เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Afternoon and Good nightreeiinee_
I gotta have U #JaeMark
  • 22 - Taylor Swift

    .


    .


    .



    It feels like a perfect night to dress up like hipsters...

    And make fun of our exes, ah ah, ah ah...

     


    “Three”

     

    แสงสี แสง ที่กำลังปรับเปลี่ยนไปตามคลื่นความสุขของเทศกาลส่งท้ายปีเก่าบ่งบอกถึงการยินดีที่จะได้เฉลิมฉลองต้อนรับปีใหม่จากผู้คนรอบกายหลายๆคน...

     

    “Two”

     

    หากแต่ต่างไปจากคนๆหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงนี้...

     

    “One”

     

    ที่ใกล้กันไม่ห่างตัว คู่รักหลายคู่กำลังจุมพิตอยู่รายล้อมราวกับว่ามีความสุขนักหนาที่มีคนข้างกายอยู่ข้างเคียงกันไปอีกปี ขวดแก้วแอลกอฮอล์ในมือโยกส่งเป็นเชิงบ่งราวกับว่ากำลังยินดีเมื่อมีสายตาจากคู่รักใกล้ๆส่งมาและยิ้มหวานอวดโชว์ความรัก แม้ในใจจะแอบสาปแช่งให้ทั้งคู่หมดรักเลิกกันไปไวๆด้วยความอิจฉาที่ตนไม่มีใครบ้างก็ตาม

     

    “Zero”

     

    ตัวเลขที่ติดอยู่ในความรู้สึกถูกเอ่ยออกไปแทนการบอกกล่าว Happy New Year คล้ายคนรอบข้างขวดสีทึบในมือถูกยกขึ้นเพื่อจรดมันลงกับริมฝีปากตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ไม่ใช่เพื่อแสดงออกถึงความสุขแต่กำลังบ่งบอกถึงความทุกข์ที่อยู่ในใจ

     

    มาตกอะไรตอนนี้วะ

     

    เสียงสบถดังเซ็งแซ่มาจากรอบข้าง เมื่ออากาศแปรปรวนที่เป็นมาทั้งอาทิตย์กำลังแผลงฤทธิ์เล่นงานผิดเวล่ำเวลาราวกับพระเจ้าเข้าใจคำสาปแช่งของมนุษย์ขี้อิจฉาตัวโตๆคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงนี้ หากแต่ในไม่ช้าสายฝนที่ควรพาให้ใครหลายคนอารมณ์เสียกลับกลายเป็นว่ายิ่งเพิ่มความโรแมนติกส่งเสริมบรรยากาศสุขสันต์แก่คู่รักรอบข้างหลากหลายคู่ที่เริ่มขยับเขยื้อนเข้าหากัน เปลี่ยนอารมณ์สีหม่นๆให้กลายเป็นสีชมพูด้วยการดูดด่ำกับจุมพิตท่ามกลางสายฝนอีกครั้ง

     

    ความสะใจเพียงเสี้ยวนาทีที่ไม่ช่วยให้คนเกลียดสายฝนให้มีความสุขได้เลย 

    ให้ตายสิ!

    เกลียดฝนโว้ยย รู้บ้างมั้ยวะ!


    เค้าไม่ชอบฝนเพราะมันทำให้คิดถึงใครบางคนที่บอกเลิกกันไปในวันนั้นในค่ำคืนที่ฝนตกหนักด้วยเหตุผลสั้นๆเพียงเพราะ รักใครอีกคนมากกว่า

    แล้วแบบนั้นจะให้ฉุดรั้งคนไม่มีใจไว้ข้าวตัวอีกเพื่ออะไร!?

     

    ยิ่งมองฝนก็ยิ่งเหมือนตรอกย้ำให้รู้ว่าหัวใจมันกำลังเจ็บ...

    ไม่ใช่เพราะเจ็บจากคนที่จากไป...

    แต่กำลังเจ็บเพราะว่ามันทั้งหนาวและเหงาหากแต่ก็ไม่มีใครสักคนมาอยู่ด้วยกันเพื่อเคียงข้าง...

    โดยเฉพาะกับค่ำคืนที่ต้องการใครสักคนมาอยู่เคียงข้างด้วยกันอย่างเช่นคืนนี้...

     

    ความเหงาที่ลึกๆแล้วก็แอบตั้งความหวัง...

    หวังว่าจะเจอใครสักคนที่เข้ามาเติมเต็มอีกส่วนของครึ่งชีวิตที่ขาดหาย...

    หวังว่าจะได้เจอใครสักคนที่คนบนท้องฟ้ายอมส่งลงมาให้ได้เจอกันเสียที...

     


    It feels like a perfect night for breakfast at midnight...

    To fall in love with strangers, ah ah, ah ah...

     


    “!!”

     

    ฉับพลันทันใดในห้วงความคิดที่ปล่อยให้ลอยไปไหนต่อไหนไกลๆกับหัวใจดวงที่เจ็บ อยู่ๆก็ถูกทำให้หยุดชะงักด้วยรอยยิ้มสดใสจากใครบางคนที่เปิดประตูโผล่พรวดพราดเข้ามาพร้อมกับยิ้มหวานที่ยืนอยู่ตรงหน้า


    ขออยู่ด้วยดิ

     

    คำเอ่ยขอที่ไม่รอช้าให้คนอยู่ก่อนได้เอ่ยปากส่งคำอนุญาตให้กับคนแปลกหน้า เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าจะแทรกกายพรวดพราดเข้ามาเลยในทันทีที่เอ่ยจบ 


    ตู้โทรศัพท์ตู้เดียวที่มีอยู่ในบริเวณให้คนไม่ชอบฝนได้พอหลบอาศัย พอมีคนใครอีกคนเบียดกายเข้ามาอยู่ร่วมกันจากเดิมที่เคยขยับตัวได้อย่างหลวมๆสำหรับคนๆหนึ่ง ก็กลายเป็นว่าพอดิบพอดีไปในทันทีเมื่อมีบุคคลที่สองเข้ามาเติมเต็มพื้นที่ว่างส่วนที่เหลือ

     

    ความใกล้ชิดที่ชวนให้ลมหายใจเข้าสู่อาการติดขัด เพราะกลัวว่าหากขยับเข้าไปใกล้แล้วหัวใจจะหยุดทำงานเพราะเสี้ยวความงามที่ตราตรึงไปมากกว่านี้

     

    คนเข้ามาใหม่ที่ร่างกายเปียกปอนทั้งตัวแต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งเปียกยิ่งสวยยิ่งชวนให้น่ามองน่าค้นหา ทั้งๆที่ไม่รู้อะไรดลใจให้หัวสมองผุดคำชมแบบนี้ขึ้นมาและรู้ดีว่าไม่ควรใช้คำชมแบบนี้กับผู้ชายก็ตาม

     

    แต่ก็นะ...

     

    อืมยอมรับเลยว่าสวยจริงๆ...

     

    เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้อย่างแปลกประหลาด เมื่อความอึดอัดที่ควรเกิดระหว่างคนแปลกหน้าสองคนในสถานที่แคบแสนแคบมันกลับไม่มี หากแต่เป็นความอบอุ่นที่ส่งถึงกันและกันจางๆ โดยไม่ใครพูดหรือทำอะไร

     

    ไม่อึดอัดแต่กลับอบอุ่น...

    สำหรับเค้าแล้วคงไม่มีอะไรน่าประหลาดไปมากกว่านี้...


     

    We’re happy free confused and lonely in the best way...

    It’s miserable and magical, oh, yeah...

     


    นี่สรรพนามเรียกขานและรอยยิ้มเชื้อเชิญเริ่มต้นไมตรีส่งมาก่อนจากใครอีกคน แต่ไม่ทันไรการหยักยิ้มที่กำลังปรากฏเพื่อส่งไมตรียื่นกลับคืนกลับถูกทำให้หายวับไปในพริบตา เพราะถ้อยคำต่อมาที่ทำเอาระดับมิตรภาพเมื่อแรกเริ่มกระตุกวูบกับความตรงเผงที่ส่งไปกระแทกแผลสดใหม่ ณ ตำแหน่งกลางดวงใจ

     

    อยู่คนเดียวข้ามปีแบบนี้มันเหงานะ เพิ่งโดนหักอกมาใช่มั้ยล่ะ? มีคนเขียนแปะไว้ที่กลางหลังคุณตัวเบอเร่อเลย

     

    เป็นปฏิกิริยาตอบกลับในทันทีที่ต้องยกมือขึ้นแปะป่ายไปทั่วตัวเพื่อเช็คตัวเองให้มั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดปลอมป่นมาให้ผิดแปลกตรงไหน แต่พอนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่ได้พบเจอหน้ากันตนยังไม่เคยหันข้างหรือหันหลังให้อีกฝ่าย และยิ่งยืนยันให้ชัดเจนได้มากกว่าสิ่งใดคือเสียงหัวเราะคิกคักอย่างกับว่าสนุกนักหนากับการแกล้งคนอื่นในครั้งนี้

     

    ตลกมากมั้ย?” คนถูกแกล้งที่ไม่ตลกด้วยสักนิด คิ้วขมวดโบว์จนแทบเป็นปมแสดงออกความไม่พอใจออกมาทางสีหน้าให้อีกคนได้เห็นชัดๆ เรียวแขนยาวกอดอกตัวเองไว้แน่นพลางผ่อนลมหายใจเข้าออกและนับเลขหนึ่งถึงสิบในใจช้าๆปล่อยระยะเวลาสั้นๆให้ดำเนินไปพร้อมกับเสียงหัวเราะสดใสของอีกฝ่ายด้วยความหวังที่ว่ามันจะสงบลงในไม่ช้าและรู้สำนึกผิดได้เร็วๆสักที

     

    มองฝนแล้วทำหน้าเศร้ามันก็มีอยู่ไม่กี่สาเหตุหรอกคุณ ผมก็แค่บังเอิญเดาถูก

     

    แสนรู้จริง

     

    ขอบคุณที่ชมครับ” ราวกับว่าไม่ทุกข์ไม่ร้อนสักนิดในความผิด แถมยังต่อบทสนทนาไปได้เรื่อยๆ และคงเป็นเพราะต้นทุนใบหน้าที่ไม่ว่าจะทำอะไรผิดสักแค่ไหนแต่พอคนได้เห็นความออดอ้อนก็พากันพร้อมใจให้อภัยด้วยแล้วแหละมั้ง บวกกับดวงตากลมที่กำลังส่งสายตาแป๋วๆมาราวกับว่ายังเป็นเด็กน้อยขี้สงสัยก็เล่นเอาความไม่สบอารมณ์ที่มีอยู่ก่อนหน้าหายวับหมดไปในพริบตา นี่ คุณได้ยินมั้ย

     

    อะไร ความจริงจังที่แนบมาพร้อมกับท่าทางเอียงหูเข้าหาให้ใส่ใจลองขยับตัวตามหาต้นเสียงไปด้วยกันพร้อมอีกคน และในไม่ช้าก็กลายเป็นว่าเค้ากำลังโดยกลั่นแกล้งให้เสียรู้อีกครั้งเมื่อการเอียงหูฟังมันมาหยุดนิ่งอยู่ใกล้ๆที่อกด้านซ้ายตรงตำแหน่งหัวใจพอดิบพอดี

     

    เสียงดังเป๊าะๆอะคุณ อกคุณมันหักเสียงดังฟังชัดมากเลย

     

    “คุณนี่มัน...ที่บ้านไม่สอนเรื่องมารยาทหรือไงว่ากลับเพื่อหวังให้อีกคนไม่ทำตัวเสียมารยาทมากไปกว่าที่เป็น ในขณะที่มือก็เลื่อนไปผลักศีรษะที่กำลังเอียงข้างเข้ามาหาชิดใกล้กับตำแหน่งหัวใจรู้สึกที่ว่ามันชักจะมากเกินไป หากถ้าไม่ใช่เพราะเค้าเอี้ยวตัวหลบเพื่อเว้นระยะห่างได้ทันแล้วล่ะก็ใบหน้าน่ารักนั้นคงแนบชิดมาลงสนิทเสียแล้ว

     

    เพราะในเวลานี้มันคงไม่ดีแน่ๆ หากถ้าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังโครมครามแทนเสียงอกหักดังเป๊าะๆ...

     

    แม้เจ้าตัววุ่นวายจะขยับตัวออกเพราะการดันหนีของฝ่ามือให้ห่างแต่กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆที่ตอนแรกยังไม่ได้ใส่ใจเพราะกลิ่นดินกลิ่นฝนที่มีอยู่ชัดเจนมากกว่า ข้อสรุปกับท่าทีของอีกคนที่กำลังเป็นบังเกิดในความคิดทันทีอย่างไม่ต้องสงสัยต่อว่ามันคืออาการเมาแน่ๆ ก่อนจะตั้งมั่นกับคติในใจพร้อมกับตัวเลขที่เริ่มนับใหม่ให้มีจำนวนไปไกลกว่าเดิมอีกรอบ

     

    อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา

    ก็ขอให้คตินี้อยู่กับเค้าไปนานๆ จนกว่าฝนจะเลิกตกแล้วกัน...

     

    นี่ คุณไม่ได้ยินจริงๆหรอ?” อีกครั้งกับคำถามที่คล้ายว่ากำลังกวนประสาทแบบเดิมราวกับว่าคนถามไม่เข็ดหลาบกับการโดนต่อว่า

     

    ไม่ได้ยินผมว่าคุณควรหุบปากนะ เราสองคนไม่รู้จักกันดังนั้นควรอยู่เงียบๆ โอเค๊?” เพราะคิดว่ากำลังโดนแกล้งหรืออะไรสักอย่างที่เอ่ยออกมาแซว ถ้อยคำปฏิเสธจึงบอกปัดออกไปอย่างไม่เสียเวลาคิดฟัง พร้อมกับการหันหนีไปด้านข้างและกวาดสายตาไปอีกทางเมื่อคิดๆดูแล้วว่าวิวทิวทัศน์รอบข้างที่แม้ว่าจะมีภาพที่ไม่อยากเจอกับสายฝนที่กำลังกระหน่ำมันมีคงมีอะไรให้น่าสนใจมากกว่าสิ่งสวยงามแต่ปากไม่ค่อยสร้างสรรค์ตรงหน้า

     

    ก็บอกหัวใจคุณไม่ให้เต้นดังเป๊าะๆแล้วฟังสิ” การกระทำตัดความน่ารำคาญที่เรียกเสียงจิ๊จ๊ะให้ดังได้จากคนเมาช่างพูดพร้อมด้วยคำแซวอย่างไม่กลัวการโดนดุที่กลับมาทำงานอีกครั้ง ก่อนจะถือวิสาสะด้วยการยื่นมือเล็กๆทั้งสองข้างไปแตะใบหน้าของคนที่หันเอียงหนีให้กลับมาตั้งตรงเผชิญหน้ากันตามเดิม ใช้ใจฟังนะ จะได้ยินชัดๆ

     

    ราวกับเป็นช่วงเวลาชะงักงันที่หยุดทุกสรรพสิ่งรอบกายไม่ให้เคลื่อนไหวต่อ เหลือเพียงแค่ตอนนั้นที่สองสายตามองสบกัน พร้อมกับตัดสรรพเสียงอื้ออึงรอบตัวของสายฝนและผู้คนจอแจรอบกายให้หายวับในฉับพลัน แปรเปลี่ยนจากก่อนหน้าที่ไม่ได้ยินให้กลายเป็นการได้ยิน โสตประสาทเปิดการรับรู้ของเสียงเพลงที่ลอยตามลมมาได้ฟังชัดๆอีกครั้ง

     

    ได้ยินหรือยัง?”

     

    อืม

     


    Tonight’s the night when we forget about the heartbreaks...

    It’s time...

     


    ณ ตอนนี้ที่ได้ยินเสียงเพลงดังฟังชัด พอๆกับเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามของตน

    เป็นเสียงสัญญาณที่คล้ายว่าความเศร้ากำลังเลื่อนหาย

    และค่อยๆถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกจางๆบางอย่างแต่ก็ยังไม่แน่ใจ

     


    I don’t know about you...

    But I’m feeling 22...

     


    การขยับหัวกลมให้ไหวโยกเบาๆ และรอยยิ้มเปี่ยมสุขปล่อยอารมณ์ผ่านบทเพลงที่ได้ยินและลอยมาตามลมที่จุดกำเนิดคงเป็นสถานบันเทิงไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้ ท่าทางน่ารักพร้อมกับพลังงานดึงดูดเกินร้อยชวนให้คนมองอยู่เผลอยิ้มแล้วขยับตัวตาม ในท่อนไหนที่จำเนื้อได้ก็จะขยับปากเปล่งเสียงส่วนท่อนไหนที่ลืมเลื่อนก็จะถูกแทนที่ด้วยการฮึมฮัม เสียงหวานเอ่ยคลอแม้จะไม่เป็นประโยคบ้างไม่เป็นประโยคบ้าง หากแต่ก็มีท่อนที่มีการลงคำเน้นย้ำราวกับว่าอยากสื่อความหมายไปถึงอีกคนที่กำลังฟังอยู่ใกล้ๆ

     


    “...Everything will be alright if you keep me next to you...”

     


    อยู่ใต้ท้องฟ้าก็ไม่ควรกลัวฝนสิอยากเล่นน้ำฝนด้วยกันมั้ย?”

     

    บทสนทนาที่ถูกเปลี่ยนไปตามอารมณ์ปุบปับโดยที่อีกคนใกล้ๆไม่ทันตั้งตัวและเหมือนว่าคนชวนจะไม่รอคำตอบเสียด้วย ประตูตู้โทรศัพท์ที่เปิดออกก่อนที่ร่างกายจะขยับก้าวออกไปในทันทีในขณะที่สองมือเล็กก็เลื่อนลงมาจับจูงกับสองมือใหญ่ให้เดินออกตามมา

     


    You don’t know about me...

    But I’ll bet you want to...

     


    เด็กหน่า

     

    ก็เด็กแล้วไง ใครแคร์?”

     

    ท่าทางยักไหล่ราวกับว่าไม่สนโลกแต่ใบหน้าน่ารักกลับกำลังปล่อยสเตปการออดอ้อนเสียจนหัวใจเริ่มสั่นระรัวเต้นไม่เป็นจังหวะ แม้จะมีฝ่ายคนรั้งที่ไม่อยากขยับไปด้วยสักแค่ไหนแต่ด้วยใบหน้าน่ารักที่เหมือนกับว่าเกิดมาเพื่อให้คนทั้งโลกพร้อมตามใจที่กำลังเฉิดฉายจึงไม่ยากเลยที่คนมองจะใจอ่อนขอยอมความและปล่อยให้เป็นไปตามดั่งใจของคนชวนในที่สุด

     

    ดึกดื่นท่ามกลางเส้นทางที่เคยมีเพียงความว่างเปล่ากับแสงไฟข้างถนนสาดส่อง แปรเปลี่ยนเป็นผู้คนรายล้อมให้สนุกไปกับค่ำคืนแรกเริ่มต้นปี เช่นเดียวกันกับคนสองคนโดยมีหนึ่งคนนำด้วยจังหวะการก้าวเดินที่ปล่อยให้เป็นไปตามความสนุกของเสียงเพลงจับจูงมืออีกคนที่ก้าวเดินและมองตามมา

     


    Everything will be alright if we just keep dancing like we’re...

    22...

     


    ราวกับเป็นภาพนางฟ้าตัวน้อยเริงระบำในสายฝนที่ยิ่งมองก็ยิ่งเผลอปล่อยหัวใจลอยไปให้มันโลดแล่นตาม...

     

    ในวินาทีนั้น... ที่แม้ไม่อยากยอมรับแต่ขาข้างหนึ่งก็ขยับย่างเข้าไปใกล้...  

    คล้ายกับว่าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าเพียงแค่ในอีกไม่ไกล...

    คงเผลอก้าวตกลงไปในหลุมรัก...

    ทุกที...

    ทุกที...

     

    โอ๊ะเสียงร้องเบาๆเมื่อคนในจินตนาการเกิดก้าวพลาดขยับตัวหมุนในมุมผิดทิศ เผลอขยับร่างกายผิดจังหวะจนขาทั้งสองข้างก้าวเกือบพันกัน หากแต่ก็ยังโชคดีที่อีกคนที่แม้จะปล่อยให้หัวใจหลุดลอยไปไกลแต่กลับคว้าร่างนั้นไว้ก่อนที่จะล้มได้ทันซะก่อน

     

    ระวังหน่อยสิ” น้ำเสียงที่พยายามปรับให้ราบเรียบไม่แสดงความรู้สึกใดๆมากมายเพราะกลัวว่าหากใส่ความรู้สึกลงไปเต็มร้อยแล้วจะไม่ได้กลับมาอย่างที่หวัง หากแต่ความห่วงใยที่เจือปนไปในน้ำเสียงนั้นกลับปรากฏชัดเจนด้วยทางอื่น นั่นคือทางประกายสายตาและอ้อมแขนที่กำลังโอบกอดรั้ง

     

    เพราะร่างกายที่ขยับเข้าใกล้กันเมื่อครู่และในไม่ช้าที่การขยับจะยิ่งเข้าใกล้กันยิ่งกว่า 


    จากเดิมที่ร่างกายหันหน้าเข้าหา โอบล้อมกายบางให้ตกอยู่ในอ้อมแขนไม่มีส่วนใดแนบชิด กลับถูกทำให้แนบสนิทด้วยความรู้สึกที่กำลังค่อยๆดึงดูดสองใบหน้าห่างกันให้เข้าหา ให้ดวงตาคมได้มองสบเข้ากับดวงตากลมอีกครา


    ในวินาทีที่คิดว่าริมฝีปากทั้งสองจะต้องแตะแนบสนิทกันแน่ๆ หากแต่ในความเป็นจริงมันกลับตรงกันข้ามกันเมื่อในวินาทีต่อมาเรียวนิ้วของคนแปลกหน้าขยับไปแตะแผ่วเบาทิ้งสัมผัสไว้ที่ริมฝีปากให้รู้สึกเสียดายกับความคิดล่องลอยที่คงไม่เป็นจริง

     

    คุณน่ะ กำลังหนาวนะ เหมือนผมเลย

     

    นิ้วเล็กที่ลากไล้วนอยู่ตรงกลีบปากโดยในบางครั้งที่ปลายเล็บทิ้งสัมผัสสะกิดไปยังฟันคม 


    มันเป็นเพียงการกระทำแค่นั้นแต่กลับเรียกความรุ่มร้อนในกายให้พลุกพล่านตัดกันสุดขั้วกับความเย็นบนผิวกายและอากาศภายนอกได้อย่างน่าประหลาด

     

    ทั้งสัมผัสทั้งแตะต้อง...

    หากแต่สุดท้ายก็ละออกคล้ายว่ากำลังกระตุ้นให้อยากแล้วจากไปในไม่ช้า...

     

    ปากก็เย็นหมดแล้วด้วยผมช่วยทำให้คุณอุ่นขึ้นเอามั้ย?”

     

    ประกายสายตาเชื้อเชิญกำลังกระตุ้นการปลุกเร้าได้อย่างแยบยลพร้อมกับความหมายส่งตรงมาว่าอนุญาตให้สัมผัส ให้รังแก และแสดงความเป็นเจ้าของ

     

    เสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะจนแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ เมื่อไม่มีการห้ามปรามใดๆต่อจากนี้ มือใหญ่ที่เคยโอบรั้งเอวบางไว้ค่อยๆเลื่อนต่ำ ปรับระดับจนคลอเคลียเข้าใกล้บริเวณขอบสะโพก เปลี่ยนบทบาทของตนจากเดิมที่เป็นฝ่ายคล้อยตามขึ้นมาเป็นฝ่ายชักนำ ในขณะเดียวกัน ณ ตำแหน่งไหล่มนก็ถูกริมฝีปากไล่ละเรี่ยจุมพิตซ้ำๆพร้อมปล่อยลมหายใจให้ไหลรินลดไปช้าๆ ก่อนจะทิ้งถ้อยคำแนบกระซิบเข้าที่ใบหูเป็นสิ่งสุดท้ายของการรับรู้

     

    คอนโดผมอยู่ใกล้ๆแถวนี้

     

    .

    .

    .

     

    สนใจจะไปด้วยกันต่อมั้ย?”

     

    อืม เอาสิ

     


    It feels like one of those nights...

    We ditch the whole scene...

    It feels like one of those nights...

    We won’t be sleeping...

    It feels like one of those nights...

    You look like bad news...

    I gotta have you...

    I gotta have you...

     

     

    .

    ||+~+~+~+~+~+~+~+~+~+~+~THE END~+~+~+~+~+~+~+~+~+~+~+||

    .


    .


    .


    .

    by... dereine_

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in