Chapter 4
บัคกี้ บาร์นส์ต้องขยับให้แผ่นติดล้อเลื่อนที่ตัวเองใช้เป็นที่สำหรับนอนหงายในการซ่อมเครื่องยนต์เคลื่อนออกมาจากใต้ท้องรถเป็นครั้งที่สามของเที่ยงวันนี้…เขาค่อยๆ ขยับลงมานั่งแปะบนพื้นเมื่อเคลื่อนตัวออกมาพ้นเรียบร้อย พิงหลังเข้าหาโครงใหญ่ยักษ์ของรถบรรทุกที่ซ่อมค้างอยู่ ถึงบริเวณที่จอดรถของตัวอู่ตรงนี้จะเปิดประตูเหล็กม้วนไว้จนสูงสุด แต่วันไร้ลมแบบนี้ก็ทำให้ตรงนี้ไม่ต่างอะไรจากหม้ออบไอน้ำที่เก็บความร้อนไว้ได้ทุกองศาจนน่าหงุดหงิดชะมัด
ชายหนุ่มวางขวดน้ำที่ดื่มอึกๆ ลงในที่สุด ก่อนจะเช็ดหน้าเช็ดตาด้วยผ้าขนหนูผืนเล็ก…ความสบายตัวที่ได้รับและกลิ่นสะอาดของผ้าทำให้บัคกี้ยังไม่ยอมเลิกฝังหน้าลงในสัมผัสนุ่มๆ หอมๆ สีขาวนี่อยู่ดีต่อให้ไม่เหลือเหงื่อบนวงหน้าแล้ว
ร้อนแบบนี้นี่มันแย่ชะมัด…ซ่อมไม่ได้ถึงไหนเลย…
ความคิดงุ่นง่านฮึ่มฮั่มของเขาถูกหยุดลงได้ด้วยเสียงที่ดังขึ้นเหนือศีรษะ…และเหตุผลเดียวที่ชายหนุ่มยอมเงยหน้าขึ้นมาก็คือข้อเท็จจริงที่ว่ามันเป็นเสียงอันคุ้นเคยและกำลังเรียกชื่อตัวเขาเองอยู่
สายตาและรอยยิ้มของสตีฟ โรเจอร์สที่กำลังยืนก้มลงมามองนั้นให้ความรู้สึกที่เหมือนแสงแดดอย่างประหลาด…บัคกี้พบว่าตัวเองกำลังคิดแบบนี้อยู่จนเกือบไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่ายว่าเขาโอเคดีรึเปล่า
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ร้อนเฉยๆ” บัคกี้ส่ายหน้า ก่อนจะบอกก่อนที่สตีฟจะถามถึงเพราะพอจะเดาได้ว่าเจ้าตัวมาทำไม “วันนี้ยางรถนายยังไม่มาส่งเลย เลยยังซ่อมไม่ได้นะ”
“อ๋อ…โอเค” สตีฟพยักหน้า ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ออกมา “อันที่จริงฉันไม่ได้จะมาทวงอะไรหรอก…นี่ฉันกะจะไปชีลด์สแควร์เฉยๆ น่ะ แต่ไหนๆ ก็ผ่านแล้วเลยคิดว่าแวะเข้ามาถามหน่อยก็ดี”
ชีลด์สแควร์คือจัตุรัสที่มักจะไว้ใช้เป็นที่จัดกิจกรรมต่างๆ ของย่านไปจนถึงเป็นที่ตั้งของตลาดนัดประจำสัปดาห์ แถมพื้นที่ข้างๆ ก็ถูกยึดครองด้วยเหล่าร้านรวงกับคาเฟ่มากมายไปจนถึงห้างสรรพสินค้า จึงไม่น่าแปลกใจที่ชีลด์สแควร์จะเป็นที่หมายในการนัดพบหรือออกมาข้างนอกแบบนี้
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ…
“นายยังจะออกไปตรงนั้นอีกเหรอ?” บัคกี้ถามแบบไม่อยากเชื่อ ขนาดแถบนี้ที่มีต้นไม้เป็นทิวยังร้อนขนาดนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอาณาบริเวณที่มีแต่ตึกอย่างชีลด์สแควร์จะร้อนขนาดไหน “ร้อนขนาดนี้เนี่ยนะ??”
บัคกี้ไม่รู้ตัวว่าในสายตาของอีกฝ่ายนั้น…ตนคือคุณช่างเครื่องที่กำลังนั่งแหมะอยู่บนพื้นพร้อมกับผมยุ่งๆ และหน้ามุ่ยๆ แบบไม่เข้าใจติดจะยี้ๆ ชอบกล เขาจึงเห็นแค่เพียงว่าสตีฟกำลังกลั้นขำอยู่อย่างสุภาพที่สุดตอนเอ่ยตอบตนเท่านั้น
“มีธุระนิดหน่อยน่ะ” ซึ่งธุระนี่ก็คงเร่งพอตัว เพราะชายหนุ่มผมทองไม่ได้ชวนคุยอะไรต่อ…สตีฟแค่บอกขอบคุณตามมารยาทเรื่องยางรถแล้วก็กล่าวลา
บัคกี้บอกตัวเองว่าความรู้สึกเล็กๆ ในใจว่าอู่วินเทอร์เมคานิคช่างเงียบจนชวนให้เหงาอย่างน่าประหลาดขึ้นมาทันทีหลังจากหลังสตีฟเดินลับไปนั้นไม่ใช่เรื่องจริง
**
การทุ่มเทสมาธิในการโกหกตัวเองนั้นก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกัน เพราะในเวลาอีกเกือบสองชั่วโมงถัดมา…บัคกี้ก็ไถลแผ่นล้อเลื่อนออกมาจากใต้ท้องรถได้แบบถาวรเพราะงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว
คุณช่างเครื่องขยับมานั่งท่าเดิมแบบทีแรกเป๊ะ ก่อนจะถอนหายใจเฮ้อใหญ่ออกมาเมื่อควานมือไปแล้วพบแค่ขวดน้ำที่ดื่มหมดไปนานแล้ว แถมผ้าขนหนูผืนเดิมตอนนี้ก็เปียกเหงื่อจนไม่นุ่มไม่หอมอีกแล้วด้วย
บัคกี้ถอนหายใจอีกที แต่ก็ไม่อยากลุกไปไหนเลย…ชายหนุ่มจึงนั่งมองภาพถนนและทิวไม้กับสนามหญ้าตรงด้านนอกแทน ขอบคุณสายลมยามบ่ายที่เริ่มพัดโชยเข้ามาในตัวอู่บ้างแล้ว
และก็เพราะได้นั่งเฉยๆ นี่เอง…ที่ความพยายามในการโกหกตัวเองพร้อมๆ กับไม่สนใจความเป็นจริงก็ได้จังหวะที่จะเริ่มสั่นคลอน
บัคกี้รู้ว่าตนไม่ควรแม้แต่จะสงสัยถึงความเป็นไปได้นี้ด้วยซ้ำ…เพราะถึงสตีฟจะยิ้มให้ ชวนคุย หรือชวนเขาไปเที่ยวด้วย ยังไงมันก็ยังอยู่ในขอบเขตของคนแปลกหน้าที่เผอิญรู้จักกันด้วยสถานการณ์จำเป็น แม้จะมีบางทีที่ชวนให้สงสัยได้…แต่โดยรวมแล้ว ชายหนุ่มผมทองก็ไม่ได้ดูจะพยายามขยับให้จังหวะความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นอะไรที่มากกว่านั้น เจ้าตัวยังคงทิ้งให้มีช่องว่างระหว่างกัน…ช่องว่างที่เพียงพอให้พวกเขาสามารถถอยกลับไปเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันอีกแล้วได้เมื่อสถานการณ์จำเป็นนี้จบลง
แค่เพียงปัญหาเดียวก็คือ…ความไม่เร่งเร้านี้นี่เองที่ทำให้บัคกี้กลับยิ่งรู้สึกดี
สิ่งที่น่าจะได้เป็นความสัมพันธ์ทุกครั้งในชีวิตของเขาไม่เคยได้กลายเป็นความสัมพันธ์จริงๆ สักทีก็เพราะบัคกี้จะรู้สึกขึ้นมาก่อนเสมอ…ความรู้สึกลำบากใจปนอึดอัดเพราะไม่อาจตอบสิ่งที่คนอื่นต้องการฟังได้ ความรู้สึกของเขาเป็นอะไรที่เติบโตได้เชื่องช้า…ชายหนุ่มไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะเขาไม่เชื่อใจใครง่ายๆ หรือเพราะเขาไม่เชื่อใจตัวเอง หรืออาจจะเป็นเพราะทั้งสองเหตุผลรวมกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเสมอก็คือตัวเขาที่รู้สึกได้ว่าเวลาของการต้องให้คำตอบอันชัดเจนนั้นกำลังจะมาถึง หากตนกลับไม่มีแม้แต่คำพูดแรกเริ่มใดๆ…แล้วความรู้สึกผิดกับความอึดอัดใจนี้ก็จะผสมรวมกัน ได้เป็นจุดจบของสิ่งที่ยังไม่ได้แม้แต่จะเริ่มต้นด้วยซ้ำ
แต่กับสตีฟกลับไม่ใช่แบบนั้น…
บัคกี้มีชีวิตอยู่กับสัญชาตญาณของตัวเองมานานพอที่จะรู้แล้วว่าตนเชื่อมันได้ต่อให้จะไม่มีเหตุผลมาอธิบายก็ตาม เขารู้สึกได้ว่าความรู้สึกตอนนี้ไม่เหมือนกับที่ผ่านๆ มา…มันเรียบเรื่อยและอ่อนโยน ให้ความรู้สึกเหมือนการเดินทางที่จุดหมายไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะอย่างไรภาพทิวทัศน์ที่ได้เห็นระหว่างทางก็สวยงามเพียงพอแล้วที่จะทำให้เริ่มต้นก้าวเดิน
เขารู้สึกอย่างไม่มีเหตุผลว่าไม่ว่าจะในฐานะอะไร…ตนก็จะดีใจอยู่ดีที่ได้เป็นคนไม่แปลกหน้าของสตีฟไปนานๆ
บัคกี้ถอนหายใจก่อนก้มหน้าลง สิ่งที่กำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้คือรสชาติของความไม่เข้าใจแบบที่แย่ที่สุด…ความไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าอะไรคือสิ่งที่ตนกำลังไม่เข้าใจอยู่
“บัคกี้?”
เหมือนความทรงจำเล่นซ้ำใหม่…ภาพสตีฟ โรเจอร์สที่ยืนก้มตัวมานิดๆ นี้เป็นอะไรที่ทาบกับภาพเมื่อก่อนบ่ายได้สนิท จะต่างกันก็คงแค่ตรงที่สตีฟในตอนนี้กำลังถือถ้วยพลาสติกใสบรรจุเครื่องดื่มสีเหลืองอมส้มอยู่
เจ้าตัวยิ้มกว้างเมื่อได้สบตากับเขา รอยยิ้มที่ก็ยังให้รสชาติเหมือนแสงแดดในความรู้สึกเสมอทุกครั้งที่ได้เห็น ก่อนที่จะพูดง่ายๆ ออกมา
“ซื้อมาฝาก”
บัคกี้เพิ่งได้สังเกตว่าตรงหน้าตนนั้นคือถ้วยแบบเดียวกันที่ถูกยื่นมาให้ สีสดใสกับน้ำแข็งในถ้วยและไอเย็นที่เกาะพราวทำให้เขาไม่ปฏิเสธตามมารยาทอย่างที่ควรเลย…ชายหนุ่มผมสีเข้มรับถ้วยมา พูดขอบคุณก่อนจะดูดน้ำผลไม้ผ่านหลอดที่ถูกเสียบมาให้แล้ว รสหวานอมเปรี้ยวชื่นใจของน้ำเกรปฟรุตทำให้รู้สึกเย็นลงไปหลายองศา
“อร่อยเนอะ” สตีฟที่นั่งลงข้างๆ เขาพูดขึ้นในที่สุดหลังความเงียบทิ้งตัวลงชั่วครู่ “เป็นร้านเปิดใหม่น่ะ ฉันชิมแล้วอร่อยดีเลยซื้อมาฝาก…เห็นนายบ่นว่าร้อน”
คนข้างตัวพูดต่อว่าตนไม่แน่ใจไหมว่าน้ำแข็งละลายไปเยอะแค่ไหน…ซึ่งบัคกี้ก็ยืนยันสั้นๆ แต่ชัดเจนว่าน้ำเกรปฟรุตนี่อร่อยมาก ก่อนที่บทสนทนาจะค่อยๆ มอบพื้นที่คืนให้กับความเงียบ…บรรยากาศที่ก็ยังทำให้รู้สึกสบายใจอยู่ดีระหว่างกัน
บัคกี้รู้สึกได้ว่าสตีฟแอบลอบมองเขาทางหางตาเป็นครั้งคราว และถ้าเขาทันสบตาด้วย…เจ้าตัวก็จะยิ้มบางๆ มาให้ก่อนจะเบนสายตาจากไปเท่านั้นเอง
เขาก้มลงมองถ้วยพลาสติกใส่น้ำผลไม้ของตัวเอง…แล้วจู่ๆ ในนาทีนั้น บัคกี้ก็หวนคิดถึงคำพูดที่เคยได้ฟังขึ้นมา
“ราคาเท่ากาแฟถ้วยนึงเลยนะ…เปลี่ยนเป็นจ่ายด้วยกาแฟแทนได้มั้ย?”
มันเป็นคำพูดที่ไม่เคยมีใครพูดด้วย…และต่อให้ถ้าจะเคยมี บัคกี้ก็ค่อนข้างมั่นใจได้เกินร้อยว่าตนคงมีแค่คำปฏิเสธให้กับทุกคนที่เข้ามาถามอย่างแน่นอน
แต่ถ้าเป็นตอนนี้…
ความพยายามที่สะสมมาสั่นระริกมากขึ้นอีกนิด…เพียงพอที่จะทำให้บัคกี้รู้สึกสงสัยขึ้นมาแล้วว่าถ้าเป็นในตอนนี้ ตนจะยังปฏิเสธเหมือนเดิมไหม
ซึ่งแน่นอนว่าข้อสงสัยนี้ถูกสมองสั่งให้เลิกคิดทันที…แต่เมื่อจิบเครื่องดื่มจากถ้วยในมืออีกครั้ง บัคกี้ก็ยังรู้สึกได้อยู่ดีว่ามีรสชาติหวานซ่านมากกว่าแค่รสของน้ำผลไม้หลงเหลือไว้อยู่ในความรู้สึก
tbc.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in