เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
รีวิวเว้ย (3)Chaitawat Marc Seephongsai
เมื่อพ่อของฉันถูกฆ่า By หลง อึ้ง แปล นรา สุภัคโรจน์
  • รีวิวเว้ย (1888) "เกิดสงครามพันครั้ง เด็กก็ยังสวยงาม เป็นเพียงแค่สงคราม ความเดียงสาเท่าเดิม" (เนื้อเพลงกล้วยไข่-เฉลียง) หน้าที่ประการหนึ่งของสงครามในอดีต คือการสอนและกระตุ้นเตือนให้คนจดจำถึงความเลวร้ายที่เกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์ แต่หลายหนมนุษย์มีความทรงจำที่สั้นเกินไป หรือที่จริงพวกเขาตาบอดเพราะเห็นถึงผลประโยชน์ของตนจนมองไม่เห็นชีวิตของคนอื่น และมองเห็นชีวิตของผู้คนเป็นเพียงรายชื่อบนกระดาษที่ระบุชื่อ/สกุล และตัวเลขบนรายงานสำมะโนประชากร ที่จะเพิ่มหรือลดก็มิใช่เรื่องสำคัญแต่ประการใด
    หนังสือ : เมื่อพ่อของฉันถูกฆ่า
    โดย : หลง อึ้ง แปล นรา สุภัคโรจน์
    จำนวน : 230 หน้า
    .
    หลายครั้งชั่วโมงเรียนวิชาประวัติศาสตร์เริ่มต้นขึ้นจาก "หนัง" ทั้งเรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 หลายครั้งการเล่าเรื่องสงครามผ่านหนังสามารถสร้างความรับรู้ในประวัติศาสตร์ได้มากกว่าเนื้อหาในวิชาเรียน รวมไปถึงหนังอิงประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างต่อเนื้อ ถึงเรื่องราวมันจะจริงบ้าง แต่งบ้าง แต่ในหลายครั้งมันก็ฉุดให้เราตั้งคำถามและตามไปค้นหาความจริงต่อ 
    .
    การ "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ครั้งใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยการนำของกองทัพ "เขมรแดง" ที่ฆ่าชีวิตชาวกัมพูชาร่วมชาติ ไปกว่า 2 ล้านราย (ตามรายงาน) อันเป็นผลมาจากความคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองของเขมรแดงที่พยายามจะสร้างความเป็นเลือดบริสุทธิ์ให้กับชาวกัมพูชาที่แท้จริง
    .
    "The Killing Field" เป็นหนังที่ออกฉายเมื่อปี พ.ศ. 2527 เกี่ยวกับเรื่องราวของ "ทุ่งสังหาร" และชีวิตชาวกัมพูชาในช่วงเวลาที่กองทัพเขมรแดงเข้าครองอำนาจภายในประเทศ โดยบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของชาวกัมพูชาภายหลังการยึดอำนาจจากรัฐบาลลอนนอน และเขมรแดงได้ทำการเปลี่ยนแปลงประเทศภายใต้แนวคิดทางการเมืองแบบใหม่ ภายหลังกองทัพเขมรแดงได้เริ่มกวาดล้างผู้คนที่เป็นฝ่ายตรงข้าม สร้างค่ายกักกันแรงงาน ใช้แรงงานกลุ่มคนมีฐานะ (คนเมือง) ซึ่งในท้ายที่สุดก็ค่อย ๆ สั่งหารคนเหล่านั้นลงที่ละคน สองคน กระทั่งตัวเลขไปหยุดอยู่ที่กว่า 2 ล้านคนตามรายงาน แต่หนังเรื่อง "The Killing Field" ได้ถ่ายทอดเพียงบางด้านบางมุมของเรื่องราวผ่านสื่อกลางอย่างหนัง ทำให้หลายครั้งเรามักตั้งคำถามว่าความโหดร้ายรุนแรงเหล่านั้นถูกทำให้รุ่นแรงยิ่งขึ้นจากความเป็นจริงรึเปล่า ?
    .
    กระทั่งเมื่อมีโอกาสได้เห็นเรื่องราวของหนังเรื่องหนึ่งที่มีเหตุการณ์เกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยเขมรแดงใน NETFLIX ที่พูดถึงเรื่องราวของชีวิตเด็กหญิงคนหนึ่ง ที่ครอบครัวถูกทำร้ายและทำลายโดยกองทัพและอุดมการณ์ของพวกเขมรแดง หนังเรื่อง "First They Killed My Father" หรือในชื่อไทยว่า "เมื่อพ่อของฉันถูกฆ่า" 
    .
    นอกจากหนังแล้ว "เมื่อพ่อของฉันถูกฆ่า" ยังมีในรูปแบบหนังสือที่แค่ดูจากหน้าปกและอ่านเพียงแค่คำโปรยก็ทำให้หดหู่ไปได้ชั่วครู่ชั่วยามแล้ว หลังจากที่คัดสินใจซื้อหนังสือเรื่อง "เมื่อพ่อของฉันถูกฆ่า" มาอ่าน ทำให้ยิ่งเข้าใจว่าการอ่านหนังสือประเภทบันทึกเรื่องราวความโหดร้าย ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อผู้เล่าถ่ายทอดมันออกมาจากสายตาและความรู้สึกในวัยเด็กแล้ว มันยิ่งทำให้หนังสือเล่มนี้ ต้องใช้พลังกายและพลังใจในการอ่านที่มากไปกว่าหนังสือทั่ว ๆ ไป ที่อาจจะใช้เวลา 1-2 วันในการอ่าน แต่สำหรับ "เมื่อพ่อของฉันถูกฆ่า" มันกลับต้องใช้เวลามากกว่าเดิม 2-3 เท่าเพื่ออ่านให้จบ เพราะในแต่ละหน้าในแต่ละตัวอักษรมันเก็บซ่อนความทุกข์ ความเศร้า ความทรงจำอันเลวร้ายเอาไว้ในแทบทุกคำที่สายตาทอดผ่าน 
    .
    "เมื่อพ่อของฉันถูกฆ่า" เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ถ่ายทอดเรื่องราวของความเลวร้ายที่เกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์ ที่มีต่อมุษย์ด้วยกัน โดยไม่ต้องแยกแยะว่าเป็นใคร โดยไม่ต้องแยกแยะว่าเพราะอะไร ความโหดร้ายเหล่านี้ คือ เครื่องเตือนสติที่ว่า "มนุษย์นั้นเลวร้าย" ซึ่งนี่เป็นเพียงแค่เหตุการณ์หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์อันเลวร้ายของมนุษยชาติเท่านั้น หากนับจริง ๆ แล้วความเลวร้ายที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์น่าจะยังมีอีกมาก ไม่นับรวมถึงความเลวร้ายของมนุษย์ที่กระทำต่อสิ่งมีชีวิตอื่น เพียงเพราะสถานะบางอย่างที่เราคิดว่าพวกเรามีเหนือกว่า หนังสือ "เมื่อพ่อของฉันถูกฆ่า" จึงเป็นเครื่องมือในการย้ำเตือนว่า "มนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่เลวร้ายที่สุด นับตั้งแต่ที่โลกใบนี้มีมนุษย์อุบัติขึ้นมา"

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in