- อาจเป็นผลมาจากการอ่านอะไรที่เกี่ยวกับเยอรมัน สมองเลยไปกระทุ้งเรื่องราวในช่วงนั้นกลับมาอีกรอบ
- ขอบันทึกเอาไว้สักหน่อย
- ถ้าระบบการศึกษาไทยเอาจริงเอาจังกับการเรียนการสอน ปฏิกาลคงเรียนไม่จบมัธยมศึกษาตอนปลาย (อันที่จริง อาจไม่จบมาตั้งแต่อนุบาล เพียงแต่ตอนนั้นยังจำความไม่ได้)
- ด้วยความเป็นเด็กโง่เง่าตัวเลข รังเกียจวิทยาศาสตร์ ขยาดสังคม พอถึงเวลาต้องเลือกสายเพื่อเรียนต่อ จึงไม่ลังเลที่จะเรียนสายภาษา (ส่วนพวกเทคโนฯ อาชีวะนั้นไม่คิดเลย ทุกวันนี้แค่จะเปลี่ยนสายฝักบัวยังหมดเวลาไปเกือบชั่วโมง)
- ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น, เยอรมัน คือผู้ท้าชิงในตอนนั้น
- จริงๆ จะพูดว่าผู้ท้าชิงก็ไม่ถูก เพราะเลือกเยอรมันตั้งแต่ต้น
- ไม่ใช่เพราะว่าอินกับประวัติศาสตร์ของชาติ หรือหลงรักสำเนียงเสียงภาษา แต่เป็นเพราะศิลป์-ภาษาเยอรมันไม่ต้องมีการแสดงหน้าเสาธง
- อันนี้ไม่แน่ใจว่าที่โรงเรียนอื่นมีมั้ย แต่ที่โรงเรียนของเรา พวกนักเรียนสายศิลป์-ภาษาจะต้องมีการแสดงวันชาติหรืออะไรสักอย่าง (ถ้าจำไม่ผิดสายวิทย์ก็ต้องมี) ซึ่งในมุมของคนที่แค่ออกไปรายงานหน้าชั้นก็เหงื่อแตก การทำอะไรแบบนั้นถือเป็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่ กล้าเกินไป ขอเรียนให้จบพอ
- ศิลป์-ภาษาเยอรมันเลยตอบโจทย์มาก เท่าที่เรียนม.ต้นมาไม่เห็นเคยมีกิจกรรมใดๆ เลย
- ทุกวันนี้เลยโดนยุบไปแล้ว
- จบข่าว
- ตอนเปิดเรียนใหม่ๆ ตั้งใจว่าจะตั้งใจเรียน ทดแทนการขี้เกียจที่เกิดขึ้นตลอดมา
- เปิดเทอมสัปดาห์แรก เจอให้ท่องจำพยัญชนะ แกรมมาร์ ผันเวิร์บ ฯลฯ จบเลยครับ เรียนไม่รู้เรื่องตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (ส่วนอาจารย์ส่ายหน้าเอือมระอา)
- อ้อ มีรู้เรื่องอยู่ประมาณครึ่งเทอม ตอนนั้นลงเรียนพิเศษกับอาจารย์ที่สอนนั่นแหละ ซึ่งก็สงสัยมากว่าทำไมรู้เรื่อง มันต่างกับการเรียนในห้องตรงไหนหรือ?
- ที่น่าเศร้าคือ ศิลป์-ภาษาเยอรมันมีเพียงแค่ห้องเดียวต่อปีการศึกษา มีเด็กในชั้นไม่ถึงสามสิบคน ขอเหมารวมเลยว่าเด็กที่รู้เรื่องน่าจะมีไม่ถึงครึ่ง (เพื่อนๆ บอกกูตั้งใจเรียนกว่ามึงเยอะ สัส)
- เกิดมาไม่เคยสอบได้ศูนย์ เรียนเยอรมันได้ประจำ ถ้าสอบครั้งไหนไม่ได้กินไข่จะแปลกใจมาก อาจารย์ตรวจผิดหรือเปล่า (แต่คะแนนที่ได้ก็ประมาณ 1, 2, 3, 4, 5 เท่านั้นแหละ)
- ทุกวันนี้เลยยังสงสัยว่าเราเรียนจบมาได้ยังไง...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in