เมื่อเรามาถึงหัวหินพระอาทิตย์ไม่นานก็เริ่มทำท่าจะตกดิน ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นผีตากผ้าอ้อม ที่พักของเราเป็นพื้นที่เอาท์ดอร์ริมทะเลไว้สำหรับกางเต็นท์ ครูปอมบอกว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ทางโรงเรียนซื้อเอาไว้ให้สำหรับการมาค่ายของห้องกิฟต์ จะมีตัวอาคารที่ไว้สำหรับประชุมและเป็นห้องอาหาร รวมถึงสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่หันหน้าไปทางทะเล ครูปอมเองก็ค่อยมาที่นี้ตอนยังเป็นนักเรียนกิฟต์เหมือนกัน
“อันนี้เป็นเต็นท์ของแต่ละคนนะ เอาไปแล้วก็หาพื้นที่กางเต็นท์ด้วย ครูปอมบอกว่าอย่าไปตั้งเต็นท์ห่างกันไกลมากนะ”
ปุณณ์ในฐานะหัวหน้าห้องทำหน้าที่แจกจ่ายเต็นท์นอนให้คนอื่นๆ ต่างคนต่างก็พากันไปเดินหาทำเลดีๆสำหรับตั้งเต็นท์ พวกผมสามคนเองก็พากันเดินหาอยู่นานแต่ก็ไม่เจอที่ถูกใจสักที สุดท้ายก็จบลงด้วยการมาตั้งใกล้พื้นที่ตั้งแคมป์รอบกองไฟ คนอื่นๆเมื่อหาที่ตั้งกันได้แล้วก็เริ่มตั้งเต็นท์กันอย่างทุลักทุเล ได้ยินเสียงแคลร์โวยวายว่ากางเต็นท์ไม่ได้มาแต่ไกล ก่อนที่ปุณณ์ผู้แสนดีจะมาช่วยคุณเธอตั้งเต็นท์จนเสร็จ
“นี่ดีนะที่ได้เต็นท์เดี่ยว ถ้าได้เต็นท์คู่ละก็..สนุกแน่ๆ” ไอ้โอมพูดเสียงต่ำพร้อมหันมาทางผมเหมือนจะล้อเลียนที่มันแกล้งให้ผมนั่งกับเวฟได้สำเร็จ
“หยุดเลย ไอ้โอม นี่กุยังไม่หายโกรธที่มึงแกล้งกุนะ”
“โอ๋ ไม่ร้องนะป๋องแป๋ง”
“พวกแกหยุดเถียงกันได้แหละ แล้วก็รีบๆกางเต็นท์ในเสร็จ จะได้ไม่ต้องนอนตากลมทั้งคืน” น้ำตาลผู้อยู่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งปวงกล่าว แล้ววาจาประกาศิตนั่นก็ทำให้ไอ้โอมหยุดพล่ามสักที
“ทำไมมันทำยากจังว่ะ” โอมที่พยายามต่อเสาเต็นท์ซึ่งสภาพของมันก็ไม่ใกล้เคียงคำว่าเสาเท่าไหร่ แค่มองก็รู้ว่าชะตาชีวิตมันจะเป็นยังไงถ้าปล่อยให้มันตั้งเต็นท์เอง
“มาๆ เดี๋ยวกุทำให้”
“เชร ใจดีวะ กราบขอบพระคุณครับ คุณปวเรศ”
“เออ เห็นแล้วกุสงสาร กลัวว่าถ้ามึงทำต่อจนเสร็จเนี่ย ตกดึกเต็นท์แม่งจะถล่มมาทับมึงตายก่อน”
“อ้าว ไอ้แปงแช่งกุเฉย”
“ไม่ต้องพูดมากเลยมึง ขนาดน้ำตาลยังกางเต็นท์ได้เลย”
“เออ..แปง เราก็ทำไม่เป็นอะ”
น้ำตาลยิ้มแห้งใส่ผม ผมจึงได้แต่ถอดหายใจก่อนจะช่วยกางเต็นท์ให้น้ำตาลเป็นรายต่อไป
อาจทำให้ไม่ชินกับการกางเต็นท์รึเปล่านะ
“แปง แกไม่ไปกินข้าวออ?” น้ำตาลตะโกนเรียกผม
“เออมึง กุหิวจนตาลายแล้วเนี่ย” โอมก็ตามมาประสานเสียงด้วยอีกคน
ผมก็หิวนะ แต่...
“ไปก่อนเลย เดี๋ยวตามไป”
ผมเดินไปหาเวฟที่เลือกทำเลตั้งเต็นท์ได้เหมาะกับตัวเองอย่างตรงใต้ต้นมะพร้าวที่มืดเสียจนถ้าไม่สังเกตก็คงมองไม่เห็น เหมือนเงาต้นมะพร้าวจะทำให้ทั้งเวฟทั้งตัวเต็นท์ถูกกลืนหายไปกับเงามืดของมัน
“ให้กุช่วยป่ะ?” ผมหยุดยืนอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่ เวฟเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงเรียกของผม เบิกตาเล็กน้อยเหมือนประหลายใจ แต่สุดท้ายก็ตอบกลับมาด้วยพูดคำกวนประสาท
“ทำไม? รู้สึกอยากเป็นคนดีของสังคมขึ้นมารึไง?”
เวฟว่าอย่างนั้นก่อนจะก้มหน้าก้มตาต่อเสาเต็นท์ต่อไปโดยไม่สนใจผม
“กุก็แค่อยากช่วยมึง”
“แล้วทำไมต้องช่วยว่ะ กุก็ไม่ได้ขอ เสร่อไปทั่วนะมึงอะ”
ผมถอดหายใจเฮือกใหญ่ การจะทำดีนี่มันเหนื่อยจริงแท้นะครับ โดยเฉพาะกับคนอย่างคุณวสุธร ในใจแอบรู้สึกผิดหวังขึ้นมานิดหน่อย เพราะเห็นว่ามันตอบกลับผมบนรถบัสอยู่หรอก เลยอุตส่าห์คิดว่าจะได้คุยกันดีๆแล้วแท้ๆ แต่ผมคงคาดหวังมากไปเอง
“เออ เรื่องของมึงละกัน งั้นกุกินข้าวแหละ”
เวฟไม่ตอบอะไร ผมจึงเดินหันหลังให้มันไปทางอาคาร
เหนื่อยที่จะพูดด้วยแหละ พูดดีๆก็ด่า ไม่ดีก็ด่า เฮ้ย....
“อันนี้มันต้องต่อกับตรงนี้เว้ย” สุดท้ายผมก็ทนหงุดหงิดไม่ไว้ เพราะมันต่อมั่วซั่วไม่ถูกสักที ผมเลยเดินเข้าไปดึงเสาจากมือมันก่อนจะเอามาต่อให้ถูกต้อง อีกฝ่ายดูหงุดหงิดเล็กน้อยที่ต้องให้ผมช่วยและทำท่าทางเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร อาจเพราะทำไม่เป็นเลยได้แต่นั่งนิ่งรอจนผมต่อเต็นท์เสร็จ
“อะ เสร็จแหละ”
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง” เวฟสบถ
“มึงนั่นแหละที่หัวแข็งไม่เข้าเรื่อง ต่อไม่ได้ทำไมไม่ขอให้คนอื่นช่วยว่ะ”
“มึงคิดว่าจะมีสักกี่คนที่อยากช่วยกุอะ”
“…ก็พูดแบบนี้ ใครเขาจะอยากมึงช่วยว่ะ”
“…”
เราทั้งสองตกอยู่ในความเงียบไปครู่หนึ่ง
เวฟเงียบอีกแล้ว ดวงตาฉายแววเหมือนมีอะไรบางอย่าง แล้วอย่างที่เคยบอกไป ผมไม่ชินกับการที่มันเงียบแบบนี้เลย
“พูดจบยัง กุหิวข้าว”
“ฮะ?”
เวฟลุกขึ้นปัดทรายจากกางเกงเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปทางอาคารโดยทิ้งผมไว้ตรงนั้น
“เฮ้ย! ไอ้เวฟ!” ผมพยายามตะโกนเรียกเพื่อให้อีกฝ่ายรอ แต่เหมือนมันจะไม่ได้สนใจผมเลย
ผมรีบลุกขึ้นมาปัดทรายแล้ววิ่งตามหลังเวฟไป ก่อนจะค่อยๆเดินไปพร้อมๆกับอีกฝ่ายเงียบๆจนถึงอาคาร
พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว พระจันทร์กับดวงดาวขึ้นมาแทนที่ มีลมทะเลผลัดมาลูบไล้แก้มเบาบาง
ว่าแต่ว่า เมื่อกี้ถือว่าเป็นการพูดกันดีๆของพวกเรารึเปล่านะ...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in