เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
นิทานจิ้งจอกจิ้งจอกกำลังพิมพ์..☽
นิทานจิ้งจอก ตอนที่ ๓ : หมาป่า
  • หมาป่า

    หอบละล่ำละลักราวกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยได้รับอากาศเข้าไปในปอดเลยซักครั้ง นั่นคืออาการของจิ้งจอกในสายของวันหนึ่งในฤดูหนาว มันหอบหายใจราวกับวิ่งทางไกลมาทั้งที่มันเพิ่งตื่นนอน เหงื่อกาฬแตกพลั่ก มันก้มลงมองหน้าอก และสำรวจขนแผงคอของตัวเองด้วยความตื่นตระหนก แต่ไม่มีรอยเลือด ไม่มีแผลสดใหม่เหวอะหวะอย่างที่มันกลัว แม้แต่ที่บริเวณคอ ทุกอย่างเป็นปกติ ขนของมันยังหนาฟู เป็นสีน้ำตาลเช่นเดิม และแผลเป็นสีเงินที่ลากยาวจากต้นคอถึงกลางอกนั้น ใช่ มันยังอยู่ที่เดิม ใต้ขนแผงคอหนาๆนั่น แต่ไม่มีความเจ็บปวดใดๆ

    ความโล่งใจเข้ามาแทนที่เมื่อมันได้สูดอากาศเข้าไปจนเต็มปอด ละเลียดไอเย็นที่ส่งผ่านจมูกเข้าไปยังปอดอย่างช้าๆ จิ้งจอกทรุดตัวลงนอนเหยียดยาวในขอนไม้อุ่นๆอีกครั้ง ตั้งใจจะนอนหลับอีกซักงีบ แล้วค่อยออกไปผจญภัยกับภารกิจสำรวจป่าที่มันทำค้างไว้เมื่อวาน แต่แล้วความคิดหนึ่งก็ดึงให้จิ้งจอกสะดุ้งโหยงจนหัวโขกเข้ากับขอนไม้จังๆ วันนี้วันเดินทาง วันเดินทางครั้งใหญ่จากป่าสน ไปจรดที่สุดขอบโพ้นทะเล ดินแดนหนาวเหน็บ ดินแดนน้ำแข็ง ดินแดนอาทิตย์ทอดทิ้ง หรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียก จิ้งจอกรีบกุลีกุจออกจากขอนไม้แล้วตรงดิ่งไปสุดชายป่าสน ณ บริเวณหินผาที่เชื่อมต่อลงสู่ผืนมหาสมุทร

    ในฤดูหนาวนั้นเอง จิ้งจอกก็ได้ออกเดินทางออกนอกป่าสนที่พักพิงมาตลอดชีวิตเป็นครั้งแรก ความตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ให้รสชาติหอมหวานเสมอ ใครๆก็รู้ ความตื่นเต้นทำให้จิ้งจอกวิ่งกระโจนจนเหมือนตัวแทบจะลอยจากพื้นได้ และเมื่อไปถึง หมีขาวรออยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มสว่างฉาบแวบขึ้นมาทันทีที่จิ้งจอกมาถึง

    "ขั้วโลกเหนื่อ ขั้วโลกเหนื๊อ ขั้วโลกเหนือ ล้าลัลลา ฉันอยากไป่ขั่วโหลกเนื้อ" จิ้งจอกฮัมเพลงเสียงหลงผิดคีย์อย่างร้ายแรง แต่หมีขาวก็ฟังแล้วเอาแต่หัวเราะ บางทีก็ยื่นอุ้งมือหนาใหญ่ไปลูบหัวจิ้งจอกเป็นครั้งคราว ท่าทางตื่นเต้นเหมือนเด็กของจิ้งจอกช่างน่าขัน "ไปๆ ไปขั้วโลกเหนือกันเถอะหมีขาว"

    ท่าทีกระตือรือร้น และดวงตาเป็นประกายของจิ้งจอกทำให้หมีขาวอมยิ้ม แต่มันก็ส่ายหัวน้อยๆ "เราควรพักกันที่นี่ก่อนคืนนึงนะ ให้เธอทำใจก่อนว่าเธอจะต้องออกเดินทางไกล ไกลจากบ้านเกิด ไกลจากที่อยู่ ไกลจากสถานที่ที่เธอรักและคุ้นเคย"

    "ไม่เห็นจะต้องทำใจอะไรกันเลย ฉันพร้อมแล้ว ไปเหอะน่า อย่าเสียเวลาเลย" จิ้งจอกรบเร้าพร้อมเอาหัวเล็กๆดันตัวหมีขาวให้เดินไปข้างหน้า

    "เชื่อฉันหน่อยนะ" สายตาวิงวอนของหมีขาวทำให้จิ้งจอกนิ่งงันไป หยุดการรบเร้า ดื้อดึง ถึงจะไม่ค่อยได้อย่างใจนึกไว้ แต่หมีขาวก็มีเหตุผลดี จิ้งจอกรับฟังและปีนโขดหินนำขึ้นไปถ้ำหินใต้หน้าผา ถ้ำหินที่ดูไม่สบายนักสำหรับการพักผ่อน แต่ก็ปลอดภัยพอจะกันลมหนาวได้

    แน่นอนว่าลมหนาวไม่ใช่ประเด็นใหญ่สำหรับหมีขาว เมื่อมันมีขนหนาปกคลุมเสียมากมายขนาดนั้น จิ้งจอกเองถึงขนบางกว่าแต่ก็หาได้ยี่หร่ะต่อเรื่องนี้ไม่ ความหนาวเป็นสิ่งที่จิ้งจอกหลงรักมาตลอดชีวิต มันยินดีจะสัมผัสความหนาวเหน็บอย่างที่สุด และโอบกอดความเย็นที่บาดลึกลงในผิวด้วยความเต็มใจเสมอ

    หากแต่สายวันนั้นอากาศไม่เย็นนัก มันเป็นความอบอุ่นอย่างที่หน้าหนาวมักมอบให้เราในยามที่พระอาทิตย์ส่องแสง เช้านั้นจิ้งจอกวุ่นวาย กระวนกระวาย และรู้สึกคันยิบๆในอก มันอยากออกเดินทางใจจะขาด แสนโหยหาความแปลกตาที่รอให้มันไปพบเจอกลางทาง แต่กลับต้องมาติดแหง็กอยู่ในถ้ำ ทั้งที่ห่างจากจุดเริ่มต้นการเดินทางไปไม่ถึงกี่ร้อยก้าว 

    เมื่อปรายตาไปทางหมีขาว หมีขาวนอนหลับอยู่ จิ้งจอกส่ายหัวและถอยหายใจ มันลุกออกมาเดินสำรวจพื้นที่รอบๆเพื่อฆ่าเวลา ขณะที่สี่ขาเยื้องเหยียบไปบนใบหญ้าและก้อนหินกรวดใต้ผ่าเท้า กลิ่นหอมหวานของดอกไม้ชนิดหนึ่งถูกสายลมพัดพามายังที่ที่จิ้งจอกยืนอยู่ ตามสัญชาติญาณความอยากรู้อยากเห็นที่มักไม่ค่อยทำให้จิ้งจอกเสียใจ (แต่อาจได้รับความอีหลุกขลุกขลักแก่ชีวิตบ้างเป็นบางที) ทำให้มันเดินตามกลิ่นไป กลิ่นหอมหวานชักจูงและโบกมือเพรียกให้จิ้งจอกเดินลัดเลาะต้นไม้ขึ้นไปถึงด้านบนของหน้าผา และกลิ่นนั้นชัดขึ้นทุกขณะที่จิ้งจอกเข้าใกล้ปลายหน้าผา แสงอาทิตย์ยามสายจากสุดขอบมหาสมุทรทำให้จิ้งจอกมองเห็นไม่ชัดนักว่ามีใครยืนอยู่ที่ตรงนั้นก่อนแล้ว

    “อรุณสวัสดิ์ หลงทางเหรอ” เสียงนุ่มๆนั้นกล่าวทักทาย ดึงจิ้งจอกจากภวังค์ที่หลงอยู่ในความหลงใหลในกลิ่นหอมนั้น

    “ป..เปล่า กลิ่นดอกไม้น่ะ”

    “ตามกลิ่นดอกไม้มาละสิ หอมมากใช่ไหมล่ะ ฉันเองยังชอบเลย” เสียงนุ่มนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จิ้งจอกหรี่ตาสู้แสงพยายามมองหาต้นตอของเสียง กลิ่นดอกไม้นั้นชัดเจนขึ้นทั้งที่จิ้งจอกยังยืนอยู่กับที่ หอมหวานเสียจนแข้งขาจะพาลอ่อนแรง อยากลงซบกับผืนดินเพื่อที่จะได้ดอมดมกลิ่นนี้ไปตลอดกาล

    “ดอกสายน้ำผึ้งน่ะ” เสียงนุ่มแผ่วเบากระซิบลงข้างใบหูของจิ้งจอกในยามที่มันหลับตาและปล่อยตัวเองเข้าสู่ภวังค์ของกลิ่นหอมนั้น “เก็บไว้นะ ถ้าชอบ”

    เมื่อยามเราหลับตา ประสาทสัมผัสอื่นๆย่อมรับรู้ชัดเจนขึ้น เราอาจสัมผัสความสวยงามของความรู้สึกได้ตอนที่หลับตา จิ้งจอกรู้ความจริงข้อนั้น แต่บางอย่างในตัวสั่งให้มันลืมตาเพราะรับรู้ได้ถึงบางอย่างที่ถูกแทรกลงมาในขนแผงขอของมัน เมื่อลืมตา มันก็พบว่าเงาของตัวเองสะท้อนจากดวงสีน้ำตาลเบื้องหน้า ขนสีเทาล้อมกรอบหน้าและปลายจมูกสีเทาเข้ม ใบหน้านั้นมีรอยยิ้มปรากฎอยู่ กลิ่นหอมหวานนั้นอบอวลจนเหมือนว่าดอกสายน้ำผึ้งที่ว่านั้นได้รับการหว่านเมล็ดและเติบโตลงในใจของจิ้งจอก และกำลังผลิดอกบานทั่วทุกอณูของมัน จิ้งจอกยืนสบตากับเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นยาวนาน มันไม่แน่ใจว่าบางทีต้นสายน้ำผึ้งอาจกำลังเติบโตในตัวมันและออกรากฝังยึดมันไว้ที่นี่แล้ว

    ดวงตาสีน้ำตาลอบอุ่นคู่นั้นมีทั้งเค้าของรอยยิ้มที่ยกขึ้นจากสองมุมปากยื่นยาวปกคลุมด้วยขนสีเทาเข้มสลับดำ และเค้าเงาจางๆของม่านหมอกความเศร้าที่ลอยตัวอ้อยอิ่งอยู่ในแววตา แค่เพียงวินาทีแรกที่ดวงตาของจิ้งจอกประสานเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลคู่นี้ ทุกสิ่งพลันหยุดนิ่ง และแม้แต่หัวใจของจิ้งจอกเองก็เหมือนจะหยุดเต้นไปด้วยในชั่วขณะ ความคุ้นเคยในแบบที่หาคำอธิบายไม่ได้แทรกตัวเข้ามา เติบโตอย่างรวดเร็ว และลามเข้ายึดครองประสาทความรู้สึกในส่วนต่างๆของร่างกายจนหมดสิ้น  จิ้งจอกยอมจำนนต่อความรู้สึกนี้ มันรู้สึกสงบ คุ้นเคย และอบอุ่นวาบขึ้นกลางอก

    “จิ้งจอกเหรอ” เสียงนุ่มนั้นกล่าวขึ้น เป็นประโยคทักทายที่คล้าย ๆ จะกระตุ้นสติที่หลุดลอยของจิ้งจอกให้กลับสู่โลกความเป็นจริง

    “ใช่! ใช่ ใช่ ใช่” จิ้งจอกกล่าวซ้ำๆพร้อมพยักหน้าติดๆกัน ออกจะประสาทและประหลาดเสียหน่อย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง จิ้งจอกสูญเสียการวางท่าไปซะแล้ว 

    ไม่มีเสียงหัวเราะเยาะใดๆออกจากปากของเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลนั้น มีเพียงรอยยิ้มที่อบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์แรกในฤดูใบไม้ผลิเผยขึ้น “ฉัน.. หมาป่านะ”

    “ยินดีที่ได้รู้จัก หมาป่า” 

    “ยินดีที่ได้รู้จัก จิ้งจอก”

    หมาป่าผงกหัวลงเล็กน้อยด้วยท่าทีสุภาพ จิ้งจอกทำตามอย่างเก้ๆกังๆ มันผงกหัวลงจดปลายจมูกแทบจะดินพื้น และเมื่อมันเงยหน้าขึ้นก็พบบางสิ่งร่วงลงไป ดอกไม้กลีบยาวสีขาวสะอาดนอนนิ่งอยู่บนผืนหญ้าสีเขียว จิ้งจอกยืนมองมันอยู่นานด้วยความสงสัย เจ้าสิ่งนี้เองรึคือดอกสายน้ำผึ้ง รูปทรงประหลาด หากแต่หอมละมุนเสียจนมันแทบจะละวางทุกสิ่งเพื่อทิ้งตัวลงตรึงกับผืนดินให้ได้กลิ่นนี้ไปชั่วกาล จิ้งจอกกำลังจะก้มลงไปสูดดมกลิ่นของมันให้ชัดเจนอีกซักครั้ง แต่หมาป่ากลับฉวยกลีบที่บอบบางนั้นไว้ก่อนและแซมมันลงบนขนแผงคอของจิ้งจอกอย่างแผ่วเบา

    เราต่างเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตแปลกหน้า การพบพานเพียงครั้งแรกเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ มันทำให้เรารู้จักกัน แต่ไม่ได้รู้จักกันจริงๆด้วยความลึกซึ้ง ในเสี้ยววินาทีที่จิ้งจอกมองลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลของหมาป่า มันอยากย้อนเวลา.. เพื่ออะไรกัน เหตุผลนั้นส่วนตัวเสียจนมีเพียงจิ้งจอกที่รู้ได้

    “เก็บไว้ดีๆนะ อย่าไปทำหล่นหายที่ไหนล่ะ เพราะถ้าจะเอาอันใหม่ก็คงมีให้แค่ที่นี่เท่านั้นแหละ” หมาป่าพูดก่อนจะเดินถอยไปนั่งในระยะที่จิ้งจอกจะมองเห็นมันได้ทั้งตัว ทุกการเคลื่อนไหวของหมาป่าสง่างามเหลือเกิน แม้แต่การขยับหางให้เป็นวงยามที่นั่งลง และการเหลือบสายตามามองเมื่อจิ้งจอกนิ่งงันไปนานจนเกินควร

    “รีบร้อนไปไหนรึเปล่า” หมาป่าถามขึ้น 

    “ไม่หรอก แค่กำลังอยู่ในช่วงเตรียมตัวเดินทางน่ะ”

    “เดินทางไปที่ไหนกัน ถามได้ไหม”

    “ไปขั้วโลก” 

    “ไปทำไมกัน”

    นั่นสิ ไปทำไมกัน ? ขั้วโลก เปิดโลกทัศน์เหรอ ? ลำพังสำรวจป่าสนทุกวันนี้ก็เป็นการเปิดโลกทัศน์ไม่รู้จักจบสิ้นแล้ว ผจญภัย ? ป่าสนก็เป็นที่ผจญภัยนะ จู่ๆสมองของจิ้งจอกก็เกิดลังเลขึ้นมากระทันหัน มันหลงลืมความตื่นเต้นของการออกเดินทาง หลงลืมความกระหายการผจญภัยโดยสิ้น ในหัวมีแต่คำถาม

    “ฉันตกลงกับสหายคนนึงไว้น่ะ เราจะไปด้วยกัน” จิ้งจอกตอบหลังจากสรุปความคิดจากการโต้เถียงในหัวได้ หมาป่าพยักหน้ารับกับคำตอบ 

    “น่าเสียดาย..”

    “เสียดายอะไรกัน หมาป่า” 

    “ก็กะว่าจะชวนจิ้งจอกมาเดินสำรวจพื้นที่แถวนี้เสียหน่อย” 

    “แต่..” 

    “ไม่เป็นไร พักผ่อนเถอะ การเดินทางยาวนาน เธอควรพักผ่อน”

    จิ้งจอกได้แต่ยืนบื้อใบ้ ในใจเพียรคิดแต่อยากจะกัดลิ้นตัวเองแล้วลงไปดิ้นกับพื้นเพราะไม่ได้พูดสิ่งที่ต้องการจริงๆ

    “ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้ง” หมาป่าโค้งคำนับดังเช่นครั้งแรก หากแต่น้ำเสียงของหมาป่ากลับเจือด้วยอะไรบางอย่างที่จิ้งจอกเองก็แปลไม่ออก หมาป่าผงกหัวขึ้นมายิ้มบางๆให้จิ้งจอกก่อนจะหันหลังกลับไปยืนที่ริมหน้าผา ในวินาทีนั้นจิ้งจอกตัดสินใจเดินตามไปนั่งข้างๆ

    “เราจะได้เจอกันอีกไหม หมาป่า” จิ้งจอกถามด้วยเสียงแผ่วเบา 

    “แน่นอนสิ ฉันยังอยากพบเธอ และถ้าเป็นไปได้ก็อยากพบสหายร่วมเดินทางของเธอด้วย” เสียงคลื่นซัดสาดกับโขดหินเบื้องล่างทำให้จิ้งจอกรู้สึกเศร้าโดยไม่มีสาเหตุ มันไม่อยากจากที่นี่ไป

    “แต่การเจอครั้งหน้าอาจไม่ใช่ที่นี่นะ..” เสียงนุ่มๆของหมาป่าแหวกขึ้นกลางเสียงคลื่น 

    “ทำไมล่ะ” 

    “ฉันก็ว่าจะออกเดินทาง" แววตาสีน้ำตาลมีเค้าเงาความเศร้าฉายขึ้น "หายไปจากที่นี่ซักพัก”

    “นานแค่ไหน” 

    “ยังบอกไม่ได้” 

    “ไปที่ไหน” 

    “ยังไม่รู้”

    แล้วทั้งคู่ก็ถอนหายใจพร้อมกัน ความเศร้าก่อตัวจางๆระหว่างสัตว์หูตั้งสองตัว ทั้งที่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้พวกมันยังเป็นสิ่งมีชีวิตแปลกหน้ากันอยู่เลย แต่เวลานี้ด้วยอะไรบางอย่าง ความเหมือนที่สะท้อนกันออกมาในแบบที่ไม่ได้ลอกเลียนจนละม้ายทุกระเบียด ความเหมือนที่ทำให้คลับคล้ายคลับคลา คุ้นเคย จิ้งจอกมองหน้าหมาป่า พลันดวงตาที่มีแววหม่นของทั้งคู่จะถูกแต้มด้วยเงาสะท้อนจากรอยยิ้มของอีกฝ่าย 

    “เรายังคงรู้จักกันอยู่ อย่าลืมสิ”

    “และฉันยังมีดอกไม้ของเธอ” 

    “แน่นอนที่สุด” 

    และนั่นเป็นฤดูหนาวแรกที่สิ่งมีชีวิตแปลกหน้าทั้งได้พบเจอกัน และยิ้มพร้อมกันด้วยแววตาเศร้าไม่ต่างกัน รอยยิ้มเจือความเศร้าตอนจากลา คงเป็นความเศร้าบริสุทธิ์ที่สวยงามแต่ไม่มีใครอยากครอบครอง

    จิ้งจอกเดินลงทางลาดมายังถ้ำที่พักด้วยแข้งขาที่เบาหวิว ราวกับกำลังอยู่ในความฝัน ทั้งที่หัวใจรวดร้าวแผ่วเบาแบบแปลกๆ ไม่มีใครให้คำอธิบายสิ่งแปลกประหลาดที่มันกำลังรู้สึกได้ แม้แต่ตัวของจิ้งจอกเองก็ตาม แต่จิ้งจอกก็ยังคงเป็นจิ้งจอก มันไม่อยากเสียเวลาพิจารณาอะไรที่ไม่เป็นรูปธรรม เวลานี้มันแค่อยากพาร่างที่เป็นไปด้วยความสันสนและความรู้สึกแปลกประหลาดกับไปยังที่พัก ลมหนาวยังคงทำหน้าที่โบกพัด เสียงหวีดหวิวของสายลมแทรกผ่านต้นสนนับร้อยที่โอบล้อมหน้าผาอยู่ทำให้จิ้งจอกยังคงสงบ ในความวุ่นวายใจของความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น อย่างน้อยมันก็ยังอยู่ที่นี่ ที่ๆเป็นบ้านของมัน

    จิ้งจอกเดินกระย่องกระแย่งพาตัวเองกลับมายังถ้ำหินได้สำเร็จ และมันพบหมีขาวยังคงนอนหลับอยู่ตอนที่มันมาถึง กิ่งไม้แห้งถูกจุดไฟขึ้นภายในเวลาไม่กี่นาทีความชำนาญของจิ้งจอก มันนั่งมองกองเพลิงที่ลุกโชติช่วง เปลวไฟสีส้มที่เต้นระบำในดวงตาของมันเต็มไปด้วยความร้อนเร่า วูบไหว อยู่ไม่สุก ไม่ต่างจากจิตใจของมัน ภายใต้ฉาบหน้าของความนิ่งสงบและไม่ยี่หระต่อสิ่งใด จิ้งจอกกระวนกระวาย มันต้องการหาคำตอบกับให้สิ่งที่มันกำลังรู้สึก สิ่งมีชีวิตแปลกหน้าที่อยู่สายพันธู์ใกล้เคียงกันนั้นมีผลอะไรกับมันนักหนากันนะ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจับจ้อง นิ่งค้างอยู่ที่เปลวไฟ และมันก็เอาแต่นั่งเหม่อเช่นนั้นไปตลอดทั้งวัน.. 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in