เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Art first (because life can wait)jchang
[ชวนดู Bobby's Runaway] Thousand reasons to run away




  • ต่อให้เช้าวันใหม่จะมาถึง ต่อให้ความหวังจะมีอยู่จริงๆ

    คำว่า 'อรุณสวัสดิ์' ก็ไม่มีความหมายอะไรกับผมทั้งนั้น 





    If you see my swaying
    please take me away, far away




          ไม่คิดว่าจะได้มาเขียนบทความแนวตีความ/วิเคราะห์เอ็มวีให้บ๊อบบี้ แต่เอ็มวีและเพลงดีมากๆ เลยอยากมาเขียนแชร์ความคิดของตัวเองและเชิญชวนทุกคนไปฟังเพลง Runaway ของบ๊อบบี้กัน เห็นคนเขียนเกี่ยวกับเพลงนี้ไปเยอะแล้ว (อันนี้ดีมากๆเลย) แต่เราก็อยากมาเขียนความประทับใจคร่าวๆเก็บไว้อยู่ดี  อาจจะอวยมาก มโนมาก ยังไงก็ขอโทษล่วงหน้านะคะ คิดเห็นยังไงคอมเม้นได้เหมือนเดิมค่ะ 





    Theme: Bobby's runaway 


    Runaway หรือการวิ่งหนี มีหลายๆรูปแบบและเกิดจากหลายๆเหตุผล ตอนแรกที่เห็นชื่อเพลงเราคิดว่าบ๊อบบี้คงทำเพลงอารมณ์วัยรุ่นเจอปัญหาแล้ววิ่งหนีไปไกล วัยรุ่นวัยต่อต้านอะไรพวกนี้ ไม่ก็คงมาแบบใสๆ ประมาณว่าที่รัก เรามาหนีไปกันเถอะ ไปโลกที่มีแค่เรา แต่พอเพลงออกมา เฮ้ย มันไม่ใช่ เพราะแทนที่เพลงจะให้ความรู้สึกปลดปล่อย อิสระจากการวิ่งหนี เพลงและเอ็มวีกลับเน้นถึงความอยากจะวิ่งหนีออกไปไกลๆแต่ทำไม่ได้ จากตอนแรกที่อารมณ์อยากหนีเหมือนเป็นแค่ความคิดวูบนึงในวันที่เซ็งๆ ค่อยๆไต่ระดับขึ้นตามบีทเพลงจนกลายเป็นความอึดอัดใจ ความหงุดหงิด และบางประโยคก็แทบจะกลายเป็นการร้องขอให้ใครสักคนมาช่วยพาตัวเองหนีไปหน่อย 

    ทำไมการวิ่งหนีถึงกลายเป็นอารมณ์อึดอัดขนาดนี้ ? 


    ส่วนตัวรู้สึกว่าบ๊อบเล่นกับธีมที่ดีพกว่าการ runaway ทั่วไปๆมาก พูดถึงความย้อนแย้งของการใช้ชีวิต ตัวติดอยู่ที่นี่ตรงนี้เพราะหน้าที่และความรับผิดชอบ แต่หัวใจโคตรอยากจะหนีไปให้พ้นๆ สำหรับเราแล้ว ท่อนนี้ได้เพลงสรุปใจความทุกอย่างในเพลงได้ดีที่สุดค่ะ 




    คนที่อยู่ในกระจก ไม่ใช่ตัวผมที่ผมเคยรู้จัก 
    ผมแค่อยากจะไล่ตามความฝัน 
    แต่กลับต้องแบกความรับผิดชอบไว้บนบ่า 

    In the mirror
    It’s not the me I used to know
    I want to chase after my dreams
    But responsibility weighs down on my shoulders




    ดูเนื้อเพลง Run away ได้จากลิงค์นี้ค่ะ 






    MV


    เอ็มวีของบ๊อบบี้แทบจะไม่มีอะไรซับซ้อนเลย  ประเด็นหลักๆของการวิ่งหนี แต่วิ่งหนีอะไร วิ่งหนียังไง หนีแล้วไปที่ไหน ตรงนี้เราว่าทุกคนสามารถตีความออกไปได้หลายแบบ ตอนแรกที่เราดูเราเข้าใจอย่างนึง พอดูแบบตั้งใจมากๆเข้าใจอีกแบบ5555 เชิญชวนทุกคนอ่านแล้วลองเอาคิดตีความการวิ่งหนีของตัวเองได้เลย  





    1. เมื่อความฝันก็ไม่ต่างอะไรจากห้องห้องนึง 




    สิ่งที่เราต้องยกเครดิตให้ผู้กำกับเอ็มวีคือวิธีการเล่าเรื่องที่สนุกและน่าสนใจมากๆ เอ็มวีแค่ 4 นาทีกว่าๆ แต่ต้องเล่าเรื่องราวและความรู้สึกของบ๊อบบี้ตั้งแต่สมัยอยู่อเมริกา แล้วย้ายกลับมาเกาหลีเพื่อเป็นเด็กฝึกวายจี เริ่มต้นเดินตามความฝันและทำเพื่อครอบครัว 


    เราเข้าใจว่าเอ็มวีน่าจะเเบ่งเป็นสามองค์หลัก






    องค์แรกคือช่วง Prologue ที่เปิดฉากมาด้วยบ๊อบทุบกระจกแล้วเจอตัวเองอยู่ในห้องโถงที่มีประตูอยู่ที่อีกฝั่ง 








    องค์ที่สองเป็นเนื้อหาหลักของเอ็มวี บ๊อบบี้ต้องตัดสินใจว่าควรจะเปิดประตูออกไปรึเปล่า ในส่วนนี้ผู้กำกับพาเราเข้าไปดูความคิดของบ๊อบผ่านประตูบานต่างๆ มีทั้งที่เป็นความทรงจำในวัยเด็ก ที่เป็นภาพตัวเองวิ่งออกไปอย่างอิสระ 









    และองค์สุดท้าย เป็นเหมือนฉากจบของเรื่องราวสั้นๆ ที่จบด้วยประโยคจากไบเบิ้ลและบานประตูปิดที่ไม่มีใครอยู่ 




    ส่วนตัวเราประทับใจในองค์แรกมากกกกกกก

     บ๊อบบี้เปิดตา ทุบกระจกเพื่อที่จะเข้าไปพบตัวเองอยู่ในห้องๆหนึ่งที่มีประตู 









    ทำลายกระจกเพื่อจะเข้ามาอยู่ในห้องแคบๆ?

    ถ้ากระจกหมายถึงตัวเอง การทำลายกระจกจะหมายถึงการก้าวข้ามตัวเองรึเปล่า ?

    บางทีนี่อาจจะเป็นความจริงของการล่าฝัน พยายามมากมายสุดท้ายก็เข้ามาอยู่ในห้องห้องหนึ่ง หลายคนอาจจะคิดว่าความฝันควรจะทุ่งกว้างไร้ขอบเขตเต็มไปด้วยอิสระ แต่การทำตามความฝันกลับทำให้บ๊อบบี้เข้ามาอยู่ในห้องแคบๆ มีกำแพงล้อมรอบ เต็มไปด้วยข้อจำกัด แม้แต่ความฝันก็มีกฎของมันเอง อันนี้แอบคิดไปเองว่าเข้ากับบทสัมภาษณ์ของบ๊อบที่บอกว่าได้แรงบันดาลในการเขียนเพลงมาจากเพลง fear ของ มิโน ที่บอกว่า เหมือนกำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้กล้อง CCTV 

    เราว่าการเล่าเรื่องด้วยห้องและบานประตูเป็นอะไรที่ฉลาดและเข้ากับธีมของเพลงที่พูดถึงการอยากทำตามความฝัน อยากอยู่ในที่ที่ไร้ขอบเขต แต่สถานที่กว้างใหญ่ที่มีความฝันอยู่อาจจะไม่มีอยู่จริงด้วยซ้ำ บางทีชีวิตก็คือการเปิดประตูจากห้องนึงไปอีกห้องไปต่อเรื่อยๆ จนสุดท้ายอาจจะมีห้องๆหนึ่งที่เราคิดว่ามันคือจุดสูงสุดของฝันของเรา เราอาจจะต้องทนอยู่ในห้องๆนั้นแทนที่จะเปิดประตูและเดินต่อไป 





    ตรงนี้ทำให้เราฉุกคิดมานิดหน่อยว่า การวิ่งหนี ในเพลงนี้มันคืออะไรกันแน่ ? 





    ตอนแรกเราก็คิดว่ามันคือการวิ่งหนีไปจากความรับผิดชอบมากมายที่อยู่ตรงหน้า จากปัญหาและความเหนื่อยล้าที่เจอ  แต่ตอนนี้เรากลับคิดว่า การวิ่งหนีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความฝันไปแล้ว ความอยากหนีมันดูมีมากกว่าความพยายามทำตามฝันยังไงไม่รู้ ที่บ๊อบอยากจะวิ่งหนีมันเป็นเพราะอยากไปหาความสบายใจ หรืออยากจะวิ่งหนีเพราะคิดว่าการวิ่งหนีคือส่วนหนึงในเส้นทางตามล่าฝันของตัวเอง แต่ถ้าฝันว่าอยากจะวิ่งหนี แล้วห้องที่อยู่ตรงนี้ล่ะ มันคืออะไร เมื่อก่อนการยืนอยู่ตรงนี้เคยเป็นความฝันไม่ใช่เหรอ ?  

    เพลงมันเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนยังไงไม่รู้ บางทีบ๊อบอาจจะอยากหนีเพราะเส้นทางความฝันที่เลือกทำให้เหนื่อยล้า ข้อจำกัดมากมายทำลายความเป็นตัวเอง เลยอยากหนีเพื่อรักษาความเป็นตัวเองและความฝันไว้ ? ความรู้สึกในเพลงมันย้อนแย้ง สับสนจนเราคิดว่ามันเป็นเอกลักษณ์ของเพลงนี้ และมีความบ๊อบบี้อยู่ในเพลงมากๆ เราแค่รู้สึกว่าการทำตามความฝันมันไม่ง่ายเลย ไม่ง่ายจริงๆ









    2. Will you open that door ? 







    มาดูที่องค์ที่สองของเอ็มวีกันบ้าง เรื่องราวในเอ็มวีสำหรับเราคือการสำรวจความคิดในหัวของบ๊อบว่าควรจะเปิดประตูที่อยู่ตรงหน้าดีมั้ย ? ควรจะหนีดีมั้ย? อย่างที่บอกไปว่าการหนีของบ๊อบมันดูเป็นทั้งการหนีจากปัญหาและเป็นการหนีเพื่อทำตามความฝัน ค่อนข้างซับซ้อนและย้อนแย้งยังไงไม่รู้ 


    ในองค์นี้ผกก เล่าเรื่องชีวิตบ๊อบผ่านบานประตูหลายบานที่บ๊อบบี้คิดย้อนกลับไปดู ขอแบ่งประตูพวกนั้นเป็นสองแบบนะคะ ประตูที่เป็นภาพสีกับที่เป็นภาพขาวดำ 





     วัยเด็ก / ความทรงจำ / ความระลึกถึง



     ภาพ flashback ตอนเด็กของบ๊อบบี้ผ่านบานประตูเป็นภาพสี เเทนที่จะเล่าเรื่องราวชีวิตตอนเด็กของบ๊อบอย่างตรงไปตรงมา ผกก ตัดภาพสลับตอนเด็กมาเป็นตอนโต เน้นความรู้สึกว่าเป็นบ๊อบบี้ตอนโตที่กำลังมองย้อนไปในอดีตของตัวเอง ฉากตรงนี้เราจะเห็นการเติบโตของบ๊อบบี้ได้อย่างชัดเจน ในขณะที่บ๊อบบี้ตอนเด็กดูหวาดกลัวและไม่มั่นใจ บ๊อบบี้ตอนนี้กลับตรงกันข้าม




    บ๊อบบี้ในตอนเด็กอยู่ในห้องที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ ข้าวของยังไม่ถูกเอามาจากกล่อง ในขณะที่บ๊อบบี้ตอนโตอยู่ในห้องที่ของทุกอย่างถูกจัดลงกระเป๋าแล้วพร้อมจะออกเดินทาง  (ชอบการใช้คู่สีตรงข้ามของซีนนี้ด้วย ฉากที่เป็นตอนเด็กจะเป็นสีเหลือง ส่วนตอนโตจะเป็นโทนฟ้าหมดเลย)








    ไม่รู้ทำไม แต่การแสดงสีหน้าท่าทางของบ๊อบบี้และน้องในเอ็มวี บวกกับโทนสีและการตัดต่อหลายๆอย่าง ทำให้เรารู้สึกว่า มันผ่านมานานมากๆเลยนะ จากตรงนั้นกว่าจะถึงตรงนี้ เดินทางมาไกลมากเลยๆ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ มองย้อนกลับไปสิว่าอดีตเคยเป็นยังไง อารมณ์เต็มไปด้วยความโหยหาอดีตที่ย้อนกลับไปไม่ได้อีกแล้ว ยิ่งฉากที่บ๊อบกอดพ่อแม่ โอ้ยยย น้ำตาละไหล มันดูเป็นจากลาที่โคตรเศร้า







    และในประตูภาพสีอีกสองบานที่เหลือ ก็เล่าเรื่องชีวิตของบ๊อบเองที่ตัดสินใจจากครอบครัวและบ้านมาถึงเกาหลีเพื่อทำตามความฝัน โบกมือให้กับวัยเด็ก เป็นการเล่าเรื่องส่วนตัวของบ๊อบออกมาได้อย่างงดงาม






    วิ่งหนี / ความคิด / ปรารถนา 



    นอกจากประตูที่มีภาพสีเล่าเรื่องชีวิตบ๊อบ ประตูอีกสามบานโผล่ขึ้นมา







    เราไม่แน่ใจว่าที่บานประตูพวกนี้เป็นภาพขาวดำเพราะอะไร อาจจะเป็นประตูของความคิด ความคิดที่พาตัวเองหนีออกไปไกลในที่ที่ต้องการ เราประทับใจมากที่มันมีการไปโบสถ์รวมอยู่ในนั้นด้วย คนที่เป็นไอคอนนิคคงรู้อยู่แล้วบ๊อบบี้ค่อนข้างเคร่งศาสนามากๆ เราดีใจจังที่บ๊อบบี้มีโอกาสได้ใส่ความเชื่อและความศรัทธาของตัวเองรวมอยู่ในเพลงนี้ด้วย การได้ไปโบสถ์สำหรับบ๊อบอาจจะไม่ต่างอะไรจากการได้วิ่งหนีออกจากปัญหาที่เจอ สงบใจและได้อยู่กับพระเจ้า เหมือนท่อนนึงจากไบเบิ้ลในตอนจบของเอ็มวี 



    I call upon the Lord in distress: the Lord answered me and set me in a large place.

    (ผมเรียกหาพระเจ้าในเวลาที่ยากลำบาก พระเจ้าขานรับและพาผมไปในสถานที่กว้าง)


    สถานที่กว้างตามไบเบิ้ลหมายถึงไปสู่อิสรภาพนะคะ 










    ความมืด/ ความสว่าง/ รถยนต์

    ประเด็นสุดท้ายที่อยากชมคงเป็นเรื่องมู้ดของเอ็มวี เอ็มวีนี้เล่นกับสองอารมณ์ ความกดดันที่มาการวิ่งหนี และความรู้สึกเหมือนได้กลับมาอยู่กับตัวเองอย่างสงบๆหลังจากหนีออกมา สร้างความขัดแย้งทางอารมณ์ให้กับคนดูเอ็มวีได้โดยการถ่ายฉากกลางวันและกลางคืนแล้ว การใช้มุมกล้องและใส่เรื่องราวประกอบฉาก 


    เริ่มที่อารมณ์สงบ อยู่กับตัวเองตอนที่ได้หนี ผกกก็สื่ออารมณ์ออกมาได้ดีมากๆ ไม่ว่าจะเป็นแพนกล้องถ่ายกว้างๆ รู้สึกถึงความกว้างใหญ่ น่ิ่งสงบของธรรมชาติรอบๆตัว แถมมีการใช้รถยนต์เข้ามาด้วย ดึงอารมณ์ขับรถหนีไปไกลๆ ชิวๆ 





    ส่วนด้านอารมณ์กดดัน การวิ่งหนีที่เต็มไปด้วยความเครียด กังวล ผกก ถ่ายฉากกลางคืนและมีฝนตก




    ตรงนี้เราว่าผกก ใช้สายฝนมาสร้างความรู้สึกกดดันในฉากเหมือนโลกถล่ม โดยเฉพาะฉากที่รถล่วงลงมาจากท้องฟ้าแทนสายฝนมันดูโลกถล่มลงมามากๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่ผกกเก่งมากที่เลือกใช้รถแทนฝน เพราะมันเป็นรถคันเดียวกันที่บ๊อบบี้ขับตอนกลางวัน รถที่เป็นตัวแทนของการหนีไป ตอนนี้แม้แต่สิ่งที่เป็นตัวแทนของอิสระก็กำลังถล่มลงมาใส่ 


    องค์ประกอบของสองอารมณ์ในเอ็มวีมันชวยขับความรู้สึกหลงทางตามเนื้อเพลงออกมาได้อย่างสวยงาม





    4. And he opened the door ....






    เอ็มวีเล่ามาฉากไคล์แม็กซ์ที่บ๊อบบี้ตัดสินใจเปิดประตูแล้ววิ่งออกไป แต่ฉากก่อนหน้าจะเปิดประตูกลับเป็นฉากที่รองเท้าผ้าใบถูกเผาแล้วตกลงมาจากสะพาน 





    เราไม่แน่ใจเลยว่าการเผาร้องเท้าผ้าใบหมายถึงอะไร แต่ผกกดันเอาฉากเผาร้องเท้ากับฉากวิ่งหนีมาเชื่อมต่อกัน มันดูย้อนแย้งยังไงไม่รู้ ถ้าจะวิ่งหนีแล้วจะเผารองเท้าทำไม ไม่มีร้องเท้าก็วิ่งไม่ได้สิ 

    ไม่แน่ใจว่ารองเท้าผ้าใบมีความอื่นๆแฝงด้วยรึเปล่า หลายคนมองว่ามันเป็นตัวแทนของวัยรุ่นที่ผ่านไปแล้ว แต่เราไม่ได้คิดไปถึงตรงนั้น คิดแค่ว่าความย้อนแย้งของฉากตรงนี้กลับบอกใบ้เราสุดท้ายบ๊อบบี้อาจจะไม่ได้วิ่งหนีออกไปจริงๆ 


    หลังจากฉากวิ่ง ภาพก็เปลี่ยนไปเป็นประตูภาพขาวดำ แบบนี้ 





    สังเกตว่าประตูบานนี้ต่างจากบานแรกตรงที่เป็นตอนกลางวัน เราไม่รู้ว่าเข้าใจถูกรึเปล่า แต่เราคิดว่าผกก กำลังพยายามบอกว่าจริงๆแล้วการเปิดประตูและวิ่งหนีของบ๊อบในเอ็มวีก็เป็นแค่ความคิด ความอยากหนีที่อยู่ในใจ เพราะสุดท้ายเอ็มวีก็จบลงด้วยภาพของประตูบานเดิมที่ยังคงถูกปิด 






    สุดท้ายไม่ว่าการวิ่งหนีของบ๊อบจะหมายถึงอะไร บ๊อบบี้ก็ยังไม่ได้เปิดประตูและหนีออกมาจากห้องๆนั้น ยังคงมีแค่ความคิดที่จะหนี ความอยากหนีที่อยู่ในใจเท่านั้น 






    5. the Lord answered me and set me in a large place 



    มาที่องค์สุดท้ายที่พาเรากลับไปที่ประตูบานแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นของเอ็มวี 


    เอ็มวีนี้เริ่มเรื่องราวตั้งแต่ที่บ๊อบทุบกระจกเข้าไปแล้วเจอตัวเองอยู่หน้าประตู ต้องเลือกว่าจะเปิดหนีไปรึเปล่า ฉากจบพาเราย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้น บ๊อบบี้ไม่อยู่แล้ว บ๊อบบี้หายไปไหน ? ยังคงติดอยู่ในห้องข้างในและเลือกไม่ได้ หรือว่าวิ่งหนีไปที่ที่ไม่มีใครรู้จัก ? 






    เอ็มวีไม่ได้ตอบคำถามว่าบ๊อบบี้ไปที่ไหน หรืออยู่ตรงไหน มีเเค่ประโยคปิดท้ายที่เต็มไปด้วยความหวังแม้แต่ในช่วงที่ท้อแท้ที่สุด ความหวังที่ว่าพระเจ้าจะพาเราไปในสถานที่กว้าง เต็มไปด้วยอิสรภาพไร้ขอบเขต ... 


    เราชอบไบเบิ้ลที่เอามาใส่ในเอ็มวีมาก มันคือการพบเจอความหวังในช่วงเวลาที่ดูสิ้นหวัง เหมือนเนื้อเพลงท่อนก่อนจบ



    It’ll be alright
    At the end of this wandering
    The me that I will find
    Is waiting


    ทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี 
    ที่ปลายทางของการเดินทาง 
    ตัวผมในแบบที่ผมต้องการ 
    จะรอผมอยู่ตรงนั้น 













    ทำไมถึงอยากหนี ?



    เราดีใจมากๆที่บ๊อบบี้ทำเพลงแบบนี้ออกมา ชอบที่มันทำให้เรามองการวิ่งหนีออกมาได้ในอีกมุมนึง การวิ่งหนีในแง่หนึ่งมันมีความยอมแพ้ผสมอยู่ในนั้น แต่ในขณะเดียวกันก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าการได้หนีออกมาจากอะไรสักอย่างมันก็เป็นความรู้สึกที่โคตรดี หลุดพ้น รู้สึกเหมือนได้รับการเติมเต็ม และเพลงกับเอ็มวีของบ๊อบก็นำเสนอความรู้สึกย้อนแย้งของการวิ่งหนีออกมาได้ดีมากๆ มันเป็นเพลงของคนคนนึงที่ไล่ตามความฝันของตัวเองตลอด ผ่านอะไรมากมายจนถึงจุดที่มองย้อนกลับไปแล้วถามตัวเองอีกครั้งว่าวันนี้ความฝันที่มีอยู่คืออะไรกันแน่ ทุกอย่างที่เคยชัดเจน พอโตขึ้นเรื่อยๆมันดูไม่ได้ตรงไปตรงมาขนาดนั้น จนสุดท้ายแม้ปากจะร้องออกมาว่าอยากจะหนีไปให้ไกลๆ แต่ก็ยังมีความรู้สึกและอะไรบางอย่างที่ทำให้ทำได้เพียงอยากหนี ไม่สามารถพาตัวเองออกมาจากทางที่ได้เลือกเดินไปแล้ว 



    ทุกคนอาจจะเคยรู้สึกหลงทางแบบนี้ ถามตัวเองว่าทำอะไรอยู่ ถามตัวเองว่าจะหนีดีมั้ย หนีไปไหน หนีทำไม บางทีคำถามพวกนี้อาจจะยากเกินไปที่เราจะหาคำตอบ สุดท้ายสิ่งที่ทำได้ก็อาจจะเป็นแค่มีความหวัง....


    หวังว่าวันนึง ...  พระเจ้าจะตอบคำถามของเราและพาเราไปในที่ที่เราจะรู้สึกเป็นอิสระได้จริงๆ 










    --------------------

    written by 

    @indiiej 

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in