บางช่วงชีวิตของแต่ละคนก็อาจจะเคยโดนละเลยไปบ้าง รวมถึงเราก็อาจจะเป็นคนที่ละเลยคนอื่นเอง บ้างก็ทำให้คนอื่นเจ็บช้ำ หรือบ้างก็เจ็บช้ำด้วยการกระทำของผู้อื่น ถ้าเราไม่เอาใจใส่การละเลยย่อมเป็นฐานะที่เป็นไปได้อย่างแน่นอน เราไม่สามารถรู้ได้หรอกว่า เรื่องใดควรเอาใจใส่ เรื่องใดไม่ควรเอาใจใส่ ส่วนใหญ่เราก็จะเอาใจใส่เฉพาะเรื่องที่ "เราให้ความสนใจ" ซะมากกว่า ส่วนเราก็อาจจะละเลยเรื่องที่เราไม่สนใจ.
อย่าเห็นทุกสิ่งเป็นของตาย
มีวลีภาษาอังกฤษที่ได้ยินอยู่บ่อย ๆ คือ "Don't take things for granted" การที่เราไม่เอาใจใส่สิ่งต่าง ๆ รอบข้างเราก็หมายความว่าเราได้ 'ละเลย' ทุกสิ่งรอบข้างโดยปริยาย และมันหมายความว่าสิ่งต่าง ๆ รอบตัวของเรา ก็จะทำแบบที่เราทำเช่นเดียวกัน ก็หมายความว่าธรรมชาติก็จะละเลยเราเสมอ เราไม่เห็นมันมันก็ไม่เห็นเรา.
กฏข้อนี้ง่ายมากคือถ้าคุณเห็นทุกสิ่งเป็นของตาย ทุกสิ่งก็จะมองคุณเป็นของตายเช่นเดียวกัน การที่สิ่งของชิ้นนั้นมีค่า ก็เพราะมันมีแค่ชิ้นเดียว หรือว่ามันหาไม่ได้จากไหนอีกแล้ว แต่บางทีก็อาจจะมีราคามูลค่าสูงมากจนไม่สามารถหาเงินมาซื้อมันได้อีก.
ในชีวิตของทุกคนก็ต้องเคยเป็นของตายให้กับใครบางคน และก็อาจจะเห็นคนบางความสัมพันธ์เป็นของตาย การที่เราอยากให้คนอื่นเห็นคุณค่าในตัวเรา เราก็จงเห็นคุณค่าในคนอื่นก่อน สิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ใช่สิ่งของมิอาจทดแทนด้วยคำว่า 'ขอโทษ' หรือ 'ขอโอกาสอีกสักครั้ง' บางสิ่งบางอย่างมีโอกาสแค่ครั้งเดียว แล้วไม่สามารถจะย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้อีก บางทีคำว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุด มันอาจจะเหมือนเป็นคำพูดง่าย ๆ แต่ในยุคปัจจุบันนี้น้อยคนมากที่เข้าถึงคำนี้ได้อย่างถ่องแท้ หลายคนเวียนวนอยู่กับอดีตและมองว่า "ทำอย่างไรก็ไม่เคยดีสักที" หรือ "เรามันแย่ที่ทำให้เสียคนดี ๆ ไป".
คิดก่อนทำ ไม่ใช่ คิดหลังทำ
ทุกความคิดที่กำลังโทษตัวคุณเองไม่มีประโยชน์อะไร เพราะที่ผ่านมาคุณเป็นคนละเลยสิ่งต่าง ๆ ด้วยมือของคุณเอง คนส่วนมากใช้เวลาทั้งหมดไปกับความประมาท และเพิกเฉยต่อสิ่งต่าง ๆ มายาวนาน พอเราเห็นคุณค่าของสิ่งนั้นขึ้นมาจริง ๆ ก็เป็นวันที่สิ่งนั้นได้จากเราไปเสียแล้ว.
ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละ มันอยู่ตรงที่ว่าเราไม่สามารถรั้งอะไรไว้ได้ เราไม่สามารถยื้ออะไรไว้ได้จริง ๆ การคิดหลังกระทำสิ่ง ๆ นั้นไปแล้วไร้ประโยชน์ เหมือนคุณอาลัยอาวรณ์อดีตที่ผ่านพ้นมาแล้วต่อให้ร้องไห้นานแค่ไหน ร้องไห้หนักเพียงใด ถามจริง ๆ สิ่งต่าง ๆ จะย้อนกลับมาตามที่คุณทุ่มเทให้มันด้วยการร้องไห้เหรอ มันคงไม่ใช่อย่างแน่นอน.
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณต้อง "คิดก่อนที่จะกระทำสิ่งใดก็ตาม" และไม่ยกเว้นเลยว่าคุณจะคิดเรื่องอะไร แต่ขอให้คุณคิดก่อนที่จะลงมือกระทำมันก็พอแล้ว คุณจะใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อกระทำเพียงสิ่งเดียวก็ได้ อย่างน้อยมันก็ยังดูดีกว่ามานั่งรำพึงถึงอดีตที่มันล่วงเลยไปเลย ในเมื่อคุณละเลยการคิดที่จะทำสิ่งต่าง ๆ เหตุการณ์มันก็จะวุ่นวาย เพราะคุณหาสาเหตุไม่เจอว่า เพราะอะไรกันนะที่ทำให้ทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เหตุผลง่าย ๆ ก็คือคุณละเลยที่จะเอาใจใส่เหตุการณ์อย่างเป็นจริงเป็นจังยังไงล่ะ คุณควรที่จะจริงจังกับชีวิตมากกว่านี้.
ละเลยกับความไม่ดี
อย่าปล่อยเวลาให้สูญเปล่า ด้วยการนั่งนึกตรึกเอาเองเป็นตุเป็นตะว่า "ฉันจะต้องเจอสิ่งดี ๆ" หรือว่า "ฉันจะต้องไม่เจอปัญหา" ซึ่งความจริงในชีวิตไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย การละเลยในความไม่ดีมันจะเป็นสิ่งดี ก็เพราะว่าบางอย่างในโลกนี้ไม่ควรเอาเป็นแบบอย่าง ปล่อยไปได้ก็ดีนะ ไม่ใช่เราจะเก็บทุกเรื่องเอามาเป็นสาระ ละเลยอดีตบ้างจะเป็นอะไรไป ละเลยความทุกข์บ้างมันก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี การที่เก็บทุกอย่างเอามาเป็นแก่นสารของชีวิต คงจะไม่เข้าท่าสักเท่าไร เพื่อนที่ไม่ดี หรือว่าแฟนที่ไม่ดี เราอาจจะละเลยเขาไปบ้าง โดยการเพิกเฉย และไม่แบ่งรับแบ่งสู้ การรู้ว่าเพื่อนที่ไม่ดีคบไปก็มีแต่จะฉุดเราลง ก็ถือว่าควรละเลยเช่นกัน แฟนที่ไม่ดีคบกันไปก็มีแต่จะทำร้ายร่างกาย และจิตใจ ก็ควรที่จะละเลยคนประเภทนี้บ้าง.
บางทีการเรียนรู้ที่จะเอาใจใส่ในบางเรื่อง และละเลยในบางเรื่องมันเป็นสิ่งที่ควรจะขบคิดอย่างยิ่ง ปัญหาในชีวิตของมนุษย์ก็คงหลีกเลี่ยงกับความสูญเสียไปไม่ได้ การตระหนักรู้ในเรื่องบางเรื่องว่าควรปล่อยวาง ไม่ควรนำมาคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้จิตใจนั้นเกิดบาดแผลหนักเข้าไปอีก มิหนำซ้ำยังทำให้สุขภาพจิตบั่นทอนด้วยความคิดวิตกกังวล ในเรื่องราวที่ประสบพบเจอ ให้บอกกับตัวเราเองว่า "เหนื่อยนักก็พักบ้าง".
เอาใจเขามาใส่ใจเรา
ในยุคสมัยนี้ต้องยอมรับว่า เราต้องการให้คนอื่นมาเข้าใจเราเสียมากกว่า ที่เราจะเป็นคนที่อยากจะเข้าใจผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ข้อความลงโซเชียล เพื่อหวังให้ใครสักคนนึงเห็น และคอมเมนต์ชื่นชมต่าง ๆ นานา รวมถึงแสดงความคิดเห็นในเชิงบวกแก่เรา บางทีเราก็ลืมนึกไปว่าการที่เราจะเป็นคนที่มีคนสนใจมาก มันอาจจะไม่ได้ดีอย่างที่เราคิดก็ได้นะ การแสดงออกทางคำพูดมากไปก็อาจจะมีคนหมั่นไส้ หรือว่าเจอปัญหาอะไรก็ได้ ในการคาดหวังว่าให้คนอื่นคิดในแง่ดีกับเราก็คงไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้ บางช่วงชีวิตอาจจะเจอคนด่าเรามากกว่าคนชม นั่นแหละคือปัญหาของชีวิต.
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณต้องเริ่มที่จะเป็นคนเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่ละเลยความคิดเห็นใคร รวมทั้งเป็นผู้รับฟังที่ดีในสังคม ไม่ว่าคุณจะไปอยู่ตรงจุดไหนของชีวิตก็จะมีความสุข เพราะว่าคุณให้ความสำคัญในทุกคนอย่างเท่า ๆ กัน ไม่มีการอคติมากจนเกินงาม หรือไม่มีความลำเอียงใด ๆ ตรงนี้แหละจะทำให้ดูมีคุณค่าขึ้นมาจริง ๆ การที่รู้ว่าความรู้สึกที่ถูกละเลยเป็นอย่างไร มันเจ็บปวด และสิ่งที่เรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งนี้คือเราจะได้เรียนรู้ว่า เราจะไม่ละเลยใครไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน หรือ แฟน ทุกคนจะมีความเท่าเทียมกัน เราจะให้ความสำคัญในทุกคน รวมถึงคนในสังคมก็เช่นกัน ไม่ใช่มองว่าเขาคือคนอื่น แต่ทุกคนก็ล้วนแต่เป็น "เพื่อนมนุษย์ด้วยกันทั้งสิ้น".
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in