เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Minho x Newt fanfictionsTippuri~ii*
The Infinite that You Explained
  • The Infinite that You Explained
    The Scorch Trials fanfiction by Tippuri~ii* 

     

     

    Pairing:  Minho x Newt
    Fandom: The Maze Runner trilogy — The Scorch Trials
    Type: movie-verse fanfiction     

     * แฟนฟิคชั่นเเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของไรเตอร์และแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น และแฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแฟนฟิคชั่น BL…ถ้าใครไม่ชอบแนะนำให้ปิดค่ะ *

     

     

    REMARK:

    • เป็นตอนต่อจากฟิค [The Maze Runner Fic][MiNewt] All Through the Night ค่ะ ไม่อ่านเรื่องแรกก่อนอาจจะงงนะคะ เพราะมีการอ้างอิงถึงอยู่ในเรื่องนี้ค่ะ
    • เป็นแฟนฟิคที่เขียนโดยการเอาข้อมูลจากทั้งตัวหนังและตัวนิยายมาผสมผสานกันนะคะ ไม่มีจุดสปอยล์เรื่องใหญ่ๆอะไรค่ะ แต่จะมีการเขียนถึงหลายดีเทลที่ในหนังไม่ได้อธิบายหรือเน้น แต่ในนิยายจะมีการพูดถึงให้คนอ่านรู้ชัดๆเลย
    • และก็มีบางฉากที่ในหนังไปไวมาก แต่ในหนังสือจริงๆมันเป็นวันๆเลย ซึ่งเราจะยืดเวลาให้เป็นตามหนังสือนะคะ
    • สรุปก็คือ…มันคือฟิคของหนัง+นิยาย+มโนค่ะ ก้ากกกก ขอให้เพลิดเพลินนะคะ

     

     ************************************ 

     

    You taught me the courage of stars before you left.
    How light carries on endlessly, even after death.
    With shortness of breath, you explained the infinite.
    How rare and beautiful it is to even exist.

     


    I couldn’t help but ask
    For you to say it all again.
    I tried to write it down
    But I could never find a pen.


     

    I’d give anything to hear
    You say it one more time,
    That the universe was made
    Just to be seen by my eyes.

     


    With shortness of breath, I’ll explain the infinite
    How rare and beautiful it truly is that we exist.

     

     

    — Saturn, by Sleeping At Last (listen)

     

     

                   

     

    ***

     

     

     

     

    นิวท์คิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเศร้านักที่ชีวิตใหม่ที่เริ่มขึ้นตอนได้ก้าวสู่ท้องทุ่งนั้นทำให้ความเคลือบแคลงฝังอยู่ในสัญชาตญาณของทุกคน…เพราะเห็นได้ชัดเจนจากสีหน้า ไม่มีใครสามารถเชื่อได้เลยว่าตอนนี้พวกตนปลอดภัยจากวิกเค็ดแล้วจริงๆ

                   

     

     

     

     

    หากนั่นก็เป็นสิ่งที่แจนสัน — หัวหน้าของกลุ่มคนที่ช่วยพวกเขาออกมา — ยืนยันว่าเป็นความจริง…ประสบการณ์สอนนิวท์จนชาชินแล้วว่าสิ่งเดียวที่แน่นอนในโชคชะตาก็คือการที่พวกเขายังคงเป็นแค่ตัวหมากเสมอ เป็นแค่เบี้ยที่จะสละทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ในเกมที่ผู้ชักใยไม่เคยอธิบายสิ่งใดให้เข้าใจเลย…นั่นจึงทำให้เด็กหนุ่มสนใจแค่เพียงสิ่งที่ควรสนใจ ซึ่งในนาทีนี้…มันก็คือการที่ทุกคนได้รับอาหารและการพักผ่อนโดยไม่ต้องดิ้นรนใดๆ

                   

     

     

     

     

    เพื่อนๆ ของเขาดูสบายใจกับความดูแลเหล่านี้…แต่ในแววตาของทุกคนก็บอกชัด สัญชาตญาณยังคงกระซิบแผ่วเบาว่าทุกสิ่งทุกอย่างยังไม่จบลง

                   

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

     

    เสียงกุกกักคล้ายเหล็กกระทบแผ่นปูนจากเตียงชั้นล่างของเขาทำให้เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งลืมตาตื่นขึ้นเล็กน้อย…เขานึกสงสัยว่าโทมัสทำบ้าอะไรอยู่ แต่ก็ผล็อยหลับไปอีกครั้งก่อนจะได้ส่งเสียงบอกให้อีกฝ่ายนอนไปเงียบๆ ซะ

     

     

     

     

     

    และในห้วงนิทราที่สอง…นิวท์ฝัน

     

     

     

     

     

    เขาฝันถึงเหล่าผู้คนที่ตนไม่รู้เลยว่าคือใคร…ผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กหญิงตัวน้อย…กลุ่มคนที่เป็นเพียงเงาร่างเลือนรางในภาพฝัน ความทรงจำอันไร้ใบหน้า…หากเศษเสี้ยวลึกๆ ในหัวใจของนิวท์ก็บอกเด็กหนุ่มว่านี่คือกลุ่มคนที่เขารักเป็นอย่างยิ่ง

     

     

     

     

     

    กลุ่มคนที่วิกเค็ดลบเลือนออกไป…เหลือไว้แค่เพียงแค่สีขาวอันเยียบเย็นของความทรงจำ

     

     

     

     

     

    นิวท์สะดุ้งตื่นขึ้นด้วยหัวใจที่เต้นรัว…เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งแล้วปาดเหงื่อเย็นๆ ออกไปจากหน้าผาก ก่อนจะก้มลง…ซุกหน้าลงกับสองเข่าที่ตนเองขยับขึ้นมากอดไว้ ความฝันนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยหยุดตามหลอกหลอนเพราะตัวนิวท์เองไม่สามารถเลิกคิดถึงมันได้…เขาเฝ้าเพียรที่จะฉีกทึ้งสีขาวของความทรงจำ ทำทุกสิ่งเพื่อให้ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเงาร่างเหล่านั้น

     

     

     

     

     

    ครอบครัวของเขา…วันวานก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเหลือแค่เพียงท้องทุ่งสีเขียวขจีและกำแพงหินอันเยียบเย็น…

     

     

     

     

     

    “นายโอเครึเปล่าน่ะ?”

     

     

     

     

     

    นิวท์สามารถบอกชื่อเจ้าของเสียงอันคุ้นเคยนี้ได้ก่อนที่ตัวเองจะเงยหน้าขึ้นไปมองเสียอีก…มินโฮเองก็นอนอยู่บนเตียงชั้นบน แถมเป็นเตียงที่ติดกันเสียด้วย และเมื่อประกอบกับประสาทอันฉับไวของนักวิ่ง…จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของเขานั้นจะเพียงพอแล้วในการปลุกอีกฝ่ายให้ตื่น

     

     

     

     

     

    เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งส่ายหน้าด้วยสัญชาตญาณ…แต่นั่นกลับทำให้น้ำตาที่เอ่อขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ทิ้งตัวลงมาบนผิวแก้ม

     

     

     

     

     

    และในวินาทีต่อมา…มินโฮก็มายืนอยู่ตรงบันไดเตียงของเขาแล้ว

     

     

     

     

     

    “เฮ้…” แม้แต่ในเวลาแบบนี้ นิวท์ก็ยังคงมองโลกด้วยความเป็นเหตุเป็นผลอยู่ดี “…เตียงชั้นบนมันไม่ควรขึ้นมานั่งกันหลายคนนะ”

     

     

     

     

     

    “ฉันรู้” ดวงตาเรียวสีดำคู่นั้นยังคงเรียบนิ่ง…บอกชัดว่าเจ้าตัวไม่สนใจอะไรอื่นใดทั้งนั้นพอๆ กับประโยคถัดมา “…เขยิบไปหน่อยซิ”

     

     

     

     

     

    ในสายตาของนิวท์แล้ว…มินโฮให้ความรู้สึกเหมือนผืนน้ำลึกล้ำสงบนิ่งกับสายลมนุ่มนวลหากว่องไวนัก แต่หลังจากวันเวลาของการได้รู้จักกันและกันมากขึ้น…เขาก็ได้ตระหนักชัดเจนว่านั่นไม่ใช่คำจำกัดความที่เพียงพอ มินโฮคือผืนน้ำกับสายลม…หากก็คือคลื่นที่โถมซัดตามใจกับพายุที่พัดโหมอย่างดื้อดึง และนิวท์ก็ไม่มีวิธีใดในหัวใจเลยที่จะคิดหาทางปฏิเสธอีกฝ่ายได้

     

     

     

     

     

    มินโฮเหวี่ยงตัวขึ้นมานั่งบนเตียงของเขา…ขยับไปมาเล็กน้อยจนนั่งได้ถนัด ก่อนจะถามเสียงค่อย “นายเป็นอะไรน่ะ?”

     

     

     

     

     

    นิวท์ไม่สามารถเปล่งเสียงออกไปได้ เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ความฝันที่หลอกหลอนนี้เป็นความลับที่เด็กหนุ่มไม่เคยบอกใคร…เพราะนิวท์หวาดระแวงอยู่เสมอว่าถ้าตนแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้ วิกเค็ดอาจจะยื่นมือเข้ามาอีกครั้งเพื่อลบเงาร่างอันเลือนรางที่ยังหลงเหลือให้หายไปจนหมดจากความทรงจำของเขา

     

     

     

     

     

    เพราะภาพเหล่านี้อาจเป็นความผิดพลาดในระบบ…และเขาก็รู้ดีว่าคนพวกนี้มีวิธีจัดการกับข้อผิดพลาดอย่างไร…

     

     

     

     

     

    นั่นจึงทำให้นิวท์ไม่อาจพูดคำอื่นใดได้นอกจากประโยคนี้ “ไม่มีอะไรนี่…ฉันโอเคดี”

     

     

     

     

     

    มินโฮขมวดคิ้ว แล้วในเสี้ยวนาทีถัดมา…สองมือของเจ้าตัวก็เอื้อมมาประคองวงหน้าของนิวท์เอาไว้ บังคับให้เลี่ยงไม่ได้ที่จะสบตากัน

     

     

     

     

     

    “อย่า…นิวท์” มันเป็นประโยคที่ระคนด้วยกระแสคำสั่งพอๆ กับเว้าวอนขอร้อง “…อย่าโกหกฉัน”

     

     

     

     

     

    มีหรือที่นิวท์จะสัมผัสไม่ได้ว่ามีอีกหลายร้อยถ้อยคำที่ซ่อนอยู่ในประโยคนี้…ทุกถ้อยคำที่เป็นทั้งการปลอบประโลมไปจนถึงเสียงกระซิบว่าเขาไม่จำเป็นต้องแบกรับความทุกข์ใจใดๆ ไว้คนเดียว และนั่นก็ทำให้ลมหายใจของเด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งติดขัด…รสชาติอ่อนหวานเต็มตื้นขึ้นในหัวใจอย่างประหลาด

     

     

     

     

     

    “โทษที…ฉันแค่ยังไม่อยากเล่าน่ะ” เขาพยายามขยับยิ้ม…บางเบาหากจริงใจ ประโยคแผ่วค่อยหากมั่นคง “แต่ถ้าฉันคิดจะเล่าให้ใครฟัง…คนคนแรกคนนั้นจะเป็นนาย ฉันสัญญา นะ?”

     

     

     

     

     

    แล้วก็เอียงเสี้ยวหน้าเล็กน้อย…ประทับรอยจูบแผ่วเบาลงบนฝ่ามืออบอุ่นนั้น

     

     

     

     

     

    มินโฮไม่ยอมกลับเตียงของตัวเองไปสักที จนสุดท้ายแล้ว…เมื่อรู้ตัวอีกที ยามเช้าก็มาถึงโดยที่นิวท์ตื่นมาในอ้อมแขนของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มส่ายหน้าตอนมองคนที่นอนกินที่จนไม่เหลือให้ตนขยับตัวเลย…ไม่รู้ตัวสักนิดว่าสีหน้าที่คิดว่าหน่ายๆ อย่างที่สุดนั้นแท้จริงแล้วเป็นแค่เพียงรอยยิ้มเขินๆ เท่านั้น

     

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

    “ให้ตายเถอะ ทำไมนายต้องเป็นคนพูดยากแบบนี้หา??”

     

     

     

     

     

    นิวท์สบถออกมาในที่สุดเมื่อเวลาล่วงเลยมาจนจะเกินเที่ยงคืน…วันนี้เป็นอีกวันอันยาวนานในอาคารอันทึบทึมนี่ และสิ่งที่เพิ่มเติมความตระหนกให้กับสภาพจิตใจของเหล่าชาวทุ่งก็คือการค้นพบรอยสักบนต้นคอของทุกคน…รหัส หมายเลข ไปจนถึงชื่อเรียกอันแปลกประหลาดใดๆ ก็ยังคงไม่บาดลึกลงในจิตใจเท่าตัวอักษรสีดำสนิทประโยคนี้

     

     

     

     

     

    Property of WICKED.

     

     

     

     

     

    น่าขันนักว่าสุดท้ายแล้ว ระยะเวลาอันยาวนานที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้ทุกคนหลบหนีชื่อสั้นๆ นี้ได้พ้นเลย ไม่ต้องพูดถึงว่ารู้ความหมายหรือไม่…ไม่มีใครบอกได้ด้วยซ้ำว่าตนได้รอยสักนี้มาได้อย่างไร และนั่นเองที่ทำให้ความมั่นคงในกลุ่มเริ่มระส่ำระสายว่าแจนสันอยู่ฝ่ายใดกันแน่ หากก็มีสิ่งเดียวที่ทุกคนเห็นตรงกัน…จะต้องมีใครสักคนขึ้นมารับหน้าที่เป็นผู้นำแทนอัลบีที่ไม่อยู่ตรงนี้อีกแล้ว

     

     

     

     

     

    และใครสักคนในที่นี้ — บุคคลผู้มีรอยสักบอกตำแหน่งติดตัวแต่กลับไม่ยอมรับสักที — ก็คือมินโฮ

     

     

     

     

     

    “ก็เพราะเรื่องที่นายพูดมันไร้สาระไงเล่า” เด็กหนุ่มผมดำพูดสวนอย่างไม่มีทีท่าเดือดร้อนใจที่ทำให้เขาหงุดหงิดเลย…ตอนนี้เพื่อนๆ ทุกคนต่างก็เข้านอนกันไปหมดแล้ว นิวท์กับมินโฮเลยต้องลากบทสนทนาอันว่าด้วยเรื่องคนเป็นหัวหน้าที่ไม่จบไม่สิ้นเสียทีนี่ออกมาต่อกันตรงโถงทางเดินด้านนอก…พื้นที่ที่มอบโอกาสให้มินโฮได้ยืนกอดอกพิงกำแพงอย่างที่ชอบทำ และให้นิวท์ได้มีที่เดินไปเดินมาอย่างหงุดหงิด “ใครๆ ก็รู้ว่านายคือหัวหน้า…นายเองก็รู้”

     

     

     

     

     

    “นายลืมรอยสักของนายไปแล้วเรอะ??” นิวท์ตวัดเสียงกลับ เขาอยากเข้านอนจะแย่แล้วจากความเหนื่อยล้าทางใจที่เจอมาทั้งวัน และมินโฮก็ช่างงี่เง่าเหลือเกิน “นายคิดว่ามันมีไว้แค่ประดับสวยๆ รึไงหา??”

     

     

     

     

     

    “ให้ตาย…” เด็กหนุ่มผมดำสบถพร้อมกลอกตา ท่าทีนิ่งๆ แต่บอกชัดเจนว่าเขาวิตกจริตไร้สาระแบบนี้ทำให้นิวท์ยิ่งรู้สึกงุ่นง่าน “นายคิดว่ามันมีความหมายอะไรจริงจังจริงๆ เหรอ? พวกวิกเค็ดมันก็แค่ปั่นหัวเราเท่านั้นแหละ”

     

     

     

     

     

    เป็นจังหวะที่นิวท์เดินวนกลับมาผ่านหน้ามินโฮพอดีตอนที่เจ้าตัวเอ่ยประโยคนี้…มันจึงมอบโอกาสอันเหมาะเจาะให้กับอารมณ์กรุ่นๆ ของเด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้ง มือเรียวเอื้อมออกไปดึงคอเสื้อของอีกฝ่าย…แรงมากพอที่จะรั้งให้ร่างหนานั่นเซออกมาจากกำแพง เนื้อผ้าร่นลงจนเห็นต้นคอชัดเจน…รวมไปถึงตัวอักษรที่เด่นชัดบนผิวสีแทนนั่น

     

     

     

     

     

    Property of WICKED.

    Group A, Subject A7.

    The Leader.

     

     

     

     

     

    “ฉันก็ไม่ได้อยากจะเชื่ออะไรสักอย่างที่องค์กรนี้พูดหรอก” นิวท์เปลี่ยนมาพูดเสียงค่อย หวังอย่างยิ่งว่ามินโฮจะยอมรับฟังและให้ความร่วมมือ “แต่ยังไงพวกเราก็ต้องมีหัวหน้า…และพวกเรา— ฉันเชื่อว่าคนคนนั้นเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากนาย”

     

     

     

     

     

    มินโฮหยุดมีท่าทีรำคาญจางๆ แล้ว นิวท์จึงค่อยๆ ปล่อยมือที่จบคอเสื้อของอีกฝ่ายออก…แอบหน้าแดงเล็กน้อยเมื่อรู้ตัวว่าพวกเขาอยู่ใกล้กันแค่ไหน

     

     

     

     

     

    มันก็จริงอยู่ที่ว่าตอนนี้มินโฮย้ายเตียงมานอนเบียดเขาทุกคืนแล้ว…แต่การยืนมองหน้ากันและกันแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ทำให้เขินเสียหน่อย…

     

     

     

     

     

    แสงไฟตรงห้องโถงนี้เป็นสีขาวสว่าง…นิวท์เลยรู้ดีว่าตัวเองต้องรีบหลบฉากออกไปให้ไวที่สุดก่อนที่อีกฝ่ายจะสังเกตเห็นหน้าร้อนๆ ของเขา แต่เมื่อขยับจะเดินไปเปิดประตูห้องพัก…มือแข็งแรงของเด็กหนุ่มผมดำก็คว้ามือเขาไว้ ใช้โอกาสของความไม่ได้ตั้งตัวของนิวท์ในการหมุนให้ร่างของเขาถูกกักไว้ระหว่างกำแพงกับเจ้าตัวเอง

     

     

     

     

     

    “ฉันตอบตกลงแล้วนะ” มินโฮพูดเรียบๆ…แต่ดวงตาสีดำมีแววนิสัยไม่ดีฉายขึ้นมาแล้ว “นายไม่คิดจะให้อะไรฉันหน่อยเลยเหรอ?”

     

     

     

     

     

    นิวท์ไม่ได้แย้งว่าคนตรงหน้ายังไม่ได้ออกปากตกลงสักคำเพราะกลัวเจ้าตัวจะเปลี่ยนใจ พยายามแค่พูดเรียบๆ กลับไป “ฉันจะให้อะไรได้ล่ะ เราก็มาจากทุ่งกันตัวเปล่าๆ ทั้งนั้นนั่นแหละ…”

     

     

     

     

     

    “ไม่เป็นไร” มินโฮส่ายหน้า “ฉันรู้อยู่แล้วว่าฉันอยากได้อะไร”

     

     

     

     

     

    มันเป็นสัมผัสที่ชวนให้คิดถึงวันคืนในท้องทุ่ง…ช่วงเวลาสั้นๆ ใต้ร่มไม้และประกายแดด…สายตาที่ทอดมองกันยามที่คิดว่าอีกฝ่ายไม่สังเกต…และความทรงจำอีกมากมาย ทุกสิ่งทุกอย่างช่างชัดเจน…สีสันเหล่านั้นสดใหม่เสียจนนิวท์รู้สึกว่าต่อให้ตนลืมตาขึ้นก็ยังคงจะเห็นพวกมัน…และนั่นเองที่ทำให้เขายิ่งขยับเข้าไปชิดร่างหนานั่น ซุกตัวในอ้อมแขนแข็งแรง แหงนเงยวงหน้าขึ้นเพื่อตอบรับสัมผัสของริมฝีปากของอีกฝ่ายบนริมฝีปากของตนให้มากขึ้น

     

     

     

     

     

    เสียงลมหายใจเป็นที่ได้ยินในห้องโถงอันเงียบงันนี้ตอนที่ทั้งคู่ผละจากกัน…มินโฮยังคงไม่คลายอ้อมกอด และก็เป็นนิวท์บ้างแล้วที่หยัดตัวขึ้นไป เริ่มต้นจูบที่สองด้วยตัวเอง

     

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

     

    Property of WICKED.

    Group A, Subject A5.

    The Glue.

     

     

     

     

     

    ถ้อยคำของรอยสักของเขาเองทำให้นิวท์ต้องหยุดนิ่ง…ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจับจ้องวงหน้าของตัวเองที่มองตอบมาจากในกระจก ในบรรดารอยสักทั้งหมด…คำเรียกของเขาเป็นสิ่งที่ดูจะไร้ที่มาที่ไปที่สุดแล้ว โทมัสเสนอสมมติฐานว่ามันคือการบอกว่านิวท์คือบุคคลที่ยึดเหนี่ยวทุกคนไว้ด้วยกัน แต่ทั้งสองต่างก็รู้ดีว่ามันฟังดูเป็นตำแหน่งที่มีน้ำหนักน้อยเกินไปในการจะเอามาเป็นรอยสัก

     

     

     

     

     

    มันหมายความว่าอะไร…เขาเป็นอะไรกันแน่ในแผนการของวิกเค็ด…

     

     

     

     

     

    นิวท์ถามคำถามเดิมนี้ในหัวเป็นรอบที่เกินร้อย และตัวเขาเองในกระจกก็ทำได้เพียงจ้องมองกลับมาอย่างไม่รู้เหมือนเดิม…เด็กหนุ่มไตร่ตรองซ้ำไปซ้ำมา ไม่ได้สังเกตจนกระทั่งตอนที่เจ้าตัวเปล่งเสียงเองว่ามินโฮได้มายืนข้างๆ เขาแล้ว

     

     

     

     

     

    “คิดอะไรอยู่น่ะ?” และในวินาทีต่อมาที่ไม่มีใครสนใจทั้งคู่ วงหน้าคร้ามแดดนั่นก็โน้มลงมาเพื่อประทับริมฝีปากลงบนผิวตรงต้นคอเขาเบาๆ…ถ้อยคำฟังดูฮึมฮัมแผ่วเบายามที่มันถูกเอ่ยบนผิวขาวสะอาด “หยุดเครียดสักสองนาทีก็ดีนะนิวท์…”

     

     

     

     

     

    เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งหัวเราะ หันไปเพื่อจะพูดโต้หัวหน้าคนใหม่ของกลุ่ม

     

     

     

     

     

    แต่ก็เป็นวินาทีนั้นเองที่ตะแกรงเหล็กกระแทกดังสนั่นกับพื้นปูน โทมัสกับแอริสคลานออกมาจากท่อในผนัง เติมเต็มความกึกก้องนั่นด้วยเสียงตะโกน

     

     

     

     

     

    “พวกเราต้องไปกันเดี๋ยวนี้!!” ร่างปราดเปรียวนั่นโผนไปจัดการลั่นดาลประตูห้องให้แน่นหนา “—ยังไม่ตาย…เอวา เพจยังไม่ตาย!!”

     

     

     

     

     

    ทุกคนส่งเสียงเซ็งแซ่ นิวท์ต้องตะโกนสุดเสียงเพื่อให้โทมัสได้ยินคำถามว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน

     

     

     

     

     

    “พวกมันคือวิกเค็ด!!”

     

     

     

     

     

    ประโยคที่ตามมาคือสิ่งที่นิวท์คิดว่าตนสังหรณ์อยู่แล้วลึกๆ ในใจมาตั้งแต่วินาทีที่หนีออกมาจากท้องทุ่งได้สำเร็จ

     

     

     

     

     

    “…พวกมันคือวิกเค็ดมาตลอดตั้งแต่แรกแล้ว”

     

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

     

    รสชาติของหยดน้ำในความร้อนระอุจากผืนทรายและไอแดดเป็นอะไรที่ใกล้เคียงกับสวรรค์ยิ่งนัก

     

     

     

     

     

    มินโฮอยากจะดื่มน้ำให้หมดกระติกเสียด้วยซ้ำ แต่แม้ว่าโทมัสจะบอกแค่ไหนก็ตามว่าคงอีกไม่นานก็ถึงภูเขาอันเป็นที่หมาย…เขาก็สามารถกะเอาได้จากประสบการณ์ในฐานะนักวิ่งว่าระยะทางที่ต้องไปต่อนั้นยังอีกยาวไกลนัก นั่นจึงหมายความว่าน้ำทุกหยดที่มีติดตัวตอนนี้นั้นเป็นสิ่งมีค่าที่ต้องรักษาไว้ให้ได้มากและนานที่สุด

     

     

     

     

     

    เขาเลยยื่นกระติกน้ำในมือไปให้นิวท์…ไม่มีใครเคยถามว่าทำไมมินโฮถึงไปแย่งที่บนเตียงของนิวท์ และในตอนนี้ก็ไม่มีใครถามเช่นกันว่าทำไมทั้งคู่ถึงแบ่งข้าวของกันถือและแบ่งกระติกน้ำกันดื่มราวกับเป็นคนคนเดียวกันแบบนี้ แต่เด็กหนุ่มผมดำก็รู้ว่าทุกคนเข้าใจดีว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นอย่างไร

     

     

     

     

     

    “มันดูเป็นไงบ้างล่ะนั่น?”

     

     

     

     

     

    มินโฮมองตามเสียงของนิวท์ผู้ตะโกนถามโทมัสที่ออกไปยืนตรงเนินทราย…ร่างปราดเปรียวนั่นหันกลับมา ตะโกนตอบว่าระยะทางดูจะเหลืออีกแค่เล็กน้อยเท่านั้นแล้ว…แต่ต่อให้ฟังจากตรงนี้ มินโฮก็ยังสามารถได้ยินกระแสความไม่มั่นใจในน้ำเสียงนั้นอย่างชัดเจน สิ่งที่เขารู้ว่านิวท์เองก็ต้องสังเกตได้ เพราะร่างผอมบางในเสื้อสีขาวขะมุกขะมอมนั่นหันมามองเขา…พูดเสียดสีอย่างหน่ายๆ

     

     

     

     

     

    “นั่นฟังดูน่าเชื่อมากเลยล่ะนะ”

     

     

     

     

     

    มินโฮส่ายหน้า บางครั้งโทมัสก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองมีลูกชายที่ชอบทำอะไรสะเปะสะปะมากกว่าจะมีเพื่อนผู้ชอบเสนอแผนการต่างๆ ให้ฟัง

     

     

     

     

     

    หลังจากนั้นเพียงเสี้ยวนาที เสียงปืนก็ดังขึ้น

     

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

     

    “อย่า…อย่าปล่อยให้ฉันกลายเป็นแบบพวกนั้นเลย…”

     

     

     

     

     

    มินโฮไม่เคยได้สนิทอะไรกับวินสตันเป็นพิเศษ แต่เขาก็ค่อนข้างไปกันได้ดีกับอีกฝ่ายด้วยนิสัยอันเป็นมิตรของเจ้าตัว…สิ่งที่เด็กหนุ่มมั่นใจว่าทำให้วินสตันเป็นที่รักของเหล่าชาวทุ่งทุกคน และนั่นเองที่ทำให้ไม่มีใครขยับตัวแม้จะตระหนักชัดเจนแล้วว่าทางออกเดียวที่ดีที่สุดสำหรับวินสตันคืออะไร…เพราะน้ำหนักของความจริงนั้นมากมายเกินกว่าที่ใจจะรับไหว

     

     

     

     

     

    ตามปกติแล้ว เด็กหนุ่มผมดำเป็นคนที่สามารถแยกความรู้สึกส่วนตัวกับสิ่งที่ควรทำจริงๆ ได้อย่างชัดเจนที่สุดเสมอ หากในวินาทีนี้…แม้แต่มินโฮผู้คุ้นเคยกับภาพความตายตั้งแต่จากท้องทุ่งก็ยังไม่สามารถหยิบยื่นสิ่งที่วินสตันต้องการให้เจ้าตัวได้ แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ความรู้สึกโกรธเกลียดพลุ่งพล่านในใจ…ทุกสิ่งทุกอย่าง — ทางวงกตและแดนมอดไหม้ — แผดเผารวมกัน ทิ้งรสชาติของความเจ็บใจไว้ให้แล่นพล่าน

     

     

     

     

     

    บ้าเอ๊ย…

     

     

     

     

     

    หากในนาทีที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เข้มแข็งพอที่จะกล้าทำ…นิวท์ก็เอื้อมไปหยิบปืนกระบอกเล็กนั่นมาแล้ววางมันลงในมือของวินสตัน

     

     

     

     

     

    การกระทำนี้แทนคำอธิบายได้นับพัน…แต่ที่ชัดเจนก็คือนี่เป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดแล้วจากทั้งพวกเขาเองและวินสตัน เพราะไม่มีใครขยับเข้าไปยื้อแย่งปืนออกมาอีก…มีเพียงความเงียบงันของการตระหนักรู้ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่พวกเขาได้เห็นวินสตันเท่านั้นที่ปกคลุมอยู่ในบรรยากาศ

     

     

     

     

     

    นิวท์ยังคงคุกเข่าอยู่ข้างๆ วินสตันอยู่แม้ว่าจะส่งปืนให้อีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว…ดวงตาโตสีน้ำตาลเข้มหลุบลง สบตากับเจ้าตัว…กระซิบเสียงเรียบนิ่ง มั่นคงราวกับจะปลอบประโลม

     

     

     

     

     

    “ลาก่อน…วินสตัน”

     

     

     

     

     

    และเด็กหนุ่มผมทองก็เป็นคนแรกที่เดินออกจากใต้ซากปรักหักพังนั่น แต่มินโฮก็ก้าวตามทันได้ไม่ยาก…ทั้งสองเดินเคียงกันไป มีเพียงเสียงทรายถูกเหยียบย่ำและสายลมหวีดหวิวที่โอบล้อม…สีหน้าของนิวท์นั้นเรียบนิ่งราวหินผา แววตาฉายให้เห็นถึงน้ำหนักที่จิตใจเจ้าตัวแบกรับ…น้ำหนักของทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกความตายและการสูญเสียที่ได้เผชิญ

     

     

     

     

     

    แต่แม้ว่าหัวใจจะเจ็บปวดแค่ไหน…แผ่นหลังของนิวท์ก็ยังคงหยัดตรง ทำให้มินโฮคิดถึงภาพอันคุ้นตา…สิ่งที่เขาจะคิดถึงเสมอเวลาเห็นอีกฝ่าย

     

     

     

     

     

    ดอกไม้ก้านบอบบาง…ความงดงามที่ยังคงหลงเหลือในภาพความโหดร้ายทั้งปวง

     

     

     

     

     

    ช่อดอกไม้ก้านระหงช่อน้อย กลีบบอบบางสีม่วงอ่อนถูกขับให้งดงามด้วยเกสรสีเหลืองและส้มสดใส…คืนที่เขาได้เห็นมันตรงข้างหมอนของตัวเองนั้นดูเหมือนเป็นเรื่องที่ผ่านมาราวหนึ่งนิรันดร์แล้ว ดอกไม้ที่มินโฮจะได้เห็นมันแค่ในทางวงกตอันวกวน…ดอกไม้ก้านยาวเรียว หากกลับแข็งแกร่งผิดกับหน้าตา

     

     

     

     

     

    …เหมือนกับนิวท์

     

     

     

     

     

    เขาลอบมองคนข้างตัว…สีหน้ายังคงเรียบนิ่ง แต่มินโฮก็สังเกตได้ว่ามือเรียวขาวนั่นสั่นระริกนิดๆ…และเรียวนิ้วก็กำลังกำเข้าหากันสลับกับแบออกราวกับเจ้าตัวต้องการจะลบเลือนข้อเท็จจริงนี้ออกไป ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาตระหนักได้ว่าเป็นอีกครั้งที่นิวท์สละตัวเองเพื่อช่วยเหลือทุกคน…เด็กหนุ่มเลือกที่จะเป็นผู้แบกรับความรู้สึกของการหยิบยื่นความตายให้วินสตันแทนเพื่อนทุกคน

     

     

     

     

     

    เสียงกระสุนนัดที่สองดังกึกก้องในสายลม นิวท์สะดุ้งเล็กน้อย…และมินโฮก็ขยับมือปราดเข้าไปกุมมือเจ้าตัวไว้ สัมผัสที่กึ่งกระชากเสียด้วยซ้ำ…แรงจับอันหนักแน่น ยืนยันให้รู้ว่าเขาจะอยู่ตรงนี้เสมอ

     

     

     

     

     

    นิวท์หันมามองมินโฮเป็นครั้งแรก ดวงตาโตสีน้ำตาลคู่นั้นระริกราวกับเด็กน้อยหลงทาง

     

     

     

     

     

    มินโฮจับมืออีกฝ่ายแน่นขึ้น พูดเสียงค่อย…หากชัดเจนไร้กระแสลังเลใด

     

     

     

     

     

    “…นายตัดสินใจได้ไวกว่าฉันไปแค่วินาทีเดียวเท่านั้นเอง”

     

     

     

     

     

    และถ้าฉันรู้…ฉันก็คงจะยื่นมือออกไปให้ไวกว่านั้น…เพื่อที่จะได้แบกรับความรู้สึกหนักหน่วงในใจนายตอนนี้แทนเอง…

     

     

     

     

     

    ถึงจะอ่อนล้าและแสนเศร้า…แต่ด้วยคำพูดนั้น นิวท์ก็ยิ้มบางๆ ออกมาได้ในที่สุด

     

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

     

    สีเงินของสายฟ้านั้นจัดจ้าจนนิวท์ตาพร่า…หากสิ่งที่เผาไหม้ในประสาทรับรู้ของเขาคือเงาร่างของมินโฮที่สูญเสียการควบคุมแล้วล้มลงบนพื้นดิน

     

     

     

     

     

    โทมัสปราดเข้าไปพยุงเด็กหนุ่มผมดำไว้ ก่อนจะกึ่งประคองกึ่งลากให้มินโฮเข้ามาจนถึงในอาคาร…แว่วเสียงทุ้มๆ นั่นสบถกระท่อนกระแท่นตลอดทาง แต่ไม่ว่าใครก็รู้ดีว่าคำพูดเหล่านั้นเจาะจงให้กับความเจ็บปวดของบาดแผลเท่านั้น…สิ่งที่ตอนนี้ไม่ได้สำคัญเท่ากับการเอาชีวิตให้รอดจากพายุที่กำลังไล่หลังมาอยู่

     

     

     

     

     

    นิวท์พุ่งผ่านประตูเข้ามาก่อนโทมัสแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น ฟรายแพนเหวี่ยงบานประตูเหล็กให้ปิดตามหลังดังปังใหญ่…เสียงสะท้อนกึกก้องที่ถูกลบเลือนไปด้วยเสียงฝนคะนองจากด้านนอก

     

     

     

     

     

    แว่วเสียงคนพูดคุยกันอย่างเคร่งเครียด มีชื่อมินโฮปนอยู่ในบทสนทนานั่นมากมายหลายครั้ง…แต่นิวท์ไม่ได้สนใจ เขารู้ตัวแค่ว่าตนปราดเข้าไปนั่งข้างๆ ร่างกำยำที่นอนแผ่อยู่บนพื้น สองมือเขย่าบ่าหนาพร้อมร้องเรียกซ้ำๆ

     

     

     

     

     

    “มินโฮ! มินโฮ!!

     

     

     

     

     

    ทุกคนเริ่มเรียกชื่อเดียวกันนี้ด้วย เพราะต่างก็รู้ดีว่านี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้…คาดหวังอย่างสุดใจให้เพื่อนของตนเข้มแข็งพอ

     

     

     

     

     

    หัวใจของนิวท์จมดิ่งลงในเสียงเรียกอันร้อนรนสับสนนี้…ลมหายใจติดขัดเมื่อตระหนักได้ว่าร่างที่เคียงข้างตนนี้อาจจะไม่ลืมตาขึ้นมาอีกแล้ว

     

     

     

     

     

    ดวงตาคู่นั้น…รอยยิ้มกวนๆ หากนุ่มนวลนั่น…ถ้อยคำอ่อนโยนที่ไม่มีให้ใครอื่นนอกจากเขา…

     

     

     

     

     

    สองมือเปลี่ยนมาประคองวงหน้าของอีกฝ่ายไว้ เสียงที่พร่ำเรียกตอนนี้เหลือเพียงถ้อยกระซิบแล้ว

     

     

     

     

     

    “อย่า…มินโฮ…ได้โปรดเถอะ…” หัวใจปวดร้าวราวกับจะแตกสลายลง…เพราะตัวนิวท์ในนาทีนี้ก็มีแค่เพียงคำอ้อนวอนเท่านั้นที่จะมอบให้ได้ “อย่าทำแบบนี้…ลืมตาขึ้นมา ลืมตาขึ้นมามองฉันทีเถอะ…”

     

     

     

     

     

    หัวใจของเขาแทบหยุดเต้นอีกครั้งเมื่อคนเจ็บที่นอนนิ่งอยู่สูดลมหายใจเฮือกใหญ่…ชาวทุ่งทุกคนเองก็ชะงักไปก่อนจะส่งเสียงเฮออกมาอย่างโล่งใจ

     

     

     

     

     

    ด้วยตำแหน่งรองหัวหน้า นิวท์จึงเป็นคนตัดสินใจว่าจะไม่มีการไปสำรวจพื้นที่อะไรในคืนนี้…เขาบอกให้ทุกคนจัดการทำแผลแล้วพักผ่อน รอให้ยามเช้าพรุ่งนี้มาถึงก่อนแล้วจึงค่อยคิดวางแผนอะไรต่อไป

     

     

     

     

     

    เมื่อสั่งการเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มผมทองก็ทิ้งตัวลงนอนเยื้องๆ ไปจากหัวหน้าของกลุ่ม…ใกล้พอที่จะได้ยินเสียงลมหายใจของเจ้าตัว สิ่งเดียวที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้หัวใจของเขาสงบจนข่มตาหลับลงได้

     

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

     

    มินโฮลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยเสียงพูดคุยเบาๆ ข้างตัวและความเจ็บปวดที่แล่นพล่านทั่วร่าง

     

     

     

     

     

    จากมุมสายตาของตัวเขาที่นอนอยู่…เด็กหนุ่มเห็นเพดานปูนทึบทึมเหมือนอาคารร้างทั่วไปในแดนมอดไหม้นี้ และเมื่อหันหน้าไปนิดๆ…เขาก็เห็นแผ่นหลังของนิวท์กับโทมัสที่นั่งคุยกันอยู่ ต้นตอของเสียงที่ได้ยิน

     

     

     

     

     

    มินโฮฝืนลุกขึ้นนั่ง สบถอีกครั้งเมื่อความเจ็บปวดแล่นริ้ว…เขารู้สึกเหมือนร่างกายของตัวเองโดนไหม้จนเหลือเพียงแผลสดๆ บนผิวเนื้อ แต่หลังจากเริ่มลองรวมสติแล้วสังเกตดีๆ…ประสบการณ์การทำแผลให้ตัวเองบ่อยครั้งตอนอยู่ที่ท้องทุ่งก็บอกมินโฮว่าบาดแผลเหล่านี้จะหายได้เองในเร็ววัน

     

     

     

     

     

    เสื้อที่เขาสวมอยู่นั้นตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากเศษผ้าที่แทบจะไม่มีแรงยึดกันไว้แล้ว และหลังจากที่เดินวนไปทั่วกลุ่มเพื่อถาม…สุดท้ายนิวท์ก็กลับมาพร้อมเสื้อยืดสีดำตัวใหม่ที่ใครสักคนคงยัดใส่กระเป๋าติดมาด้วย

     

     

     

     

     

    เด็กหนุ่มผมทองยังคงไม่ได้ลุกไปไหน มือเรียวช่วยหยิบเศษผ้าไหม้ๆ ของเสื้อตัวเก่าออกไปจากบนผิวของเขา…ระวังไม่ให้แตะโดนรอยแผล สัมผัสของปลายนิ้วบนผิวตรงต้นคอและแผ่นอกของเขาเป็นอะไรที่ทำให้มินโฮคิดถึงความทรงจำที่ถูกโอบล้อมไว้ด้วยทิวต้นไม้สีเขียวสดของวันวาน…ช่วงเวลาของสัมผัสอันใกล้ชิดของผิวเนื้อและลมหายใจที่หลอมรวมกัน

     

     

     

     

     

    นิวท์มองเขาสวมเสื้อตัวใหม่เงียบๆ…ยื่นมือมาช่วยดึงชายผ้าเมื่อได้ยินเสียงมินโฮสบถ แล้วมือขาวนั่นก็จับมือของเขาไว้…ค่อยๆ สานเรียวนิ้วเข้าหา แล้วดวงตาโตสีน้ำตาลเข้มก็จ้องมองภาพนั้น…นิ่งนานราวกับจะใช้เวลาเพื่อบอกตัวเองว่านี่คือความจริงที่กำลังเกิดขึ้น

     

     

     

     

     

    ความเงียบทิ้งตัวอีกครู่…แล้วนิวท์ก็ยกมือที่จับกันอยู่นั่นขึ้นมา ประทับริมฝีปากลงไปบนหลังมือของเขา…แล้วก็วางมันลงแนบตรงหัวใจของตัวเอง ราวกับจะบอกว่าจังหวะแผ่วๆ นั่นเป็นของมินโฮ

     

     

     

     

     

    เด็กหนุ่มผมดำทำลายความเงียบลงด้วยเสียงอันแผ่วเบา…หวังจะทำให้คนที่นั่งนิ่งตรงหน้าตนโล่งใจขึ้นมาบ้างสักนิด

     

     

     

     

     

    “ไม่กลัวเลอะรึไง…มือฉันนี่มีแต่ฝุ่นเลยนะ”

     

     

     

     

     

    นิวท์หรี่ตามองมาอย่างปรามๆ…แต่ก็ตอบคำถามของมินโฮได้อย่างชัดเจนแม้จะไม่พูดอะไรสักคำด้วยการเอนตัวเข้ามาแล้วก็ประทับริมฝีปากลงบนแก้มเปื้อนฝุ่นของเขาด้วยอีกที

     

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

    หลังจากหลายวันและหลายคืนในทะเลทรายไร้ที่สิ้นสุดของแดนมอดไหม้…ภาพของพุ่มไม้และทิวหุบเขาก็เป็นอะไรที่แปลกตานักสำหรับมินโฮ

     

     

     

     

     

    เขายังคงไม่อาจวางใจได้ถึงสถานที่ปลอดภัยที่ฮอร์เก้เชื่อมั่นว่ามีอยู่จริง…นั่นจึงทำให้เด็กหนุ่มไม่อาจชื่นชมทิวทัศน์ด้านนอกหรือปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปกับสายลมได้ แต่นิวท์นั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิง…คนข้างตัวของมินโฮยิ้มร่าไปกับทุกสิ่งรอบตัว รอยยิ้มสดใสปนซนๆ ราวกับไม่อาจกักเก็บความรู้สึกสนุกสนานไว้แค่ในใจได้

     

     

     

     

     

    นิวท์คงสังเกตได้ว่ามินโฮยังคงวิตกอยู่ รอยยิ้มซนๆ นั่นจึงเบนมาทางเขา…เจือเพิ่มเติมมาด้วยความนุ่มนวลที่ทำให้ใจของมินโฮรู้สึกอ่อนหวานนักตอนมอง ก่อนที่เจ้าตัวจะพูดเบาๆ กับเขา

     

     

     

     

     

    “ยิ้มหน่อยสิ”

     

     

     

     

     

    ประโยคขอร้องง่ายดายนี้กลับทำให้อะไรหนักๆ ในใจดูจะบางเบาลงไปได้พอตัว และก็ทำให้มินโฮห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ ในการจะเอื้อมมือไปจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้…สองมือที่เกี่ยวกุมกันอย่างเงียบงัน สัมผัสที่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่รู้ว่ามีอยู่

     

     

     

     

     

    “ฉันก็พยายามอยู่”

     

     

     

     

     

    นิวท์หัวเราะ ก่อนจะหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง…แสงแดดยามบ่ายทอจัดจ้าอยู่เหนือผืนทรายและพุ่มไม้ บรรยากาศแห้งแล้งที่ตัดกันกับท้องฟ้าสีสดใสได้อย่างลงตัว…ลำแดดที่ทอผ่านเข้ามาในรถเป็นฉากหลังให้กับเสี้ยวหน้าด้านข้างของนิวท์ แสงทาทาบเรือนผมสีน้ำผึ้งนั่น…อาบย้อมรอยยิ้มและดวงตาของเจ้าตัวไว้ในบรรยากาศสีทองละมุนตา

     

     

     

     

     

    มินโฮมองภาพนี้…จดจำมันไว้ทุกรายละเอียด คิดในใจว่าหลังจากที่ทุกสิ่งทุกอย่าง — ปริศนาของวิกเค็ดและไข้แฟลร์ — ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังแล้ว เขาจะหาทางทำให้นิวท์ยิ้มแบบนี้ได้ทุกวันไปตราบเท่าที่เวลาของกันและกันจะพึงมี

     

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

    ท้องฟ้าเหนือหุบเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงครามจางๆ แล้วตอนที่นิวท์ปีนขึ้นมาตรงหน้าผาที่มินโฮกับฟรายแพนนั่งอยู่

     

     

     

     

     

    พวกเขาใช้เวลาไปกับการพูดคุยสัพเพเหระกัน สิ่งที่ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดยิ่งนักหลังจากการเอาชีวิตให้รอดผ่านแดนมอดไหม้ สถานที่ที่เวลาถูกนับเป็นวินาที…นิวท์แอบขำเมื่อได้ยินฟรายแพนออกปากว่าแอริสก็ไม่ได้แย่อะไร เพราะมันทำให้เขาคิดถึงตัวเองตอนที่ได้รู้จักน้องใหม่ของท้องทุ่งอย่างโทมัสชอบกล

     

     

     

     

     

    แอริสกับเพื่อนโบกมือมาให้จากพื้นดินเบื้องล่าง…กิริยาที่เปลี่ยนมาเป็นกวักมือเรียก มินโฮโบกมือปฏิเสธไปอย่างสุภาพเช่นเดียวกับนิวท์ และก็ส่งเสียงรับรู้เมื่อฟรายแพนตอบรับคำชวนของแอริสแล้วเอ่ยขอตัวลงไป

     

     

     

     

     

    นิวท์ถูมือทั้งสองข้างเข้าหากันพร้อมเป่าลมหายใจ…ถึงตอนนี้เขาจะมีถุงมือแล้ว แต่ถุงมือไหมพรมสีขาวนี่ก็เป็นแบบที่ไม่ได้ยาวปิดตลอดนิ้ว และยามย่ำค่ำของหุบเขาก็หนาวเย็นเสียจนลมหายใจค้างคาเป็นไออยู่กลางอากาศ

     

     

     

     

     

    มินโฮสังเกต แล้วก็พูดแบบไม่รักษาน้ำใจกันเลย “ถุงมือนายห่วย”

     

     

     

     

     

    “ขอบคุณครับที่พูดจาได้เสนาะหูกับผมขนาดนี้ มิสเตอร์มินโฮ” นิวท์โต้ ก่อนจะหัวเราะ…เสียงหัวเราะที่ค่อยๆ จางลงเมื่อดวงตาทอดมองไปยังเบื้องล่าง เหล่าผู้คนที่ง่วนกับการขนอาวุธและข้าวของหลากหลายอย่าง…จำนวนที่นิวท์รู้ดีว่าต่อให้มีมากกว่านี้สักอีกเท่าตัวก็ยังไม่เพียงพอในการจะต่อกรกับวิกเค็ด

     

     

     

     

     

    และเมื่อหันกลับไปสบตากับมินโฮผู้ที่ก็มองภาพเดียวกันนี้อยู่ ก็ไม่ต้องมีการสื่อสารทางคำพูดใดให้รู้ว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่คิดเช่นนั้น แต่ดวงตาสีดำที่เรียบนิ่งดั่งผืนน้ำลึกล้ำนั่นก็บอกชัดเจนเช่นกัน…กฎเหล็กที่นักวิ่งจะยึดถือไว้สูงสุดในยามที่อยู่ในวงกต

     

     

     

     

     

    วิ่งต่อไปเท่านั้น อย่าหันหลังกลับ…เพราะการฝืนวิ่งทั้งที่ไร้หวังก็ยังดีกว่ายอมหยุดแล้วทิ้งชีวิตให้สถานการณ์ตัดสินแทน…

     

     

     

     

     

    “ถ้าฉันจะต้องตาย…ก็ให้มันเป็นอย่างนั้นก็ได้” มินโฮพูดเสียงค่อย เด็ดเดี่ยวและมั่นคง “…เพราะฉันจะไม่ยอมให้วิกเค็ดจับฉันกลับไปทดลองอะไรอีกแล้ว”

     

     

     

     

     

    นิวท์นิ่งฟัง เขาเองก็อยากจะประกาศออกมาให้ได้อย่างมินโฮ…แต่ด้วยนิสัยที่พิจารณาถึงความเป็นไปได้จริงเสมอ เด็กหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา

     

     

     

     

     

    “ฉันเข้าใจนายนะมินโฮ…เพราะนั่นก็คือสิ่งที่ฉันคิดไว้เหมือนกัน” เขารู้สึกเกลียดข้อเท็จจริงที่ว่าพวกตนเป็นเพียงตัวหมากบนกระดานของวิกเค็ดเท่านั้นมากยิ่งกว่าเดิมตอนที่เอ่ยประโยคนี้ “แต่พวกเราอาจจะไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะสู้กับวิกเค็ดไหวด้วยซ้ำนะ—”

     

     

     

     

     

    “นายไม่เข้าใจที่ฉันพูด” เด็กหนุ่มผมดำพูดแทรก “ไม่ว่าจะเราจะสู้ได้หรือไม่ได้ ฉันก็จะไม่ยอมให้วิกเค็ดจับฉันไปโยนไว้ในที่พวกนั้นอีกแล้ว…ท้องทุ่ง วงกต แดนมอดไหม้ หรืออะไรก็ตามที่พวกมันวางแผนไว้…ฉันจะไม่ยอมให้พวกมันเอาอะไรไปจากฉันอีกแล้ว…”

     

     

     

     

     

    มินโฮเงียบเสียงไป ความเงียบทิ้งตัวชั่วครู่ราวกับเจ้าตัวกำลังตัดสินใจ

     

     

     

     

     

    แล้วสุดท้าย เสียงทุ้มก็เริ่มต้นเล่า

     

     

     

     

     

    “ตอนแรกสุด…ตอนที่ฉันตื่นขึ้นมาในกล่องนั่นน่ะ…”

     

     

     

     

     

    นิวท์รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นผิดจังหวะจากความประหลาดใจ เพราะเรื่องราวของการตื่นขึ้นมาในกล่องนั้นเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับความทรงจำส่วนตัวที่สุดของเหล่าชาวทุ่ง บางคนก็เล่าโดยไม่ปิดบัง แต่สำหรับบางคนแล้ว…มันคือความลับที่ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์รู้ และมินโฮก็เป็นคนประเภทหลัง

     

     

     

     

     

    …จนกระทั่งถึงในตอนนี้

     

     

     

     

     

    “ตอนนั้นน่ะ…ฉันไม่ได้ตกใจอะไรเลย ฉันไม่ร้อง…ไม่ตะโกน…ไม่เลยสักอย่าง” เด็กหนุ่มเล่าเรียบๆ ราวกับนี่เป็นเรื่องราวของคนแปลกหน้าสักคน “เพราะอะไรรู้ไหม…ก็เพราะว่าฉันไม่มีความทรงจำอะไรเลย ฉันไม่รู้เลยว่าตัวเองควรจะตะโกนขอความช่วยเหลือจากใคร…ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะรู้สึกคิดถึงใครหรือจะออกจากกล่องนั่นเพื่อกลับไปที่ไหน”

     

     

     

     

     

    ลมหายใจของนิวท์ติดขัด…ปะติดปะต่อได้ในนาทีนั้นเองว่าในขณะที่ตนถูกรายล้อมด้วยภาพความทรงจำอันไร้ใบหน้า มินโฮเองก็ถูกกดทับด้วยน้ำหนักของความว่างเปล่าของปริศนาอันไร้ทางรู้คำตอบ

     

     

     

     

     

    “วิกเค็ดแย่งทุกสิ่งทุกอย่างจากฉันไปแล้วครั้งนึง…มันลบความทรงจำของอดีตของฉันไปจนหมด” มินโฮกล่าว “…และฉันก็มั่นใจว่ามันพร้อมจะทำแบบนั้นอีกครั้งก่อนจะจับฉันใส่กล่องใบใหม่ แต่ฉันจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกแล้ว””

     

     

     

     

     

    เว้นช่วงเล็กน้อย ดวงตาทอดมองดวงดาวที่เริ่มเห็นได้แล้วบนท้องฟ้า ก่อนจะหันกลับมามองเขา

     

     

     

     

     

    น้ำเสียงหนักแน่นนั้นมีกระแสนุ่มนวลปนมาในประโยคหลัง…อ่อนหวานตราตรึงในใจคนฟังนัก

     

     

     

     

     

    “เพราะนายคือความทรงจำที่มีค่าที่สุดของฉัน…และฉันจะไม่ยอมเสียนายไปเด็ดขาด”

     

     

     

     

     

    ดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลงแทบลับฟ้าแล้ว…จึงเหลือเพียงแสงอ่อนโรยเท่านั้นที่ทาทาบพวกเขาอยู่ หากมินโฮก็เป็นภาพเดียวที่ชัดเจนที่สุดของโลกทั้งใบของนิวท์ในวินาทีนี้…ถ้อยคำที่ได้ฟังนั้นเรียบง่าย หากมันก็สามารถสื่อสารได้ครบถ้วนและมากมายกว่านั้นอีกนัก…ถ้อยคำที่มินโฮอาจจะคิดว่าคือประกายแสงเพียงเล็กน้อย แต่สำหรับนิวท์…มันสว่างไสวยิ่งกว่าดวงดาวทั้งหมดบนผืนฟ้ารวมกันเสียอีก

     

     

     

     

     

    และนั่นจึงทำให้นิวท์รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดตอบไปช่างฟังดูเล็กน้อยนักจนเทียบไม่ได้เหลือเกิน

     

     

     

     

     

    “…ฉันรักนาย”

     

     

     

     

     

    เขารู้…มันเป็นถ้อยคำสุดท้ายที่ควรจะพูดในสถานการณ์แบบนี้ สถานการณ์ที่การรอดชีวิตไม่เคยเป็นเรื่องแน่นอน…สถานการณ์ที่ถ้อยคำที่เอ่ยออกไปอาจฝังลึกในใจคนฟังไปชั่วชีวิต ถ่วงรั้งไว้ด้วยความรู้สึกผิดหรือความคิดอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งที่ตัวเองไม่สามารถทำได้

     

     

     

     

     

    แต่นิวท์ก็เลือกที่จะเห็นแก่ตัวแล้วพูดมันออกมา…ถ้อยคำหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวมาตลอด ถ้อยคำที่เป็นความรู้สึกของทั้งหัวใจมานานแสนนานแล้ว

     

     

     

     

     

    “โทษทีนะ…ฉัน…ฉันไม่มีประโยคสวยๆ เท่าไหร่เลย…” เขาเอ่ยเสียงค่อย “…แค่นี้แหละคือทั้งหมดที่ฉันมี”

     

     

     

     

     

    ไม่รู้ว่ามินโฮขยับมายืนใกล้เขาขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน…แต่มือใหญ่ๆ สองข้างนั่นก็เอื้อมมาประคองกรอบหน้าของเขาเอาไว้ สัมผัสที่นิวท์ยกมือข้างหนึ่งของตัวเองขึ้นแตะ…ทาบทับลงไป สบตานิ่งนานกับอีกฝ่าย…รับฟังเสียงทุ้มนั่นเอ่ยตอบคำพูดของเขา

     

     

     

     

     

    “ไม่เป็นไรหรอก” มินโฮส่ายหน้านิดๆ “…แค่นี้ก็พอแล้ว”

     

     

     

     

     

    แปลกดีเหมือนกัน…ณ จุดที่เวลาเลยผ่านมานานแสนนานแล้วนี้ นิวท์กลับรู้สึกอย่างอธิบายไม่ได้ว่าจูบนี้ของพวกเขาให้ความรู้สึกเหมือนกับจูบแรกที่มีให้กัน…สัมผัสนุ่มนวลมั่นคงที่ตัดกันนักกับความเปราะบางของโชคชะตา ความแตกต่างที่ทำให้ใจอ่อนหวานหากก็ชวนให้โหยไห้ระคนกัน

     

     

     

     

     

    ไม่มีคำพูดใดถูกเอ่ยเมื่อพวกเขาผละจากกัน…ก่อนที่ทั้งสองจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีเข้มอย่างฉงนพร้อมๆ กันเมื่อจู่ๆ สายลมก็พัดอื้ออึงราวกับพายุกำลังจะทิ้งตัว

     

     

     

     

     

    แล้วในวินาทีต่อมา…หุบเขาเบื้องล่างก็ลุกเป็นไฟ

     

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

     

    นิวท์จำได้ดีว่าเสียงตะโกนอื้ออึงทั้งหมดไม่ได้เข้าหูตนเลยตอนที่โทมัสวิ่งผ่านกำแพงเพื่อเข้าไปสู่เขาวงกตที่กำลังจะปิดตาย…มันเป็นความเงียบงันที่เขาไม่ต้องการจะเผชิญอีกแล้ว

     

     

     

     

     

    หากความเงียบงันนี้ก็ถ่าโถมกลับเข้ามาอีกครั้งตอนที่ประกายแสงจากกระบอกปืนพุ่งใส่มินโฮ…สติของเจ้าตัวขาดหายไปก่อนที่ร่างจะล้มลงบนพื้นดินเสียอีก

     

     

     

     

     

    หัวใจของนิวท์กรีดร้องกับทุกเสี้ยววินาที…หากรอบตัวกลับมีเพียงความเงียบที่บีบรัดเข้ามา ดึงรั้งทุกลมหายใจของเขาเอาไว้ราวกับคนจมน้ำ เด็กหนุ่มขยับจะพุ่งออกจากที่กำบัง…หากมือของใครสักคนก็กระชากตัวเขาเอาไว้ แว่วเสียงหลายเสียงที่รุมกันร้องห้าม

     

     

     

     

     

    ในนาทีที่ประตูวงกตกำลังจะปิดลงนั้น สายตาของมินโฮมีหลายถ้อยคำนักตอนที่มองตรงมาที่นิวท์…คำเว้าวอนที่ขอให้เขาช่วย คำสั่งที่บอกให้เขาอย่าได้ก้าวเข้ามาสู่จุดจบเคียงข้างตน…หากในครั้งนี้ ไม่มีแม้แต่โอกาสที่เขาจะได้มองหน้าของอีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำก่อนที่เฮลิคอปเตอร์ของวิกเค็ดหายลับไปจากท้องฟ้า

     

     

     

     

     

    อีกครั้ง…เป็นอีกครั้งแล้วที่เขาปล่อยให้มินโฮหลุดมือไปโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย…

     

     

     

     

     

    แม้แต่แสงแรกอันอ่อนจางของยามฟ้าสางก็ยังแผดเผานักสำหรับนิวท์ ในหัวของเขามีเพียงความคิดที่เล่นซ้ำไปซ้ำมา…เฝ้ามองหาสิ่งที่ตัวเองน่าจะทำในวินาทีนั้นเพื่อเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของสถานการณ์…พยายามไขว่คว้าทุกคำพูดที่มินโฮกล่าวให้ตนฟังบนหน้าผาในยามสนธยา และทุกสิ่งทุกอย่างก็ทิ่มแทงหัวใจของเขาราวเศษแก้วนับร้อย

     

     

     

     

     

    นั่นจึงทำให้ต่อให้เขาจะท้วงติงแผนการของโทมัสตามนิสัยมองความเป็นจริงของตน…นิวท์ก็ตัดสินใจได้ไปตั้งแต่แรกแล้วว่าตนจะทำอะไรต่อไป

     

     

     

     

     

    เขาจะไม่จดจำคำพูดใดของมินโฮ…เพราะเขาจะต้องได้ยินอีกฝ่ายพูดมันอีกครั้งให้ตนฟัง…

     

     

     

     

     

    การตัดสินใจนี้ไม่ใช่สิ่งที่มินโฮต้องการ แต่ถ้าได้พบกัน…นิวท์ก็คงจะบอกไปว่าตนไม่สนใจ เพราะการตัดสินใจนี้คือสิ่งที่ตัวเขาต้องการ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้ว

     

     

     

     

     

    …และเขาก็จะทำทุกทาง…แล้วต่อให้มันจะจบลงด้วยการพังทลายของทุกสิ่งทุกอย่าง คนที่รอดชีวิตก็จะต้องเป็นมินโฮ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    Fin.

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in