เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First StoryVannisa Ploy
Work and Travel: ep.2 ออกเดินทาง
  • พอเครื่องลงที่สนามบินคันไซ เราก็นั่ง เดิน กิน เข้าห้องน้ำวนไป วนไปจนกว่าจะครบ 10 ชั่วโมง แต่ระหว่างนั้นเราก็นึกได้ว่า เอ๊ะ ที่อ่านรีวิวมาคันไซมีห้องอาบน้ำหนิแล้วเราก็ต้องเดินทางอีกยาว เราเลยอาบน้ำค่าเวลาค่ะ ค่าเวลาจริงๆ แค่เดินหาห้องอาบน้ำก็เกินครึ่งชั่วโมงแล้วจ้า


    ห้องอาบน้ำที่นี่ไม่ไก่กานะ ค่อนข้างดีเลย สะอาด มีสบู่ แชมพู รวมถึงไดร์เป่าผมให้พร้อม แต่จำกัดเวลาในการอาบน้ำ 15 นาที ส่วนผ้าขนหนูจะมีตู้กดอยู่แต่เสียตังเพิ่ม เขียมแบบเรา เซย์โนจ่ะ ใช้ผ้าเช็ดผมที่พกมาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนค่าบริการ เราจำไม่ได้ ขอโทษด้วยค่า

                                                   ห้องอาบน้ำ ที่วางตรงพื้นคือสบู่และแชมพู

    "มีสติ อย่าขี้ลืม เลี่ยงเลือกที่นั่ง A"

    จำที่เราบอกตอนท้ายตอนที่แล้วได้ไหม การเดินทางคนเดียวควรมีสติตลอดเวลา อย่าขี้หลงขี้ลืมและไม่ควรนั่งที่นั่งA โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ขับถ่ายดี

    สำหรับเรา หูฟังคือเพื่อนร่วมทางเดียวของเราในทริปนี้ พูดได้ว่าฟังแทบจะตลอดเวลาเลย ติดมือติดหูตลอด แต่สุดท้าย.. เราดันทำหูฟังหาย เพื่อนร่วมทางเดียวที่เรามีหายไปก่อนขึ้นเครื่องอีกครั้งแค่แปปเดียวเพราะเรามัวแต่กินขนมจนไม่รู้ตัวว่าหูฟังหล่นจากกระเป๋าไปตอนไหน ตอนนั้นรู้แค่ว่าขนมอร่อยมาก ต้องซื้อเพิ่ม คืออร่อยจนไม่มีสติ กว่าจะรู้ตัวว่าหูฟังหายก็ตอนจะฟังเพลงตอนอยู่บนเครื่องแล้ว 

    จริงๆแล้วเราเป็นชิวมากกับการไปไหนมาไหนคนเดียวเพราะตอนอยู่ไทยเราก็กินข้าว ดูหนัง ทำกิจกรรมคนเดียวเป็นประจำอยู่แล้ว แต่การเดินทางครั้งนี้ หูฟังเป็นเหมือนเครื่องรางที่ทำให้เราสบายใจกับการเดินทางมากขึ้น 



    ด้วยความที่เราเพิ่งเคยเดินทางไกลๆคนเดียวครั้งแรกและเป็นคนชอบนั่งริมหน้าต่างจะได้ดูวิวแก้เบื่อทำให้เราเลือกที่นั่งของทุกไฟท์เป็นแถวAทั้งหมดเลยค่ะ จะไฟท์ที่ใช้เวลาเดินทางแค่ 4-5 ชั่วโมง หรือ 10+ เราก็เลือกแถวA คือตอนเลือกที่นั่งเรื่องเข้าห้องน้ำไม่ได้อยู่ในหัวเลย คิดแค่ว่าทำยังไงให้ไม่เบื่อตอนบิน เพราะเหตุนี้ เรื่องซวยๆจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง

    เราเป็นคนดื่มน้ำเยอะมาก พอดื่มน้ำเยอะมากก็จะเข้าห้องน้ำบ่อยมากกกกก แล้วด้วยที่นั่งA เราเลยจำเป็นต้องกลั้น ไฟท์กรุงเทพไปคันไซก็ยังชิวๆเพราะใช้เวลาไม่นานมากและเป็นช่วงกลางคืน แต่พอเป็นไฟท์คันไซไปลอสแองเจลิสที่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง+นี่แหละ ซวยของจริง!

    ทุกคนคิดว่าตัวเองสามารถกลั้นใจไม่เข้าห้องน้ำได้นานที่สุดกี่โมง?

    ถ้าเป็นเราตอนก่อนจะเดินทางครั้งนี้ กลั้นได้1ชั่วโมงก็เก่งมากๆแล้ว แต่รู้ไหม เที่ยวบินนี้ทำให้เรากลั้นได้ 5 ชั่วโมงติดต่อกัน เราอยากให้ทุกคนลองนึกภาพที่นั่งบนเครื่องบินที่เป็นแถว 3-4-3 แล้วเรานั่งที่นั่งA ซึ่งแปลว่าเราต้องขอทางคนที่นั่ง BและC ทุกครั้งที่จะไปห้องน้ำ จะให้ขอทุก1ชั่วโมงก็เกรงใจเขา ทางเลือกเดียวที่มีก็คือ อดทน อดทนจนกว่าพี่ๆแอร์โฮสเตสจะเสิร์ฟอาหาร อดทนรอคนที่นั่งBและC กินข้าวเสร็จแล้วไปเข้าห้องน้ำ เราจะได้ไปบ้าง หรือไม่ก็รอเขาไปเข้าห้องน้ำระหว่างบิน เราจะได้ลุกตาม บอกตรงๆ ตอนได้เข้าห้องน้ำคือเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ สุขใดเล่าจะเท่าได้เข้าห้องน้ำ

    จากนี้ไป ข้าขอปฏิญาณตนว่าถ้าบินไกลๆจะไม่เลือกที่นั่ง A อีกเด็ดขาด!


    หลังจากผ่าน10ชั่วโมงแห่งความทรมาน เราก็มาถึงเมืองลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา!  จำได้เลยว่าตื่นเต้นมาก แต่สิ่งแรกที่ทำก่อนหาเทอมินอลคือซื้อหูฟังใหม่ เราซื้อหูฟังจากร้านขายของในสนามบิน ซื้อแบบกัดฟันซื้อเพราะรวมtaxสนามบินแล้วแพงมาก (เรารู้หลังจากซื้อว่าจริงๆในสนามบินมีตู้ขายGadgetsที่ถูกกว่าตามร้านขายของ เราขอแนะนำให้เดินดูก่อนว่ามีของที่เราอยากต้องการไหม อย่าใจร้อนแบบเรา) 

    ได้หูฟังใหม่แล้ว ต่อไปก็หาเทอมินอลที่ต้องไปต่อเครื่อง ต้องบอกก่อนว่าสนามบินลอสแอนเจลิสเนี่ยใหญ่มาก มี 9 เทอมินอล แล้วทุกเทอมินอลไม่ได้เชื่อมต่อกัน เราต้องออกจากเทอมินอลที่ลงเครื่องและเดินลากกระเป๋าไปอีกเทอมินอลที่ไกลแสนไกล อากาศก็เย็น ลมแรงอีก นี่คือจุดกำเนิดเลือดนักสู้ในตัวเลย 

    ระบบเช็กอินที่นี่จะไม่เหมือนกับที่ไทย เท่าที่จำได้เราต้องเช็กอินเองผ่านตู้ เอาแท็กกระเป๋ามาแปะเองแต่ก็มีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลืออยู่บ้าง สุดท้ายก็เอากระเป๋าไปหาเจ้าหน้าที่ตรงสายพานเพื่อโหลดกระเป๋าก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ตอนทำเองครั้งแรกฟีลแบบ อิหยังวะ ทำยังไงนิ เราก็ตามๆเขาไป ถามคนข้างๆบ้างจนผ่านมาได้นี่แหละจ้า 
                                          อยากถ่ายต้นปาล์มแต่ต้องรอต่อเครื่อง ก็เลยได้รูปนี้มาแทน

                                       แถวหน้า Gate ที่ไปรอมีจัดเป็นเหมือนนิทรรศการเล็กๆด้วย เจ๋งมาก

    พอไปถึงเทอมินอลก็ทำเหมือนเดิม นั่ง เดิน กิน วนไป เพียงแต่กินน้อยลงเพราะแพงและได้เดินดูศิลปะไปพลางๆจนถึงเวลาขึ้นเครื่อง  เราชอบมากเลยนะ ไม่เคยคิดเลยว่าในสนามบินจะมีอะไรแบบนี้ด้วย


    เราขึ้นเครื่องรอบนี้เจ็ทแลคยังทำอะไรเราไม่ได้ เวลาที่ต่างกันไม่ใช่ปัญหาเพราะเหนื่อยมาก เราหลับยาวทั้งไฟล์ ตื่นมาแค่กินข้าวและเข้าห้องน้ำไม่กี่รอบ (ใช้เวลาเดินทางน้อย) และในที่สุดการเดินทางเกือบ 2 วันของเราก็สิ้นสุดลง เราเดินทางถึงคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ สักที!

                                                      เจอฮีโร่ในตำนานที่สนามบินนานาชาติฮอปกิ้นส์

    ซูเปอร์แมนกับเมืองคลีฟแลนด์เกี่ยวข้องกันยังไง?

    เมืองคลีฟแลนด์เป็นบ้านเกิดของซูเปอร์แมนนั่นเอง โดยซูเปอร์แมนถูกออกแบบโดยเจอร์รี ชีเกล และ โจ ชูสเตอร์เมื่อตอนที่พวกเขาอาศัยอยู่ที่เมืองคลีฟแลนด์ (อ่านมาจากวิกิ)

    ใครจะคิดว่าเมืองเล็กๆแบบนี้จะเป็นต้นกำเนิดของฮีโร่ในตำนาน เท่สุดๆเลยใช่ไหม


    แต่ แต่นี่ยังไม่ใช่จุดหมายของเรา จุดหมายของเราคือเกาะท่องเที่ยวที่ต้องนั่งเรือข้ามอ่าวไปที่เกาะเท่านั้น บอกเลยว่าไม่ดีต่อใจคนกลัวน้ำลึกแบบเราเลย


                                                                                                                                              - พลอย -

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in