เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Minho x Newt fanfictionsTippuri~ii*
All Through The Night
  • All Through The Night
    The Maze Runner fanfiction by Tippuri~ii* 

     

     

       
     

      Pairing:  Minho x Newt
    Fandom: The Maze Runner trilogy  

    Type: movie-verse fanfiction

       

     * แฟนฟิคชั่นเเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของไรเตอร์และแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น และแฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแฟนฟิคชั่น BL…ถ้าใครไม่ชอบแนะนำให้ปิดค่ะ *

    REMARK: ชื่อเรื่องและคำเปิดเรื่อง นำมาจากเพลงนี้ค่ะ All Through The Night

    ************************************

     

    All through the night,

    I’ll be awake,

    and I’ll be with you.

     

    All through the night,

    this precious time,

    when time is new.

     

    All, all through the night today,

    knowing that we feel the same,

    without saying, the same without saying.

     

    We have no past,

    we won’t reach back.

    Keep with me forward all through the night.

    And once we start a meter clicks,

    and it goes running all through the night.

    Until it ends, there is no end.

    Keep with me forward all through the night.

     

    – All Through The Night, by Sleeping At Last (originally by Cyndi Lauper)

     

     

     

     

    ***

     

     

     

    ในสายตาของนิวต์แล้ว…มินโฮให้ความรู้สึกเหมือนผืนน้ำลึกล้ำสงบนิ่งกับสายลมนุ่มนวลหากว่องไวนัก

     

     

     

     

     

    ชีวิตของพวกเขาในท้องทุ่งแห่งนี้เป็นอะไรที่คล้ายดวงดาวที่แค่โคจรผ่านกันและกันเป็นจังหวะเท่านั้น…หน้าที่ที่แตกต่างทำให้นิวต์ไม่เคยได้พูดคุยกับมินโฮเกินความจำเป็นเลย และต่อให้จะเป็นคำให้กำลังใจสามัญว่าทุกชีวิตในพื้นที่สีเขียวขจีนี้ล้วนสำคัญเท่ากัน…ก็เห็นได้ชัดอยู่ชัดเจนว่าเหล่านักวิ่งเป็นกลุ่มคนที่พิเศษกว่าใครอื่นทั้งนั้น

               

     

     

     

     

    และคนที่ดูพิเศษขึ้นมาอีกนั่นก็คือมินโฮ… 

     

     

     

     

     

    นิวต์ไม่สามารถอธิบายได้…แต่ในสายตาของเขา มินโฮเป็นคนที่จะโดดเด่นอยู่เสมอ…ความเห็นที่เด็กหนุ่มรู้ดีว่าแปลกประหลาด เพราะอีกฝ่ายเป็นคนพูดน้อยและรักสันโดษยิ่งนัก…หากตรงจุดนี้นี่เองที่ทำให้นิวต์พบว่าตนมักจะมองตามมินโฮอยู่เสมอ ครุ่นคิดสงสัยว่าภายใต้สีหน้าสุขุมเยือกเย็นนั้นจะมีความอ่อนโยนหรือรอยยิ้มใดเฝ้ารออยู่หรือไม่

     

     

     

     

     

    ข้อสงสัยนี้เป็นอะไรที่ผ่านมาและผ่านไป…คล้ายหยดน้ำที่ตกต้องลงบนผืนทะเลสาบ นิวต์พบว่าตนแค่อยากที่จะรู้…แต่ไม่อยากที่จะตามหาคำตอบ นั่นจึงทำให้สิ่งที่เขามีให้มินโฮยังคงเป็นแค่คำทักสั้นๆ ตามจังหวะโอกาสเท่านั้น…ไม่ได้มีสิ่งอื่นใด ไม่มีแม้แต่ความคิดหรือความหวังว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง

     

     

     

     

     

    นั่นจึงทำให้ตอนยามใกล้พลบของวันหนึ่ง…นิวต์จึงประหลาดใจนักที่พบร่างกำยำเจ้าของเรือนผมสีดำสนิทยืนจดๆ จ้องๆ อยู่ตรงแถวเถาไม้ของตน

     

     

     

     

     

    “อ้าว มินโฮ?” เด็กหนุ่มยิ้มให้ รอยยิ้มที่เขาพอจะรู้ว่าคงมีความงงงันปะปนอยู่ด้วยไม่น้อย “มีอะไรหรือเปล่า?”

     

     

     

     

     

    นิวต์อยากจะให้ตัวเองอยู่ในสภาพที่ดูดีหรือพร้อมจะให้ความช่วยเหลือกว่านี้สักหน่อย…แต่ช่วงเย็นย่ำเช่นนี้เป็นเวลาอิสระที่เขาสามารถใช้ได้ตามใจตัวเองแล้ว นั่นจึงทำให้ตอนนี้…นิวต์จึงกำลังถือฝักบัวรดน้ำหนักอึ้งอยู่ด้วยทั้งสองมือ เตรียมตัวจะรดน้ำให้เหล่าต้นไม้ดอกไม้เล็กๆ ที่ตนปลูกเอง

     

     

     

     

     

    แต่มินโฮแค่ส่ายหน้า “ไม่หรอก…ไม่ได้มีอะไรหรอก…”

     

     

     

     

     

    นิวต์เอียงคอนิดๆ “แล้ว?”

     

     

     

     

     

    ร่างกำยำไหวไหล่เล็กน้อย ไม่ได้สบตากับเขาตอนถามขึ้นมาดื้อๆ

     

     

     

     

     

    “…ฉันขอนั่งสักพักได้ไหม?”

     

     

     

     

     

    เด็กหนุ่มผมสีทองพยายามระงับสีหน้างงๆ ติดจะหลุดขำของตัวเองเอาไว้อย่างยากลำบาก ก่อนจะพยักหน้าเงียบๆ แล้วเดินหน้าทำงานอดิเรกส่วนตัวของตนต่อไปราวกับไม่มีใครอื่นอยู่ตรงนั้น…ความเงียบระหว่างกันที่น่าจะอึดอัด แต่หลังจากนาทีผันผ่าน…นิวต์กลับพบว่าสิ่งเดียวที่กำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้นั้นมีเพียงความสบายใจเท่านั้น

     

     

     

     

     

    ‘สักพัก’ ของมินโฮแปลได้ว่า ‘ทุกวันหลังจากนั้น’…และตั้งแต่เมื่อใดก็เกินจะรู้ นิวต์ได้ค้นพบว่ามีจังหวะหัวใจที่ไหวระริกเหมือนกระดิ่งในสายลมอ่อนโยนเพิ่มเติมขึ้นมาจากความสบายใจดั้งเดิมนั่น

     

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

    ถ้านิวต์รู้เข้า เจ้าตัวอาจจะโกรธ…แต่ในสายตามินโฮแล้ว สิ่งที่เขาจะคิดถึงทุกครั้งเวลาเห็นหน้าอีกฝ่ายคือดอกไม้หรือใบหญ้าที่ก้านยาวระหงเสมอ

     

     

     

     

     

    นิวต์ไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่ความเข้มแข็งหนักแน่นของเจ้าตัวก็ผสมผสานด้วยความอ่อนโยน…คุณสมบัติที่ไม่น่าหลงเหลืออยู่แล้วเมื่อคิดถึงสถานการณ์ที่ทุกคนกำลังเผชิญอยู่ แต่ทำไมก็ไม่รู้…นิวต์กลับไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย ข้อเท็จจริงที่ทำให้มินโฮพิศวงเสมอ

     

     

     

     

     

    ความมั่นคงอันเล็กจ้อยนี้นี่เองที่คงเป็นสาเหตุให้เขาโยงอีกฝ่ายเข้ากับดอกไม้ก้านบอบบาง…ความงดงามที่ยังคงหลงเหลือในภาพความโหดร้ายทั้งปวง

     

     

     

     

     

    และโดยอธิบายไม่ได้…นิวต์เป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการทำให้บุคคลรอบข้างสบายใจ อาจเป็นเพราะการปฏิบัติตัวกับทุกคนอย่างเท่าเทียมและความอ่อนโยนส่วนตัว…มินโฮไม่แน่ใจว่าคืออะไรกันแน่ แต่นั่นก็ไม่สำคัญ…เพราะยังไงเขาก็รู้สึกประทับใจไม่น้อยไปกว่ากันอยู่ดี

     

     

     

     

     

    หน้าที่ที่แตกต่างทำให้ทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก…สิ่งที่มินโฮตัดสินใจเปลี่ยนแปลงมันด้วยตัวเอง

     

     

     

     

     

    แต่ถึงจะคิดเช่นนั้น…หากจริงๆ แล้ว ทั้งสองก็ไม่ได้คุยกันมากไปกว่าเดิมเลย มินโฮแค่นั่งมองนิวต์จัดการกับบรรดาพืชพันธุ์ต้นเล็กต้นน้อยที่เจ้าตัวปลูกเล่นๆ ไว้เองเท่านั้น ระยะเวลาที่ยาวนานแค่จากใกล้พลบสู่หัวค่ำ…หากก็มากพอที่จะทำให้เด็กหนุ่มได้คิดซ้ำๆ ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่

     

     

     

     

     

     

    เขาแค่ชอบความรู้สึกของการได้อยู่ใกล้คนคนนี้เท่านั้นเอง…

     

     

     

     

     

    และเพราะสีหน้าของนิวต์ตอนได้เห็นยอดอ่อนหรือดอกตูมดอกใหม่ของต้นไม้ในความดูแลของตัวเองนั้นเป็นภาพที่ส่องประกายนุ่มนวลราวสีขาวของไข่มุก…นั่นจึงทำให้มินโฮตัดสินใจโกหกอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก

     

     

     

     

     

    “ฉันเจอมันในเขาวงกตน่ะ” เขาพูดขึ้นในเย็นวันหนึ่ง ยื่นหัวพืชกลมๆ สีน้ำตาลอ่อนให้ “ยังไม่รู้หรอกว่าคือต้นอะไร แต่อัลบี้บอกว่ามันอาจใช้ประโยชน์ได้…นายลองปลูกดูหน่อยละกัน”

     

     

     

     

     

     

    นั่นเป็นคำโกหกที่มินโฮตระหนักอยู่แก่ใจตอนที่พูดว่านิวต์จะรู้ความจริงเองทีหลังอยู่ดี…แต่ถึงวันคืนจะผันผ่าน เด็กหนุ่มผมทองก็ไม่เคยทักถามหรือพูดถึงเจ้าหัวพืชนี่กับมินโฮเลย…นานเสียจนเขาแทบจะลืมไป นานเสียจนเขาคิดจะเลิกหวัง

     

     

     

     

     

    นานเสียจนเขาเกือบจะตัดใจ

     

     

     

     

     

    แต่ถึงอย่างนั้น…ตอนที่นิวต์ส่งยิ้มมาให้เขา รอยยิ้มตรงไปตรงมา…กล้าหาญหากก็เขินอายอยู่ในที มินโฮก็รู้สึกได้ว่าเสี้ยวหนึ่งของหัวใจไหวระริกผิดจังหวะ

     

     

     

     

     

    “ฝันดีนะ”

     

     

     

     

     

    กองไฟขนาดใหญ่ที่ถูกก่อเพื่อฉลองการมาถึงของโทมัสฉาบย้อมวงหน้าสีน้ำนมนั่น…ดวงตาโตดูอ่อนเชื่อมนักในแสงและเงาสีสดที่ทาบทับ

     

     

     

     

     

    มินโฮพยักหน้ารับสั้นๆ…อดประหลาดใจไม่ได้กับความผิดแปลกนี้ แต่เด็กหนุ่มก็พยายามไม่ติดใจอะไร…บอกราตรีสวัสดิ์อีกฝ่ายเรียบๆ แล้วเดินไปทางเปลนอนของตน

     

     

     

     

     

    ร่มเงาใต้หลังคาทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างแทบถูกกลืนไว้ด้วยความมืด…แต่ในแสงสลัว มินโฮก็ได้เห็นอะไรบางอย่างตรงข้างหมอนของตัวเอง

     

     

     

     

     

    มือกร้านหยิบมันขึ้นมาพินิจ…ช่อดอกไม้ก้านระหงช่อน้อย กลีบบอบบางสีม่วงอ่อนถูกขับให้งดงามด้วยเกสรสีเหลืองและส้มสดใส…ดอกไม้ที่มินโฮได้เห็นแค่ยามที่วิ่งในเขาวงกต ดอกไม้ที่เด็กหนุ่มรู้ดีว่าทำไมตอนนี้มันถึงมาอยู่นอกเส้นทางวกวนนั่นได้

     

     

     

     

     

     

    คำโกหกที่เขามีให้ใครคนนั้น

     

     

     

     

     

    ตอนนั้นเองที่ที่มาของประโยคของนิวต์กระจ่างในใจเด็กหนุ่มผมดำ

     

     

     

     

     

     

    และระหว่างที่สงสัยขึ้นมาว่าหรือแท้จริงแล้วเหตุผลของความอ่อนเชื่อมในแววตาของอีกฝ่ายนั้นจะไม่ใช่เพราะจากเงาเปลวไฟ…มินโฮก็พบว่าตัวเองกำลังยิ้มอยู่

     

     

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

    เสียงตะโกนอื้ออึงทั้งหมดไม่ได้เข้าหูนิวต์เลยตอนที่โทมัสวิ่งผ่านกำแพงเพื่อเข้าไปสู่เขาวงกตที่กำลังจะปิดตาย

     

     

     

     

     

    สิ่งที่ทำให้โลกทั้งใบเงียบงันลงคือสายตาของมินโฮ…ความสุขุมเยือกเย็นปริร้าวในวินาทีนั้น เหลือเพียงแต่ความตระหนกหวาดกลัว…คำเว้าวอนที่ขอให้เขาช่วย คำสั่งที่บอกให้เขาอย่าได้ก้าวเข้ามาสู่จุดจบเคียงข้างตน

     

     

     

     

     

    คืนนั้นเป็นความมืดดำที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของนิวต์

     

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

    ยามเช้ามาถึงพร้อมเสียงกึกก้องของกำแพงที่เปิดออก น้ำค้างยังคงแพรวพราวบนยอดหญ้าตอนที่นิวต์เดินมาถึงเบื้องหน้าช่องว่างสู่เขาวงกต…เส้นทางอันหม่นมืดและว่างเปล่า

     

     

     

     

     

    ไม่ใช่เขาคนเดียวที่มายืนรอ นั่นจึงทำให้เสียงโห่ร้องยินดีดังไปทั่วท้องทุ่งเมื่อเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นจนได้…สองผู้รอดชีวิตจากค่ำคืนในเขาวงกตปรากฎตัวขึ้นในนาทีสุดท้ายก่อนที่ความหวังของทุกคนจะดับลง

     

     

     

     

     

    นิวต์มองภาพรอยยิ้มของทุกคนและมินโฮได้ไม่นาน…ความรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกเกาะกุมจิตใจ นั่นเองที่ทำให้เด็กหนุ่มพบว่าตนกำลังฝืนยิ้มอยู่

     

     

     

     

     

    และตอนที่มินโฮมองหา…นิวต์ก็ไม่อยู่ตรงไหนให้เห็นอีกแล้ว

     

     

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

    เสียงย่ำเท้าบนผืนหญ้าดังสวบสาบ…แต่นิวต์ไม่แม้แต่จะหันไปมองว่าใคร เขารู้ดีอยู่แล้ว

     

     

     

     

     

    “นายเป็นอะไรหรือเปล่า?”

     

     

     

     

     

    ถามเรียบๆ…ก่อนที่มินโฮจะทิ้งตัวลงมานั่งข้างเขา ตอนนี้นิวต์กำลังขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้าแถวกระถางต้นไม้ของตัวเอง…และนั่นก็คือสิ่งเดียวที่เด็กหนุ่มบังคับให้สายตาของตัวเองจับจ้อง

     

     

     

     

     

    แต่อย่างไรก็ดี คำถามจากอีกฝ่ายก็ทำให้นิวต์อดรู้สึกขันๆ ไม่ได้จริงๆ

     

     

     

     

     

    “นายเป็นคนที่เพิ่งอยู่ในเขาวงกตทั้งคืนมานะ” นิวต์พยายามหัวเราะ แต่เสียงที่เล็ดรอดออกมากลับมีความอ่อนล้าเจือจาง “…นายสิเป็นอะไรหรือเปล่า?”

     

     

     

     

     

    อย่างน้อยถ้อยคำกวนๆ ติดตลกนี่ก็ทำให้มินโฮขยับยิ้มจางๆ

     

     

     

     

     

    “ก็ครบสามสิบสองอยู่นะ” เด็กหนุ่มผมดำกางแขนยักไหล่อย่างรับมุก ก่อนจะโคลงศีรษะ…หัวเราะเบาๆ “ต้องขอบคุณโทมัสล่ะนะ…หมอนั่นมันบ้าดีชะมัดเลย”

     

     

     

     

     

    นิวต์หัวเราะตาม…เพราะถึงแกลลี่และหลายๆ คนจะมองว่าโทมัสคือระเบิดปัญหาที่พร้อมจะประทุชนวนตอนไหนก็ได้ แต่สำหรับเขาแล้ว…นิวต์ค่อนข้างจะถูกชะตากับน้องใหม่คนนี้อยู่ไม่น้อยเลย เพราะนิสัยกล้าบ้าบิ่นแต่ไม่ก้าวร้าวของโทมัสเป็นอะไรที่เด็กหนุ่มรู้สึกว่าควรมีในท้องทุ่งแห่งนี้ให้มากกว่านี้

     

     

     

     

     

    “นั่นสินะ…”

     

     

     

     

     

    เสียงขาดหาย…เพราะคลื่นความหนักหน่วงในหัวใจพัดหวนกลับมาอีกครั้ง

     

     

     

     

     

    “โทมัสเขากล้าดีจริงๆ นั่นแหละ…” นิวต์เปลี่ยนท่านั่งมาเป็นกอดเข่า…ซ่อนหน้าลงกับเนื้อผ้าหยาบๆ ตอนเอ่ยพึมพำ “…กล้ากว่าพวกเราทุกคนเลย”

     

     

     

     

     

    รสชาติขมๆ ในใจตอนนี้นั้นทำให้รู้สึกแย่และอับอายเสียจนเด็กหนุ่มต้องแอบขยับๆ ให้เรือนผมปัดลงมาบดบังวงหน้า…ไม่อยากแม้แต่จะให้มินโฮเห็นแม้แต่เสี้ยวหน้าของตน เพราะนิวต์รู้ดีว่าสาเหตุของความโกรธเกรี้ยวที่คุอยู่ในใจตอนนี้มาจากความเจ็บใจกับตัวเองทั้งสิ้น…ไม่มีใครอื่นเป็นคนผิดเลยนอกจากตัวเขาเอง ตัวเขาที่ไม่กล้าพอแม้จะวิ่งเข้าไปช่วยคนที่อยู่ห่างไปเพียงไม่กี่เมตรจากความตายอันแน่นอน

     

     

     

     

     

    “นิวต์…” เสียงเรียกครั้งแรกไม่ทำให้เจ้าของชื่อขยับตัว มินโฮจึงเรียกอีกครั้ง “…นิวต์ มองฉันซิ”

     

     

     

     

     

    ถอนหายใจหนักหน่วง…ก่อนที่เด็กหนุ่มผมทองจะยอมผินหน้ามาหาเขาเล็กน้อย ดวงตามีแววรั้นๆ ราวกับถามว่าเขามีปัญหาอะไรหรือไงปนกับบอกว่าอย่ามายุ่ง…แววตาที่แปรเปลี่ยนมาเป็นตกใจนิดๆ เมื่อมินโฮจับให้เจ้าตัวหยัดตัวขึ้นมาเพื่อมองกันได้ตรงๆ

     

     

     

     

     

    “ฟังนะ…การที่โทมัสช่วยฉันน่ะเป็นเรื่องที่ดี” เขาพูดสั้นๆ “แต่ไม่ได้หมายความว่าการที่นายไม่ได้ตามฉันเข้ามานั่นเป็นอะไรที่ไม่ดีนะ”

     

     

     

     

     

    นิวต์ไม่ได้ตอบอะไร แต่แววตายังคงฉายชัด…เจ้าตัวทำใจเชื่อข้อเท็จจริงนี้ไม่ลงเลยสักนิด

     

     

     

     

     

    “พูดตามตรงแล้ว…ฉันดีใจด้วยซ้ำที่นายไม่ได้ตามเข้ามา” มินโฮพูดเสียงค่อย “…ฉันไม่เคยอยากให้นายเข้ามาในเขาวงกตนั่นเลยด้วยซ้ำ…ไม่ว่าจะตอนไหนก็ตาม”

     

     

     

     

     

    นิวต์ยอมลืมความโกรธตัวเองไปชั่วครู่เพื่อถามคำถามนี้ “ทำไมน่ะ?”

     

     

     

     

     

    “เพราะ…”

     

     

     

     

     

    มืออบอุ่นนั่นละไปจากไหล่ของเขา…คราวนี้เป็นมินโฮบ้างแล้วที่จ้องไปแค่ที่แถวกระถางต้นไม้เบื้องหน้า ปลายนิ้วไล้ตามกลีบดอกไม้สีม่วงที่มีเกสรสีเหลืองสดอันคุ้นตา…เนิบช้าเหมือนน้ำเสียง

     

     

     

     

     

    “…เพราะฉันอยากให้ตัวเองมีคนให้กลับมาหาน่ะสิ”

     

     

     

     

     

    การวิ่งในเขาวงกตของนักวิ่งนั้นเป็นอะไรที่ไม่ต่างกับการแข่งกับเวลาและการหลบหนีความตายที่ซ่อนเร้นได้อยู่ทุกมุม…เป็นการวิ่งที่การมองกลับไปไม่ใช่ทางเลือก นั่นจึงหมายความว่าจุดหมายเบื้องหน้านั้นควรเป็นสิ่งที่มีค่ามากเสียจนไม่อาจสูญเสียชีวิตไประหว่างทางเพราะจะต้องกลับไปหามัน

     

     

     

     

     

    ถ้าจะเปรียบสิ่งที่พวกเขามีระหว่างกันในวันวานที่ผ่านมาให้เป็นกลุ่มเมฆอันคลุมเครือ…ประโยคนี้ของมินโฮก็คงจะเป็นแสงอาทิตย์สดใส ประกายแดดสว่างไสวที่ทำให้ตาพร่าด้วยไม่ชินกับความชัดเจนเช่นนี้มาก่อน

     

     

     

     

     

    “แต่…” นั่นจึงทำให้นิวต์ได้แค่พูดแย้งเสียงแผ่วเบา “แต่ก็ไม่ใช่แค่ฉันนี่นา…นายยังมีทุกคน—”

     

     

     

     

     

    “ไม่” มินโฮแทรกขึ้นอย่างเนิบนุ่ม ส่ายหน้าช้าๆ “นายก็รู้ว่ามันไม่เหมือนกัน”

     

     

     

     

     

    ปลายนิ้วแตะกลีบบอบบางนั่นเป็นครั้งสุดท้าย…ความอ่อนโยนที่ไม่น่าเชื่อเลยว่ามือหยาบกร้านเช่นนั้นจะทำได้ ก่อนที่มินโฮจะหันมา…สบสายตากับเขา จ้องลึกในดวงตา

     

     

     

     

     

    “…มันไม่เคยเหมือนกัน”

     

     

     

     

     

    มินโฮยังคงเป็นผืนน้ำและสายลมในความคิดของเขา…แต่ในนาทีที่เอนตัวเข้าไปหาแล้วแตะริมฝีปากของตัวเองเข้ากับริมฝีปากของอีกฝ่าย นิวต์ก็ได้พบว่ามินโฮนั้นเป็นดั่งแสงแดดอ่อนโยนในใจของตนด้วย…แสงแรกของยามฟ้าสางที่บอกให้รู้ว่าความมืดของยามค่ำคืนกำลังจะจบลงแล้ว

     

     

     

     

     

    หัวสมองเป็นสีขาวโพลนตอนที่เขาผละจาก…น้ำหนักของการกระทำของตัวเองค่อยๆ ทิ้งตัวลงมา เสียงในลำคอเหลือเพียงความแผ่วค่อยและลมหายใจที่สั่นระริก

     

     

     

     

     

    “โอเคไหม…?” นิวต์ได้ยินตัวเองถามออกไป คำถามที่ไร้ความอ่อนหวานใดๆ อย่างสิ้นเชิง “คือ…มันเป็นครั้งแรก…ฉันอยากให้มันโอเค…”

     

     

     

     

     

    มินโฮหัวเราะออกมา แล้วก็จูบเขาอีกครั้ง

     

     

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

    “ฉันไปก่อนนะ อยากได้อะไรจากในนั้นมั้ยชัค? สมองกรีฟเวอร์เป็นไง…”

     

     

     

     

     

    แว่วเสียงล้อๆ ของโทมัสมาจากจุดที่เด็กชายตุ้ยนุ้ยมายืนส่ง คำล้อที่ตามมาด้วยการระเบิดเสียงร้องยี้กับการหัวเราะยกใหญ่…ความอึกทึกที่แตกต่างกับบรรยากาศนิ่งๆ ของฝั่งมินโฮกับนิวต์ยิ่งนัก

     

     

     

     

     

    “ก็…” เด็กหนุ่มผมทองตัดสินใจทำลายความเงียบลงในที่สุด…พูดเสียงเรียบๆ “กลับมาไวๆ นะ”

     

     

     

     

     

    น้ำเสียงฟังดูไม่มีความกังวลใด…หากรอยยิ้มลังเลจางๆ ที่เจ้าตัวคงไม่รู้ตัวว่าระบายบนริมฝีปากอยู่ก็ทำให้มินโฮรู้ความจริงเป็นอย่างดีว่านิวต์กำลังรู้สึกอย่างไรอยู่

     

     

     

     

     

    และเพราะเข้าใจด้วยว่าความลังเลนั้นมาจากอะไร เด็กหนุ่มผมดำจึงตัดสินใจพูดเสียงมั่นคง “รู้แล้ว…ฉันไปไม่นานหรอก โอเคมั้ย?”

     

     

     

     

     

     

    นิวต์ขยับเหมือนจะพูดอะไรต่อ…แต่โทมัสก็ร้องเรียกมาจากอีกทาง นั่นจึงทำให้เด็กหนุ่มผมทองโบกมือเป็นเชิงบอกให้มินโฮไม่ต้องใส่ใจ…และก็ยืนมองตามจนกระทั่งเห็นว่านักวิ่งทั้งสองหายลับเข้าไปในเขาวงกตแล้วจึงเตรียมจะหันหลังกลับไปสู่หน้าที่ประจำวันของตัวเอง

     

     

     

     

     

    เลยประหลาดใจยิ่งนักที่ตัวเองโดนรั้งไว้ด้วยสัมผัสอันคุ้นเคย

     

     

     

     

     

    “มินโฮ?” นิวต์กระพริบตา ก่อนจะถามต่ออย่างรวดเร็ว “เฮ้ๆๆ นี่นายปล่อยให้โทมัส—”

     

     

     

     

     

    “โทมัสยืนรอเฉยๆ อยู่น่า…โอเคมั้ย” มินโฮพูดนิ่งๆ…แต่นิวต์ก็เห็นอยู่ดีว่าเจ้าตัวแอบกลอกตาเล็กน้อย

     

     

     

     

     

    “โอเค” เขาพยักหน้า ก่อนจะถามต่อ “แล้วมีอะไรล่ะ? ลืมของเหรอ?”

     

     

     

     

     

    มินโฮส่ายหน้า และโดยไม่บอกให้ได้ตั้งตัว…เจ้าตัวก็ขยับเข้ามาหา ริมฝีปากแตะลงมาตรงมุมปากของนิวต์…จูบแสนรวดเร็วจนน่าหัวเราะนักที่มันทำให้หัวใจเต้นแรงได้ถึงเพียงนี้

     

     

     

     

     

    และเมื่อผละจากไป…ริมฝีปากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบางเบา ประโยคสั้นๆ ถูกเอ่ยด้วยเสียงนุ่มๆ

     

     

     

     

     

    “…ช่วยรอฉันด้วยนะ”

     

     

     

     

     

    นิวต์หัวเราะอย่างอดไม่ได้ พึมพำอย่างอ่อนใจปนเอ็นดู

     

     

     

     

     

    “…ฉันเคยไม่รอนายด้วยเหรอ?”

     

     

     

     

     

    มินโฮแค่ยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด ก่อนที่จะวิ่งเข้าไปในเขาวงกตอีกครั้ง…ไม่มีการหันหลังกลับมามองอีกแล้ว

     

     

     

     

     

    นิวต์ยกปลายนิ้วขึ้นแตะมุมปากของตน…สัมผัสอบอุ่นที่ยังหลงเหลือนั้นให้ความรู้สึกเหมือนคำสัญญาของแสงตะวัน ณ จุดสิ้นสุดของค่ำคืนอันยาวนาน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    Fin.

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in