สิ่งใดที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมา ก็ล้วนแต่ต้องดับไปเป็นธรรมดา คำนี้เป็นจริงอย่างนั้นมาตลอด แต่ในความคิดของคนทั่วไปที่ไม่เคยเรียนรู้ความปรุงแต่ง ย่อมปรุงแต่งด้วยความโลภ โกรธ และหลง อยู่เป็นประจำ ถ้าหากว่าไม่หยุดที่จะปรุงแต่งในสิ่งที่ไม่ดี ชีวิตก็ยากที่จะตอบได้ว่า นี่คือความสุขที่แท้จริง แล้วคำว่าปรุงแต่งมันหมายถึงอะไรกัน เราทุกคนต้องถูกปรุงแต่งด้วยเหรอ มันจำเป็นแค่ไหน กับการที่จะต้องมาเรียนรู้ในเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่ขอให้เชื่อมั่นว่าถ้าเรียนรู้แล้วจะใช้ชีวิตอย่างสงบขึ้นเยอะ.
ปรุงแต่งนั้นแบ่งออกเป็นสอง
ความปรุงแต่งจะแบ่งออกเป็นสองก็คือ ฝั่งดี และฝั่งไม่ดี การจะแบ่งออกจากกันมันแบ่งด้วยสภาวะอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปนั่งจำแนกให้มันอีก การตระหนักรู้เรื่องนี้จะทำให้เรารู้ชัดว่า ไม่มีสิ่งใดออกไปจากทั้งสองกลุ่มนี้ได้เลย ก็เพราะทุกสิ่งอย่างล้วนแต่ต้องประกอบกับทั้งสองสิ่งนี้เสมอ
จนกว่าจะถึงพระนิพพานจึงจะหมดความปรุงแต่งทั้งปวง รวมถึงการจะฝึกปรือการปรุงแต่งอย่างไรให้สมบูรณ์แบบที่สุด ก็จำเป็นจะต้องเรียนรู้ว่าหนทางใดย่อมเกิดประโยชน์สูงสุด แล้วก็มุ่งมั่นทำการปรุงแต่งนั้นให้ได้ดีที่สุดต่อไป มันคือจุดเริ่มต้นของชีวิตสุขสมบูรณ์อย่างแท้จริง.
ชีวิตที่ย่างกรายไปแต่ละวัน ย่อมถูกซัดส่ายไปยังคลื่นของอุปสรรคและปัญหา ถ้าหากไม่มีจุดยืนที่มั่นคงเพียงพอ การปรุงแต่งก็ย่อมผสมปนเป ขาดธรรมชาติที่สมดุลอยู่แล้วเป็นทุนเดิม สิ่งที่ต้องค้นหากันให้มากคือสร้างความมั่นคงในจิตใจให้ได้ มันจะช่วยเหลือเราก็ต่อเมื่อเราเจอปัญหาในชีวิต เพราะความปรุงแต่งที่ดีย่อมเป็นที่พึ่งอันเกษม แต่ความปรุงแต่งที่ไม่ดีย่อมเป็นภาระที่ยากจะแบกรับไว้ได้ คนดีหมายถึงรู้ว่าหนทางใดเป็นหนทางที่สมควรเดิน ไม่ใช่สักแต่ว่าดีแล้วก็ทำตาม ๆ กันไป ใครเขาว่าดีก็เชื่ออย่างนั้น นั่นจะไม่เรียกว่าคนดี แต่จะเรียกว่าคนหลง.
ปรุงแต่งนี่แหละคือเหตุแห่งทุกข์
เมื่อเกิดการปรุงแต่งขึ้นมาก็ย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา นี่คือสัจธรรมของโลก เปลี่ยนแปลงไม่ได้เพราะไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร
ในการจะหยุดความปรุงแต่งได้นั้นจะต้องเรียนรู้ธรรมะอย่างแจ่มแจ้ง โดยเฉพาะการศึกษาหลักธรรมคำสอนอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นจะต่อสู้กับความปรุงแต่งนี้ไม่ได้เลย เพราะมันคือผลผลิตจากความไม่รู้ ถ้าเราเห็นการปรุงแต่งอย่างแจ่มแจ้งแล้ว จะรู้เลยว่านี่คือสาเหตุแห่งทุกข์ที่เราวนเวียนมาอยู่ทุกวันนี้ การอยากมีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้ รวมถึงการอยากเป็นคนสำคัญของคนในสังคม ทุกสิ่งล้วนแต่ไม่คงทนและถาวร.
การรู้แจ้งว่าทุกอย่างไม่เที่ยงเป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอย่างแท้จริงแล้ว ย่อมละคลายความยึดถือในการปรุงแต่งทั้งปวง ก็เพราะในการปรุงแต่งนั้นไม่สามารถคงทนอยู่ได้นานเลย มันมีแต่ความเลื่อนลอย ไร้แก่นสาร เสมือนว่าไม่สามารถจับต้องอะไรได้ เพราะมันเกิดที่เหตุ พอหมดเหตุมันก็ดับแล้วแค่นั้น บุคคลที่มีปัญญาย่อมรู้ชัดว่า สิ่งนี้ไม่น่าติดข้องเลย สิ่งนี้ไม่น่ายึดถือเลย ถ้าเราได้เข้าไปติดข้องหรือยึดถือแล้ว จิตใจเราก็ย่อมเป็นทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หนทางที่จะไม่ทุกข์คือมองความปรุงแต่งอย่างเข้าใจว่า มันคือเหตุแห่งทุกข์.
ใช้ชีวิตท่ามกลางความปรุงแต่ง
สังคมในยุคนี้ มีการปรุงแต่งกว่าสมัยก่อนอยู่มากมาย เพราะยิ่งมีสิ่งเร้ามากเท่าไร ก็ยิ่งมีการปรุงแต่งมากเท่านั้น เมื่อไรที่เรารู้ว่า สิ่งแวดล้อมมักจะทำให้เราหลุดจากสติไปได้ง่าย จงหาเวลาฝึกสติอยู่เป็นประจำ และหาเวลาว่างเพื่อทบทวนเรื่องราวในแต่ละวัน ขณะที่ความปรุงแต่งรายล้อมเรา เสมือนเป็นสิ่งขวางกั้นไม่ให้เราพบเจอความสุข นี่คือบททดสอบของยุคสมัยนี้ จะหลีกเลี่ยงก็ทำได้เพียงหลีกเว้นตัวเองออกจากพื้นที่อันแสนวุ่นวาย มองดูสิ่งแวดล้อมรอบตัวว่ามีสิ่งใดอยู่กับเราบ้าง เมื่อไรที่พักความปรุงแต่งลงเสียบ้าง ก็จะน้อมรับสิ่งแวดล้อมรอบข้างได้ง่ายขึ้น.
การกลับมาทบทวนตัวเองจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง แล้วยิ่งในยุคสมัยนี้ ย่อมจำเป็นอย่างมหาศาล หากผู้ใดไม่ได้ทบทวนตัวเองเลยก็จะยากที่จะรู้จักตัวเองได้อย่างแท้จริง พอขาดการรู้จักตัวเองแล้วไซร้ ก็ยากที่จะเข้าใจตัวเองอย่างละเอียดลึกซึ้ง เวลามีอะไรจากสิ่งภายนอกเข้ามากระทบ ก็ย่อมเจ็บหนักกว่าคนที่รู้จักตัวเอง การจัดเวลาและแบ่งเวลาเสียบ้าง ย่อมจะทำให้ชีวิตนี้มีความสงบแทรกเข้ามาได้บ้าง เปรียบเหมือนเวลาน้ำนิ่งเห็นปลาชัดเจนฉันใด เวลาจิตสงบก็จะเห็นอารมณ์แจ่มแจ้งฉันนั้น หากไม่ทำแบบนี้ก็ยากที่จะอยู่รอดในชีวิตประจำวันไปได้.
ความคิดนั้นถูกปรุงแต่งบ่อยที่สุด
สิ่งใดเล่าจะหยุดความคิดได้ ก็เราใช้ชีวิตอยู่ในสังคมของการขบคิดทั้งวันทั้งคืน ตั้งแต่ตื่นยันนอน ไม่ได้หยุดที่จะคิดเลย ชีวิตประจำวันจึงเป็นสิ่งที่ยากอย่างยิ่งยวดต่อการจะฝึกความสงบ เพราะปัจจัยภายในเช่น ความคิด ก็เป็นตัวทำให้ความวิตกกังวลถาโถมอยู่เป็นประจำ แถมยังไม่สามารถห้ามความคิดได้อีกด้วย ปัญหาในที่ทำงาน ปัญหาความสัมพันธ์ ปัญหาสุขภาพ หรือแม้ปัญหาที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่มาบีบบังคับให้คุณต้องถูกปรุงแต่งตลอดเวลา ดูเหมือนว่าความเหนื่อยล้าอันแท้จริง จะมาจากสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ก็คือความคิดของเราเอง.
การจะหยุดความคิดนั้น จะต้องเริ่มจากการฝึกสติก่อนอย่างแรก ถ้าไม่ฝึกสติแล้วล่ะก็มันจะยากมาก ๆ ในเบื้องปลาย ไม่ว่าชีวิตจะยุ่งเหยิงแค่ไหน การฝึกสติก็ย่อมทำได้ พอสติมา สมาธิก็จะเกิดขึ้น พอเริ่มตั้งมั่นในอารมณ์ได้แล้ว ปัญญาก็จะมารู้ชัดว่า เพราะสิ่งใดเราถึงหยุดคิดไม่ได้
ความจริงก็คือเราไม่ยอมปล่อยวางอะไรลงไปเลย เรื่องราวมากมายถูกปรุงแต่งขึ้นและจบลงไปแล้ว แต่ความคิดในสมองไม่หยุดที่จะวนเวียนอยู่กับเรื่องราวเหล่านั้น ราวกับว่าเรื่องราวมันยังสถิตอยู่ในจิตใจตลอดเวลา ปัญหาชีวิตจึงทับถมกันอย่างไม่หยุดหย่อน ตัวบำบัดความปรุงแต่งคือตัวสตินี้แล.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in