เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
thanatransThanawan
EN-PIRE บทสรุปเรื่องราวนักล่ารัตติกาล (tw: blood)
  • ลิงก์บทความต้นฉบับ 
    tw: blood
    all trans by ksnmyboi
    twt, ig: @ksnmyboi

    ตั้งแต่เดบิวต์ #ENHYPEN ได้หยิบยกองค์ประกอบแฟนตาซีมาใช้อยู่หลายแบบ โดยเฉพาะในเพลง การแสดง เอ็มวี หรือแม้แต่เรื่องราวของจุดเริ่มต้นทั้งหมดอย่าง DARK MOON: The Blood Altar ที่ถ่ายทอดเรื่องราวโดยใช้ตำนานแวมไพร์อ้างอิงเรื่องต่าง ๆ อย่างเช่น การที่มี “เขี้ยวสีขาว” และ “ตาสีแดง” มีรูปลักษณ์ดูดี เป็นอมตะ ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ไม่เข้ากับสังคมชนชั้นใด อีกทั้งกระหายอยากจะลิขิตชะตาชีวิตตัวเองถึงแม้จะขัดกับสิ่งที่คนอื่นอยากให้เป็น ยิ่งสะท้อนให้เห็นเรื่องราวในชีวิตจริงของ ENHYPEN รวมกับการผสมผสานจินตนาการ ที่สามารถอธิบาย ENHYPEN ในฉบับเรื่องราวแฟนตาซีได้ว่าเป็นเรื่องราวที่สวยงาม เหนือความเป็นจริง และเหมาะสำหรับทุกคนในยุคนี้

  • บทที่ 0 คนชายขอบ

    ใน Trailer เดบิวต์ 2 Dusk-Dawn คลิปประกาศเดบิวต์ของ ENHYPEN เมมเบอร์เผยพลังพิเศษแต่ละคนออกมา เช่น ต้านแรงโน้มถ่วงห้อยตัวลงมาจากต้นไม้ หายตัวได้ เคลื่อนไหวเร็ว ส่องกระจกแล้วไร้เงาสะท้อน ดื่มเลือด และหายไปเมื่อเจอแสงสว่าง ซึ่งเป็นพฤติกรรมของแวมไพร์หลายอย่าง ที่อยู่ภายใต้การปิดบังตัวตนเป็นคนชายขอบ หนึ่งในผู้ร่วมคิดเรื่องราวคอนเซ็ปต์ (OSB) กล่าวว่า ENHYPEN เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาที่ได้มาอยู่ในกรอบขอบเขตการแข่งขันเพื่อเดบิวต์และได้เป็นไอดอลที่ได้ใช้ชีวิตสุดพิเศษ”

    ENHYPEN เองก็เคยอยู่บนเส้นทางระหว่างการเป็นเทรนนีและไอดอล เหมือนกับแวมไพร์ที่ใช้ชีวิตครึ่งเป็นครึ่งตาย ดังนั้นเลยเป็นสิ่งที่สะท้อนเรื่องราวตรงนี้ได้ โดยทั้งคู่ก็เริ่มออกจากกรอบของตัวเองไปสู่โลกกว้างใหญ่ในอัลบั้มเดบิวต์ “BORDER: DAY ONE”
  • บทที่ 1 คนนอก

    ENHYPEN ไล่ทำตามฝันของตัวเองในเพลงไตเติลเดบิวต์ “Given-Taken” จากอัลบั้ม BORDER: DAY ONE ที่พาพวกเขาไปหา”แสงสว่างในความมืด”ของโลกใบใหม่นี้ ที่ที่พวกเขาไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีตั้งแต่วันแรก “แสงสว่างนั้น” กลับคอย ”ทำร้าย”และหลอกล่อพวกเขาจน”พร่ามัว”

    อีกทั้งแสงในโลกใบใหม่นี้ทิ้งพวกเขาไว้กับ “สิ่งน่าสงสัยมากมายนับพัน” และ “ความไม่เชื่อใจกันที่นับไม่ถ้วนยิ่งกว่า” ตัวตนบางส่วนของพวกเขาอย่างการที่มี “เขี้ยวสีขาว” และ “ตาสีแดง” ต้องถูกปิดบังเอาไว้เพื่อป้องกันการถูกล่า เพราะถึงแม้ความแตกต่างจะทำให้โดดเด่น 

    แต่มีบางคนที่ยังกลัวความแตกต่างนั้นยังมองว่านั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาจะต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นเหมือนคนปกติและไม่ทำอันตรายใคร อย่างเช่น เพลง “Let Me In (20 CUBE)” ที่อ้างอิงตำนานโบราณว่าเวลาแวมไพร์จะเข้าบ้านใคร ต้องได้รับเชิญจากเจ้าของบ้านก่อน (“ได้โปรดให้ข้าเข้าไป”) เพราะในอดีตแวมไพร์ก็เป็นสัญลักษณ์ของการที่กลัวคนนอกและกลัวเชื้อโรคติดมาด้วย 



    ในโลกใบใหม่นี้ ENHYPEN เป็นคนนอกที่ต้องซ่อนตัวตนเพื่อป้องกันการถูกล่าหรือตามฆ่า ซึ่งก็ทำให้พวกเขาไม่ได้ถูกยอมรับในสังคมไหน จนกว่าจะพิสูจน์ตัวเองว่าพวกเขาปกติและไร้พิษภัย
  • บทที่ 2 เจ้าภาพ

    ใน BORDER: CARNIVAL ที่ ENHYPEN ได้ถูกเชิญชวนเข้าไปในโลกใบใหม่ ดังโชคจะตากำหนดไว้ พวกเขาก็กำลังเชิญชวนคนอื่นมางานคาร์นิวัลในคืนส่องประกายเหมือนกันในอินโทร “Intro: The Invitation”

    คำเชิญชวนจากงานคาร์นิวัลในคืนส่องประกายเรียกหาเรา เราจึงก้าวประตูงานมาสู่โลกกลับตาลปัตรนี้เหมือนโชคชะตากำหนดไว้ พอมาถึง Drunk-Dazed ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวหลักในอัลบั้มนี้ พวกเขาเลือกที่จะไม่ "หนี" ถึงแม้จะรู้สึก"กลัว"

    และรู้สึกว่าตัวเองเป็น"ตัวประหลาดที่สะท้อนในกระจก" ซ่อนเร้นเรื่องราว "ความจริงอันน่าสงสารภายใต้หน้ากาก" ทั้งหมดนี้จะเห็นว่า ENHYPEN ไม่รอคอยโชคชะตาเพื่อพาพวกเขาไปไหนแล้ว พวกเขาจัดงานคาร์นิวัลนี้ด้วยตัวเอง และเชิญแขกมาร่วมงานเองด้วย

    ในรูปคอนเซ็ปต์เวอร์ชัน UP เมมเบอร์ทุกคนสวมหน้ากากเพื่อแสดงว่าตัวเองกำลังปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่สังคมคาดหวัง แต่ก็ได้เพียงบางส่วนเท่านั้น จากในเอ็มวีที่จัดปาร์ตี้วันเกิดสีเลือด เมมเบอร์เป็นตัวของตัวเองมาก ได้ใช้พลังพิเศษที่ตัวเองมี เช่น โทรจิต พลังจุดไฟ และเดินทางข้ามเวลาไปสถานที่ต่าง ๆ อีกทั้งท่าเต้นที่ดูเหมือนยืดแขนขา หักข้อมือ ราวกับเป็นแวมไพร์ ทำให้ได้รู้ว่าพวกเขาเป็นแวมไพร์

    น้ำพุเลือดในช่วงพีคของเอ็มวีพร้อมฉากเทเลือดลงน้ำพุจากอีกห้องหนึ่งก็แสดงให้เห็นว่าแวมไพร์ดื่มเลือดตามใจปรารถนาและเพื่อความอยู่รอดเช่นกัน 



    ตอนที่ ENHYPEN เข้ามาสู่โลกใบใหม่ด้วยคำเชิญ พวกเขาต้องปิดบังความจริงไว้กับตัว แสดงแค่สิ่งที่โลกอยากเห็นพวกเขาเป็น แต่พวกเขาเองก็มีอีกโลกหนึ่งของตัวเอง โลกที่พวกเขาเป็นตัวเองและพาคนอื่นเข้ามาได้ (“สิ่งที่คุณอยากได้/ไปให้ไกลเท่าที่ไปได้”) 

    พวกเขาจึงไม่รีรอโชคชะตาอีกแล้ว แต่เป็นผู้กำหนดโชคชะตาตัวเอง
  • บทที่ 3 ความรัก

    จากที่เรารู้กันแล้วว่าเวลาแวมไพร์จะเข้าบ้านใคร ต้องได้รับเชิญจากเจ้าของบ้านก่อนใน LET ME IN แต่ในขณะที่ FEVER เพลงโปรโมตรองของอัลบั้ม BORDER: CARNIVAL ถ่ายทอดผ่านมุมมองแวมไพร์ที่ปรารถนาในใครคนหนึ่ง (ร่างผมเผาไหม้เพราะคุณ/ใจผมกระหายเพียงคุณ)
    อาจตีความได้เหมือนเป็นจดหมายรักจาก ENHYPEN ถึงแฟน ๆ และได้ให้ผู้ฟังได้ตีความหมายใหม่ ๆ ได้อีกด้วย ตามคำกล่าวของ OSB ว่าใน DARK MOON ที่มีเรื่องราวโรแมนติกของสองเผ่าพันธุ์อย่างแวมไพร์และเด็กสาวที่ได้เป็นเพื่อนกันและสานสัมพันธ์ต่อไป

    เหมือนกับความจริงที่คนเรารู้สึกว่าตัวเอง”ไม่เหมือนคนอื่นและถูกตัดสินเพียงเพราะแตกต่าง ทำให้ยิ่งกังวลขึ้นไปอีกเพราะไม่รู้ว่าตัวเองมีความพิเศษอะไร” ดังนั้นเรื่องราวแวมไพร์หนุ่มกับเด็กสาวที่เข้าใจหัวอกกัน ได้สานสัมพันธ์ต่อกัน สะท้อนให้เห็นว่าถึงจะแตกต่างกันแต่ก็สามารถเชื่อมกันกลายเป็นหนึ่งเดียวได้
  • บทที่ 4 ผู้บุกเบิก

    เพลงไตเติล Tamed-Dashed ในอัลบั้ม DIMENSION: DILEMMA มีฉากฝึกซ้อมกีฬาไนต์บอลในเว็บตูน DARK MOON ช่วงต้นเรื่องถึงกลางเรื่อง สมาชิกอีกท่านจาก OSB พูดถึงฉากนี้ว่า “ตั้งใจทำฉากให้เหมือนกับในเว็บตูนโดยใช้อุปกรณ์เหมือนกัน”



    ENHYPEN ได้อยู่ทั้งในฉากสถาบันเดซิลิสและในป่าเก่าแก่ ที่ในอดีตตอนนั้น เมมเบอร์ยังต้องเป็นเงาคอยทำตามคนอื่น เหมือนที่เคยอธิบายในพาร์ท Given-Taken เมื่อโดนแดด ผิวของเมมเบอร์ก็จะไหม้ (แสงนั่นเผาผมอยู่)

    และในเอ็มวีเอง ทันทีที่ซอนอูเอื้อมมือไปแตะบอล ผิวเขาก็ไหม้ จากนั้นตอนจบเอ็มวี ซอนอูก็เก็บร่มกันแดดลงหลังจากที่ยืนหลบแสงอยู่คนเดียว การที่เขาเก็บร่มกันแดดที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการป้องกัน และเขาก็เผยตัวรับแสงแดด ถึงแม้จะรู้ดีว่าผลของการทำแบบนี้จะทำให้เขาเจ็บปวดและอาจสลายตัวไปได้



    แต่เขาไร้ซึ่งความกลัวอีกแล้ว เขาจึงไม่ถูกแดดเผาไหม้ เมมเบอร์ที่เหลือก็ทำตามซอนอู เก็บร่มกันแดดและเผชิญแสงแดด ก่อนหน้านั้นในเอ็มวี นิกิก็แตะบอลไม่ได้เหมือนกัน แต่ตอนนี้เขาเดินใต้แสงแดดไปเก็บลูกบอลได้แล้ว ดังนั้น การยอมแพ้ก็ไม่ใช่ทางเลือกหนึ่งของพวกเขาอีกต่อไปแล้ว


    ใน DIMENSION: DILEMMA ENHYPEN เลือกให้ตัวเองมีตัวเลือกในการใช้ชีวิตเยอะขึ้น ถึงแม้จะรู้ว่าจะเกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในระหว่างการเลือกครั้งนี้ พวกเขาไม่ใช่คนนอกที่ต้องพยายามทำตัวให้เข้ากับโลกนี้ และกำลังเดินทางตามโชคชะตาที่ลิขิตเอง

    พวกเขาเป็นผู้บุกเบิกที่ได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่เคยกลัวและจัดการสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้


  • บทที่ 5 ประกาศเจตนารมณ์

    เมมเบอร์เผชิญหน้ากับกลุ่มคนแปลกหน้าสวมผ้าคลุมสีดำในเอ็มวีเพลง Future Perfect (Pass the MIC) ไตเติลของอัลบั้ม MANIDFESTO: DAY 1 ดูจาก ENHYPEN ควบคุมมือตัวเองได้ในท่อน “ยกมือขึ้นมาสิ” (นาทีที่ 1.04)



    ต่างกับกลุ่มคนแปลกหน้าที่ทำท่าทางยืดแขนเหมือนเป็นตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่ถูกเส้นเอ็นควบคุม แสดงให้เห็นเจตนารมณ์ที่ ENHYPEN ประกาศว่าจะใช้ชีวิตตามใจตัวเอง และจะควบคุมคนแปลกหน้าตามกฎของพวกเขา

    Foreshadow เพลงสุดท้ายในอัลบั้มเป็นการประกาศเจตนารมณ์ของพวกเขาที่ชัดเจน จากที่เคยเป็นเงาต้องคอยตามคนอื่น ตอนนี้พวกเขาเป็นผู้ล่าเงาแทน เงาสะท้อนเกิดเมื่อแสงสว่างและความมืดมารวมกัน

    การที่ ENHYPEN ไม่มีเงาสะท้อนตั้งแต่Trailer เดบิวต์ ทำให้พวกเขาได้รู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของตัวเองและได้ขอบคุณตัวเองที่เติบโตขึ้น ได้ใช้ชีวิตโดยไร้ความกลัว ก้าวผ่านสิ่งที่ทำให้สับสนไขว่เขวอย่างแสงสว่างที่เป็นสิ่งที่พวกเขากลัว แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ของความเพียรพยายาม อีกทั้งความมืดที่เป็นที่ปลอดภัยของพวกเขา แต่ก็ต้องหนีออกมา ไม่เหมือนกับในอดีตที่ไม่มีทางเลือกจึงต้องเดินหน้าต่อไปเหมือนในอินโทร INTRO: Walk the Line (ท้องฟ้าตอนจบจะเป็นอย่างไรนะ ถึงแม้ถ้าโลกนี้เปิดเผยแล้วว่าไม่ใช่สิ่งที่เราต้องได้รับ เราก็ต้องวิ่งไปโดยไม่รู้จุดหมาย) แต่ตอนนี้กลับเป็น “ตอนจบจริงหนึ่งเดียวที่ยังมีอนาคตสดใสรอเราอยู่”


    MANIFESTO: DAY 1 ทำให้เราได้รู้ว่าพวกเขาไม่ได้ถูกระบุตัวตนว่าเป็นแวมไพร์เหมือนตอนอัลบั้มซีรีส์ BORDER และ DIMENSION กลายเป็นว่าตอนนี้หาคำนิยามตัวตนพวกเขาไม่ได้แล้ว อย่างในรูปคอนเซ็ปต์เวอร์ชัน D ของเจย์เห็น “เขี้ยวสีขาว” ที่ไม่ได้แหลมคมตามลักษณะพิเศษของแวมไพร์ แต่เป็นเหมือนแค่ตัวตนส่วนหนึ่งที่เขายังมีอยู่มากกว่า
  • บทที่ 6 การเติบโต

    สมาชิก OSB กล่าวว่าเรื่องราวของ ENHYPEN นั้นเป็นเรื่องของการเติบโตของ”ตัวเอกที่หนีออกจากบ้าน เริ่มการผจญภัยของตัวเอง ได้เจอเพื่อนฝูง ได้ยืนหยัดต่อสู้กับอุปสรรคหรือเหล่าศัตรูที่เข้ามาทำร้าย พร้อมกับได้เติบโตจากช่วงเวลาที่ยากลำบาก”

    การที่ได้เห็นตัวละครเติบโตในเรื่องราวแฟนตาซีนี้ ก็เหมือนได้เห็น ENHYPEN เติบโตค้นหาจุดยืนของตัวเองในสังคมเช่นกัน ENHYPEN เริ่มจากการเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาที่ได้ผ่านการแข่งขันเดบิวต์สุดเข้มข้นจนได้มาเป็นไอดอลที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกใหม่ ได้ก้าวข้ามความกลัวของตัวเอง และได้เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยการถ่ายทอดเรื่องราวอาณาจักร DARK MOON นี้เริ่มจากตัวละครที่เป็นคนชายขอบจนมาเป็นผู้บุกเบิกตามคำบอกกล่าวของ OSB ที่ว่า “เป็นเรื่องราวของกลุ่มคนโดดเดี่ยวที่ได้มาอยู่ด้วยกันเพื่อค้นหาตัวเอง”

    และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นเรื่องจริงของ ENHYPEN ที่ได้ถ่ายทอดมาในรูปแบบเรื่องราวแฟนตาซี

    ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ ถ้ามีอะไรติชม บอกกันได้เลยค่ะ (ด้วยข้อความสุภาพน้า เค้าใจบางง)

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in