เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Art first (because life can wait)jchang
รีวิว Flee (2021) เล่า 'ความจริง' ผ่านอนิเมชั่น
  • Flee (2021)

    สารคดีอนิเมชั่นที่ส่งผ่านความรู้สึกรุนแรงของชีวิตผู้ลี้ภัยในยุโรป เล่า’ความจริง’ ผ่านศิลปะ ลายเส้นเคลื่อนไหวที่ทำให้ผู้ชมเข้าใกล้ความจริงมากกว่าเดิม

    *มีสปอยเนื้อหาในหนังเล็กน้อย*




    เราจะเล่าเรื่องของเราให้โลกใบนี้ฟังได้อย่างไร ?

    งานเขียน นิยาย รูปถ่าย - สิ่งเหล่านี้อาจจะหนึ่งในวิธีการที่คนคนหนึ่งจะเปิดเผยเรื่องเล่าที่ได้พบเจอมาเป็นการส่วนตัวให้คนอื่นและโลกภายนอกรับรู้ หลายครั้งเมื่อเราหยิบรูปภาพเก่าๆ ไดอารี หรือ ส่ิงของแห่งความทรงจำขึ้นมาแล้วปล่อยให้ส่ิงเหล่านั้นนำทางเรากลับไปยังโลกในอดีตที่เกิดขึ้นและผ่านไปแล้ว

     แต่โลกในอดีตที่สิ่งของเหล่านั้นนำพาเรากลับไปเป็นโลกแบบไหน ? สถานที่ที่อยู่ในความทรงจำของเราเป็นสถานทีจริงหรือมันกลายเป็นสถานที่ที่ความจริงผสมปนเปไปกับคำโกหก ความจริงกับจินตนาการถักทอเรียงร้อย ความเจ็บปวดในอดีตพุ่งชนกับความหวังในอนาคตและบาดแผลของปัจจุบัน?



    เรื่องย่อ

    ในหนังสารคดีอนิเมชั่น Flee (2021) เรื่องราวชีวิตส่วนตัวของ ‘อามิน’ ค่อยๆไหลออกมาผ่านรูปภาพรูปแรกที่ปรากฎขึ้นเป็นความทรงจำในวัยเด็กของเขา ภาพถนนในกรุงคาบูร์ ประเทศอัฟกานิสถานในช่วง 1980s ตัวเขาเองที่วิ่งอยู่บนถนนในชุดนอนกระโปรงของพี่สาวพร้อมฟังเพลงเสียงดังลั่นจากหูฟังสีชมพูที่แนบหู อามินรู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าเขาแตกต่างจากคนอื่นๆ แต่ยังไม่เข้าใจว่าความแตกต่างนั้นคืออะไรและมันมีความหมายอะไรกับชีวิตเขากันแน่ จากรูปถ่ายรูปแรกของความทรงจำในวัยเด็กของอามินและครอบครัวของเขาในกรุงคาบูร์ เรื่องราวใน Flee ก็เริ่มต้นโดยมีอามินเป็นตัวเอกที่เล่าชีวิตในวัยเด็กของเขาจากเด็กคนหนึ่งในคาบูร์ที่ต้องระหกระเหินจากบ้านเกิดเพื่อรักษาชีวิตและได้กลายเป็นผู้ลี้ภัย (refugee) ในรัสเซียและยุโรป ตลอดชีวิตเขาตามหาสถานทีที่จะมอบความปลอดภัย มั่นคง ที่ที่เขาจะสามารถใช้ชีวิตอยู่และไม่ต้องหนีไปไหน สถานที่แห่งใหม่ที่เพียงพอจะทำให้เขาเรืยกว่า ‘บ้าน’

    Flee บอกเล่าชีวิตของอามินตั้งแต่ที่เขาหนีออกจากอัฟกานิสถานหลังสงความกลางเมืองเริ่มต้นขึ้น จากอัฟกานิสถานอามินหนีไปที่มอสโก รัสเซีย สถานทีที่เดียวที่มอบวีซ่านักท่องเที่ยวให้แก่เขา และหลังจากนั้นอีกหลายปีเขาถึงได้สถานะผู้ลี้ภัยในเดนมาร์ก ประเทศที่เขาได้ลงหลักปักฐานตัวคนเดียวปราศจาคครอบครัว เขาได้ไปโรงเรียน ตกหลุมรัก ทำงานและในที่สุด แต่งงาน. Flee เล่าถึงชีวิตของอามินในช่วงเวลาปัจจุบันตัดสลับความทรงจำของเขาในอดีตที่ต้องพยายามหนีเข้าเมืองและใช้ชีวิตอย่างผิดกฎหมาย  ในช่วงเวลาปัจจุบัน Flee เล่าถึงผลลัพธ์จากการต่อสู้ในอดีตของอามินที่ส่งผลต่อชีวิตที่ภายนอกดูสุขสบายแล้วของเขาเอง





    Flee เล่าอารมณ์และเรื่องราวออกมาได้อย่างไร ?

    ชีวิตของอามินในฐานะผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายและผู้ลี้ภัยเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ท่วมท้นไปด้วยความหวาดกลัว อาย ผิดหวัง โกรธและโศกเศร้า การที่จะ ‘เล่า’ หรือบันทึกทำสารคดีเรื่องราวที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่รุนแรงเหล่านี้ออกมาให้ครบถ้วนที่สุดเป็นเรื่องที่ยากมากหรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ภาษาอาจอธิบายความกลัวของเขาออกมาได้เพียงบอกว่าเขาหวาดกลัว แต่ไม่สามารถบันทึกความสับสนที่มาพร้อมความกลัว ความสิ้นหวัง และเสียงหัวใจที่เต้นแรงยากตกในห้วงอารมณ์แห่งความกลัวนั้นออกมาได้ แม้ภาษาของมนุษย์ดูจะไร้ความสามารถในการถ่ายทอดอารมณ์รุนแรงเหล่านี้ออกมาได้อย่างครบถ้วน เมื่อเราไปขีดจำกัดของภาษาและผิดหวังในความสามารถของมัน เราสามารถหันหน้าไปพึ่งพาความสามารถของศิลปะ เพื่อจะบอกเล่าความรู้สึกซับซ้อน หนักอึ้งและพร่ามัวเหล่านั้นออกมา

    เพื่อที่จะส่งผ่านความรู้สึกรุนแรงเหล่านั้นของอามินออกมา Flee รวบรวมรูปแบบการสื่อสารผ่านศิลปะหลายๆรูปแบบเพื่อจะบอกเล่าหรือบันทึกทำสารคดีชีวิตของอามินให้ออกมาครบถ้วนที่สุด ในหนัง Flee ผสมเทคนิคลายเส้นการวาดรูปแบบอนิเมชั่นเข้ากับการใช้ภาพวิดิโอจากสถานที่จริงที่อยู่ในความทรงจำของอามิน รวมไปใช้เสียงจริงๆของอามินเพื่อบอกเล่าความทรงจำของตัวเอง อนิเมชั่นที่ใช้ใน Flee ไม่ใช่เพียงลายเส้นที่วาดรูปอามินเป็นตัวละครขึ้นมาและเล่าเรือ่งของเขาไปตามฉากต่างๆ แต่หลายๆครั้งลายเส้นอนิเมชั่นมีสีสันคมชัดกลายเป็นเพียงลายเส้นมัวๆเต็มไปด้วยเงาสีขาวดำ อิสระและจินตนการในการวาดเส้นอนิเมชั่นทำให้ความทรงจำของอามินมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ความทรงจำที่เต็มไปด้วยเรื่องจริงและเรื่องโกหก เรื่องจริงและจิตนาการ 

    ในขณะที่การถ่ายทำหนังในสถานที่จริงอาจทำให้คนดูรู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในสถานทีนั้นจริงๆ การเล่าเรื่องผ่านอนิเมชั่นทำให้คนดูสามารถเข้าไปอยู่ในความทรงจำของอามิน และทำให้เรื่องราวของอามินถูกบันทึกเป็นสารคดีออกมาได้อย่างครบถ้วน





    ศิลปะที่ถ่ายทอดความ ‘กลัว’ ใน Flee



    ในฉากหนึ่งที่เราได้ยินเสียงของอามินเล่าถึงความสะพรึงกลัวของเขาเมื่อพยายามลักลอบเขาสวีเดนผ่านทะเลบอลติก ภาพอนิเมชั่นวาดตามคำบอกเล่าของอามินถึงเรือที่กำลังจะจม น้ำที่ท่วมทะลักเข้ามาในท้องเรือพร้อมพายุฝนที่เทกระหน่ำ พี่ชายกอดแม่ที่กำลังตัวสั่นพร่าด้วยความกลัว ก่อนที่ลายเส้นจะเปลี่ยนไป จากภาพอนิเมชั่นที่เล่าเรื่องที่อามินมองเห็นผ่านสายตากลายเป็นภาพเล่าถึงความกลัวภายในจิตใจของเขาเอง แม่และพี่ชายกลายเป็นภายเงาสีดำเข้ม เกลียวคลื่นสูงกลายแค่เส้นโค้งหยึกยัก ความกลัวกลายเป็นคำถามที่เขาถามตัวเองว่า ถ้าจะต้องเลือกช่วยชีวิตใครคนหนึ่ง เขาจะเลือกช่วยแม่หรือพี่ชาย เมื่อความกลัวกลายเป็นความสับสนร้อนรนและสิ้นหวังไร้คำตอบ อารมณ์ความหวาดกลัวพุ่งขึ้นถึงสูงสุด ภาพเงาดำของแม่และพี่ชายแตกสลายกลายเป็นเส้นโค้งไปหมุนไปพร้อมกับเส้นโค้งของเกลียวคลื่นทำให้ภาพบนหน้าจอกลายเป็นเส้นโค้งที่ไหลเข้าชนปะทะกันอย่างไม่มีสิ้นสุด 

    ภาพอนิเมชั่นบนหน้าจอโชว์ความหวาดกลัวสับสนและพ่ายพายของอามินออกมาแทนที่จะบอกเราเพียงสั้นๆว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับประสบการเชียดตายและการสูญเสีย การเคลื่อนที่ของภาพและลายเส้นบนหน้าจอกำลังสร้างประสบการณ์จำลองขึ้นมาให้กับผู้ชมและปลุกให้เรานึกถึงประสบการณ์ความกลัวของตัวเราเอง เราอาจจะไม่เคยโดดเดี่ยวอยู่บนเรือใกล้จมกลางพายุ แต่เราทุกคนต่างมีความกลัวเป็นของตัวเอง และในความกลัวเราต่างสับสน ร้อนรน พ่ายแพ้และหมดหวังไม่ต่างอะไรจากอามิน


    เมื่อความกลัวกลายเป็นความเข้าใจ 

    เมื่อ Flee สามารถทำให้เราย้อนนึกถึงความกลัวของเราเองและโยงความกลัวนั้นเข้ากับสิ่งที่อามินต้องเผชิญ Flee ประสบความสำเร็จในการทำให้เรารู้สึก ‘ใกล้ชิด’ กับชีวิตผู้ลี้ภัยอย่างอามินแม้เราว่าจะใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา เมื่อความใกล้ชิดถูกสร้างขึ้นจากความรู้สึกกลัวที่เราต่างรู้สึกได้เหมือนกัน เราเริ่มที่จะ ’เข้าใจ’ ความรู้สึกของอามินที่ไม่ได้พูดภาษาเดียวกับเราและไม่ได้อยู่ในสถานการณ์อะไรที่เหมือนกับเราเลยด้วยซ้ำ และความเข้าใจนี้เองที่จะนำไปรู้ไปสู่ความเห็นอกเห็นใจเรื่องราวของอามินแม้ว่าเราจะไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอัฟกานิสถานหรือวิกฤตผู้ลี้ภัยในยุโรป เราเห็นอกเห็นใจอามิน ไม่ใช่เพราะเรารู้สึกสงสารแต่ในชั่วขณะหนึ่ง Flee ทำให้เรารู้สึกลัว กลัวเหมือนที่ผู้ลี้ภัยคนหนึ่งต้องกลัว เราและอามินต่างมีความรู้สึกร่วมกันตามเงื่อนไขของการเป็นมนุษย์คนหนึ่ง และเราเห็นอกเห็นใจเรื่องราวของอามินในฐานะที่เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง

    เมื่อฉากบนเรือกลางทะเลบอกติกจบลงและผู้ชมหลุดออกมาจากประสบการณ์ความกลัวที่ Flee จำลองขึ้นมา ภาพอนิเมชั่นถูกตัดกลับไปเป็นรูปถ่ายและคลิปสั้นๆที่บันทึกภาพถ่ายจริงๆของเรือที่ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่โดยสาร ง เป็นตอนนั้นเองที่ Flee ตอกย้ำกับเราอีกครั้งว่าความกลัวที่เกิดขึ้นผ่านศิลปะของอนิเมชั่นเมื่อสักครู่ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่อง ‘แต่ง’ หรือจิตนาการของเราเอง อามินไม่ใช่ตัวละครนวนิยายที่ไม่มีตัวตน แต่เป็นคนจริงๆที่เล่าเรื่องจริงที่ชัดเจนกว่าเรื่องจริง เรื่องราวเหล่านั้นเกิดจริงและมีหลักฐานมากมายเป็นรูปถ่าย ภาพถ่ายและคลิปรูปจริงๆทำให้เราย้อนกลับมาจำได้ว่าเรากำลังดู ‘สารคดี’ เรากำลังมองประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมด ความรู้สึกหวาดกลัวถูกปะปนเข้ากับรูปภาพเรือของผู้ลี้ภัย ความจริงที่ปรากฎกับเรื่องเล่าส่วนตัวที่มักถูกเก็บเงียบผสมปนเปกันไปหมด และนี้คืออำนาจของศิลปะและความฉลาดของทีมงาน Flee ที่ทำให้ผู้ชม 'เชื่อมโยงกับ' เรื่องเล่าของอามินได้อย่างหมดใจ 


    การเปลี่ยนสลับระหว่างอนิเมชั่นกับรูปภาพจริงๆใน Flee ทำให้เรามองเห็นเรื่องราวของอามินในฐานะสารคดีและในขณะเดียวกันเราก็เข้าใจเรื่องราวของผ่านการจัดวางของศิลปะอนิเมชั่นที่นำความกลัวของอามินและความกลัวของเรามารวมไว้ด้วยกัน ส่วนผสมทั้งหมดทำให้ ‘ความจริงจากปากของอามิน’ กลายเป็นความจริงที่เหนือกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้จริงๆ





    เราจะเล่าเรื่องของเราให้โลกใบนี้ฟังได้อย่างไร ?

    Flee ในฐานะสารคดีอนิเมชั่นเป็นหนึ่งในความพยายามที่จะเล่าเรื่องราวของอามินให้โลกใบนี้ฟัง แต่การเล่าเรื่องราวความจริงของคนคนหนึ่ง อาจไม่ใช่แค่การพูดมันออกมา หรือบันทึกมันไว้ในรูปถ่าย รูปถ่ายไม่เคยบันทึกความเป็นจริงและคำพูดก็เต็มไปด้วยข้อจำกัด Flee พยายามข้ามผ่านข้อจำกัดเหล่านั้นด้วยการข้ามไปใช้วิธีการที่ดูเหมือนจะห่างไกลจากความจริงที่สุดอย่างภาพวาดเส้นอนิเมชั่น และด้วยวิธีที่การที่ดูจะห่างไกลจากความจริงมากที่สุดอาจทำให้เราเข้าถึงความจริงได้ใกล้ที่สุดเช่นเดียวกัน.






    ความรู้สึกส่งท้าย

    ตอนที่เรานั่งดูฉากเรือในโรงหนัง จู่ๆเราก็นึกถึงเรื่องของชีวิตนักโทษชาวยิวในยุคสงครามโลกครั้งที่สองในหนังสือเรื่อง Night นักโทษที่ต้องวิ่งไปเรื่อยๆเป็นหลายสิบไมล์กลางภูเขาหิมะ เมื่อไรก็ตามที่หยุด เขาอาจโดนทิ้งให้หนาวตายกลางหิมะหรือโดนยิงตายโดยทหารนาซี มองย้อนกลับไปในชั่วชีวิตอันสุขสบายของเรา เราคงไม่เคยมีประสบการความกลัวอะไรที่จะทำให้เราแชร์ความกลัวกับอามินในหนังได้ และเมื่อเราคิดถึงความกลัวที่สุดในชีวิตเราต้องไปนึกถึงความกลัวของคนอื่นที่เราเคยอ่านและจำฝังใจ นั่นทำให้เราตระหนักได้ถึงความ privilege ของตัวเองที่มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ที่ไม่มีแม้กระทั่งมีความรู้สึกกลัวจนตายที่จะเอาไว้แชร์กับคนอื่นๆ เรารู้สึกอับอายกับความสุขสบายของเราเอง เรายังไม่แน่ใจว่าควรจะทำยังไงกับความอับอายที่รู้สึก หรือเราควรรู้สึกอายมั้ย หรือควรเปลี่ยนมันเป็นอย่างอื่น แต่ตอนนี้มันคือส่ิงที่เรารู้สึก


    จริงๆแล้วยังมีประเด็นอีกหลายประเด็นใน Flee ที่ยังไม่ได้พูดถึง เช่นประเด็นเรื่อง LGBTQ ถ้ามีเวลาจะมาเขียนรีวิวเรื่องนี้เพิ่ม ตอนนี้ใครที่ยังไม่ได้ไปดู ถ้ามีโอกาส แนะนำให้รีบไปดูจริงๆ :)


    JChang

    Twitter @Jaechanggg

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in