เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ฉันในวันที่ถังแตกแล้วargentumnm
ฉันกับการอยู่คนเดียวคือขาประจำ
  • ตั้งแต่เด็กจนตอนนี้เข้ามหาวิทยาลัยจนจะจบอยู่แล้วช่วงปีสุดท้ายชีวิตมหาลัยจนตกผลึกว่า ที่ฉันใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวมายาวนานฉันก็เป็นคนเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ ตอนวัยเด็กเพื่อนเล่นวัยเดียวกันแถวบ้านก็มีน้อยมาก เด็กผู้หญิงผู้ชายเขาก็จับกลุ่มกันเองเล่นๆหัวๆมาแต่ไหนแต่ไร ส่วนเราเป็นคนมาใหม่ทุกครั้งฉันก็มักจะเป็นส่วนเกินเสมอ บางครั้งมันก็ดูฝืนๆ บางทีก็สนุกสนาน
    จนเข้าวัยเรียนมัธยมก็แยกย้ายไปคนละโรงเรียน ในโรงเรียนสังคมรวมหมู่คนอื่นอาจจะได้รับมิตรภาพที่แสนดีเพื่อเอามาเป็นคอนเทนต์ว่า เพื่อนสมัยมัธยมที่ดีที่สุดของคุณคือใคร เหตุการณ์ที่ดีที่สุดของคุณกับเพื่อนคืออะไร อะไรแบบนี้ฉันที่มักจะเบือนหน้าหนี เพราะฉันเผชิญกับข้อเสียสังคมรวมหมู่ พวกมากลากไป เอาแต่รวมกลุ่มวันๆคิดแต่เรื่องไม่สร้างสรรค์คอยยุแยง คิดติฉินนินทาคนที่เขาแตกต่างจากตัวเอง แล้วตัวตั้งตัวตีว่าตัวเองหัวโจกคนนี้ผู้ตาม กับสังคมที่เห่อตามกันไอ้ตั้งใจเรียนทำตัวเป็นประโยชน์นี่นะไม่แตะ วันๆคิดสรรหาแต่เรื่องชวนกันเกลียดคนนั้นคนนี่ "อย่าไปคบกับอีนี่นะ" มันไม่ให้ลอกการบ้าน มันไม่มีไอ้นั่นไอ้นี่เหมือนเรา อีนั่นมันแอ๊บตอแหล(ก็พ่อแม่เขาสอนมาดีกว่าตัวเองอ่ะ) ฯลฯ สารพัดที่สังคมรวมหมู่พวกมากลากไปจะสรรคิด บางคนที่เคยเจอหนักกว่าเราถึงขั้นโดนแอนตี้จากสังคมมัธยม จนเจ้าตัวไม่รู้อิโหน่อิเหน่ มันคือ trauma มากๆสำหรับสังคมที่คลั่งไคล้การยอมรับ การทำอะไรไปในทางเดียวกันมากไปซึ่งผู้เขียนเองก็ไม่ค่อยสบายใจนัก บางครั้งบางทีสังคมรวมหมู่ สังคมที่หลอกตัวเองว่าการมีเพื่อนคือสิ่งจำเป็นมันคือการหาแดกผลประโยชน์ทางตรงและอ้อม มันเป็นอะไรที่ชวนเสียความรู้สึก ชวนหัวเสียอยู่ร่ำไปเช่น ถ้าตัวเขาไม่มีปัญหาคงไม่วิ่งเสนอหน้ามาให้เราช่วย พอหลังจบก็ไปหายต๋อมทำยังกับไม่รู้จักกัน มันน่านัก เป็นต้นบทจะเจอเพื่อนที่ดีด้วยก็ต้องจากลาในชีวิตผู้เขียนเจอเพื่อนที่ความคิดความอ่านตรงกัน รสนิยมใกล้เคียงกัน บางครั้งคิดต่างแต่มันก็รับฟังกันได้ก็ต้องพรากจากกัน เช่น เธอคนนั้นย้ายบ้านตามพ่อแม่ไปคนละภาคจากผู้เขียนอยู่ หรือเพื่อนผู้เขียนต้องลาออกกลางคันไม่มีเงินจากทางบ้านส่งเรียน ทำไมนะทำไมเพื่อนที่ดีพระเจ้าต้องพรากจากกันลง แถมช่วงที่พลัดพรากกันก็ไม่มีคอนแทคติดต่อ หลายปีความทรงจำชัด แต่หากันไม่เจอเหมือนอยู่คนละมิติเวลาเลย
    เมื่อผู้เขียนเข้ามหาลัย ฉันก็ประสบปัญหาทางการเงินของทางบ้านอย่างหนักหน่วง หนี้สินของผู้ปกครองเริ่มพอกพูนจนไม่อาจส่งฉันเรียนหนังสือได้เต็มที่ ต้องเรียนไปใช้ชีวิตอดอยาก ฉันใช้เวลา 2 ปีงมหากับชีวิตการหาเงินไปด้วย เรียนไปด้วย บอกเลยว่าทำ 2 สิ่งนี้พร้อมกัน performance ของฉันอาการแย่ เรียนก็แย่ เพราะไม่มีเวลาอ่านค้นคว้าตามทัน มัวแต่หาเงิน แต่การหาเงินนั้นก็ไม่ได้เพียงพอกับการใช้ชีวิตมหาลัยที่ฉันอยู่ ซึ่งค่าครองชีพสูงเว่อวัง มันค่อยๆกดดันผู้เขียนไม่อยากเจอใครมากขึ้น รู้ตัวอีกทีปีสุดท้าย ปี4 เป็นปีที่การเงินฉันนั้นยังอยู่ได้กินได้จ่ายค่าหอได้ไม่ช็อตดังปี 1-3 แต่รู้ตัวอีกทีฉันเสียเวลา ฉันเสียโอกาสที่จะทำความรู้จักคนในสังคมไปประมาณหนึ่ง ทั้งๆที่ฉันน่ะน่าจะเจอคนคิดเหมือนกัน เคมีตรงกัน สเปคตรัมการเมืองใกล้กัน รึบวกกับฉันไม่ไม่นิยมและไม่แยแสกับความ Unity ความกลมเกลียวอะไรที่เขาอินกัน แต่แบบโลกมันจะไม่เหวี่ยงซัก 1 คนมาเลยหรือไง จนจะเทอม 2 ฉันมีโอกาสเจอเพื่อนในทวิตที่เคยรู้จักกันปี 59 ได้พานพบเจอกันฉันรู้สึกว่านี่แหละเพื่อนที่โคตรคุยกันได้ แต่ฉันเสียดายอีกเทอมเดียวก็จบแล้วหลังจากนี้มันก็ต้องแยกย้ายในบันไดชีวิตหลังเรียนจบ หางาน มันคงไม่ใช่ช่วงเวลามากิน เที่ยว เฉกเช่นนี้
    และแล้วชีวิตจุดพีคก็มาถึงบ้านที่ไม่ใช่ Safezone ไม่น่าอยู่ของฉันน้าคนรองผู้ชายขี้เมา นิสัยไม่ดีชอบเกาะยายและแม่ฉัน ผู้สร้างภาระในครอบครัวอันดับ 1 งานการไม่ยอมทำ ก่อแต่ปัญหาทางการเงิน ชีวิต ครอบครัว ไม่เคยมีคำว่าเกรงใจสมาชิกครอบครัวคนอื่น มันรบกวนอาณาบริเวณความเป็นส่วนตัว มันเริ่มหาเรื่องฉัน ด่าทอด้วยความเสียสติต่อให้ไม่เมา ไอ้บ้านี่ไม่ใช่คนมีสัมปชัญญะใดๆ มันด่าฉันหลังจากที่ฉันไม่พอใจที่มันเอาคนในบ้านมาสังสรรค์เสียงดัง เผาฟืนไฟจนเกินขอบเขต มันด่าฉันแล้วยกเรื่องว่า "มึงไม่รู้จักสังคมหรอ?" ก็นะ ถ้าสังคมที่มึงอยู่ๆแล้วมันเบียดเบียนคนอื่น กูอยู่คนเดียวดีกว่าทุกบันไดแต่ละขั้นของชีวิต กูอยู่คนเดียวได้ อย่าเสือก

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in