห็นจากระยะไกล แต่ก็พอจะบอกได้ว่าเชาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี รูปร่างของเขาค่อนข้างผอมบาง เหมือนไม่ใช่คนแข็งแรงนัก แต่โดยภาพรวมทั้งหมดแล้ว เรียกได้ว่าแทบจะเป็นพิมพ์เดียวกับ รท. เซบาสเตียน อาร์เชอร์ เพื่อนเก่าของ ดร. ฟอล์กเนอร์ ซึ่งลงนามในจดหมายของนัดพบเขาที่รีเจนท์สพาร์คไว้ในเวลานี้


    “เป็นไปไม่ได้...” แพทย์นิติเวชพึมพำ ส่ายหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง “เหมือนเขามากจริง ๆ”


    เป็นไปได้หรือที่คนที่ตายไปแล้วจะฟื้นคืนชีพมาอีกครั้งอย่างที่สายตาสองคู่ของเรามองเห็นตรงกัน



    To be continued...
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
salmonrism (@salmonrism)
ผ..ผีหลอก กลางวันแสกๆ!