เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Better DaySopon Supamangmee
จนกว่าวินาทีสุดท้าย
  • จนกว่าวินาทีสุดท้าย5 เดือน 24 วัน คือจำนวนวันที่ผมนั่งปั่นต้นฉบับของหนังสือเล่มใหม่

    เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นในวันที่ 1 กันยายนปีที่แล้ว มีสนพ.ที่ผมชื่นชอบแห่งหนึ่งมาออกบูทที่เชียงใหม่ ตอนนั้นเขาเปิดรับต้นฉบับหนังสือเพื่อให้ บก.อ่าน ผมเองมีต้นฉบับในมืออยู่แล้วเล่มหนึ่งเลยลองส่งไปให้เขาอ่าน ซึ่งเจ้าต้นฉบับเล่มเนี้ยถูกปฏิเสธมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ผมก็ยังดื้อดึงที่จะส่งไปให้ทาง สนพ. อ่าน

    ปาฏิหารย์มีจริงครับ บ่ายวันถัดมาผมได้รับอีเมลตอบกลับเพื่อนัดเจอกันเวลาบ่ายสองโมงในวันที่ 3 กันยายน เคยเห็นดีใจจนเนื้อเต้นไหมครับ? ตัวมันจะสั่นๆเก็บอาการรอยยิ้มแก้มปริไม่อยู่ คนแรกที่ผมคิดถึงตอนนั้นคือภรรยา ผมรีบหยิบโทรศัพท์โทรไปบอกภรรยา

    โสภณ : “ที่รัก บก. เลือกให้พี่ไปคุยด้วยล่ะ ไม่น่าเชื่อ”
    ภรรยา : “จริงดิ ดีใจด้วยนะที่รัก”
    โสภณ : “อืม...ไม่น่าเชื่อเลย”
    ภรรยา : “นี้คือเธอแน่ใจใช่ไหมว่าเขาไม่ได้นัดผิดคน?”
    โสภณ : “...”

    เออนั้นสิ...​

    มันคงดูแปลกๆถ้าไปมือเปล่าโดยไม่เอางานติดตัวไปด้วยเลย ผมรีบบึ่งไปปริ้นต์ต้นฉบับหนังสือเล่มที่ส่งไปให้พวกเขาพิจารณามาใส่ซองเอกสารสีน้ำตาล จัดวางข้างกระเป๋าสะพายเพื่อไม่ให้ลืมหอบไปด้วยในเช้าวันพรุ่งนี้ คืนนั้นทั้งคืนผมนอนคิด “นี้มันกำลังจะเกิดขึ้นจริงๆเหรอเนี้ย” การถูกปฏิเสธมาหลายครั้งหลายคราจนชาชินกับคำว่า “ไม่ผ่าน” ทำให้ความรู้สึกในตอนนั้นคล้ายกับเป็นความฝันมากกว่าความจริง

    เช้าวันต่อมาผมขับออกจากบ้านตั้งแต่เก้าโมงครึ่ง เวลาทั้งหมดสามชั่วโมงในการขับรถจากที่ฝางไปเชียงใหม่ผมนั่งคิดไปตลอดทางว่าจะคุยอะไรกับพวกเขาดี จะทำตัวยังไง แล้วถ้าเกิดเขานัดผิดคนจริงๆขึ้นมาเราจะรับได้ไหม ตอนนั้นจะทำหน้ามึนยังไงดี เอียงซ้าย เอียงขวา คือความคิดแตกซ่านละเอียดกระจายไปคนละทิศละทาง

    คงเป็นความตื่นเต้นผสมกับนิสัยส่วนตัวที่ไม่ชอบมาสาย ผมมาถึงประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนเวลานัด เลยมีโอกาสไปโต๋เต๋เวิ่นเว้อที่บูทงานของสนพอยู่นานพอสมควร พอเห็นหนังสือเป็นร้อยปกที่วางขายหัวใจก็รู้สึกเต้นโครมครามอีกครั้งหนึ่ง “ในอนาคต ตรงนี้จะมีหนังสือของผมวางขายอยู่ไหมนะ?” ใช่ครับ มันเป็นความคิดเข้าข้างตัวเองที่เพ้อฝันขั้นเมากาวสร้างมโนภาพ แต่เอาเหอะ...อย่างน้อยๆแค่ได้ฝันก็ยังดี

    เดินอ่านหนังสือเล่นไปครึ่งชั่วโมง อุดหนุนหนังสือไปอีกสามเล่ม ในที่สุดผมก็เดินเข้าไปทักน้องคนหนึ่งที่น่าจะเป็นน้องๆพนักงานของ สนพ.

    โสภณ : “เอ่อ... ขอโทษนะครับ พอดีผมมาเจอ บก. ตามที่นัดไว้อะครับ แต่มาเร็วไปหน่อย”
    น้อง : “อ๋อ...เดี๋ยวนะคะ พี่โสภณรึเปล่า?”
    โสภณ : “ครับ” (อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้นัดผิดคนวะ)
    น้อง : “เดี๋ยวเรียก บก. ให้ รอแป๊บนึงนะคะ”

    สักพักชายหนุ่มหน้าตาดีอายุประมาณยี่สิบกว่าเดินเข้ามาทักทายอย่างเป็นกันเอง เราแนะนำตัวกันเล็กน้อยก่อนชวนกันไปนั่งคุยต่อที่ร้านกาแฟใกล้ๆ บรรยากาศโดยรวมค่อนข้างสบายๆ เลยทำให้ความประหม่าของผมลดลงไปเยอะเลยทีเดียว เราพูดคุยกันต่อว่าประวัติความเป็นมาของผมเป็นยังไง ทำไมถึงมาเริ่มเขียนหนังสือได้จากที่แต่ก่อนทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์อยู่ดีๆ ผมก็เล่าถึงความเป็นไปเป็นมาต่างๆตั้งแต่ต้นจนจบ เขาพยักหน้าฟังไปเรื่อยๆจนสุดท้ายก็อธิบายถึงเหตุผลที่เรียกผมมาคุยวันนี้

    “ช่วงที่พี่ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์น่าสนใจดีครับ อยากลองเขียนเอาท์ไลน์ส่งมาให้ผมดูไหม เผื่อมีโอกาสได้ทำงานด้วยกัน”

    สรุปว่าต้นฉบับที่เอามาคือไม่ได้ใช้และโดนปฏิเสธต่อไป (ก็ยังคงต้องพยายามกันต่อไปกับต้นฉบับเล่มนี้) สองคือหลังจากที่แนะนำตัวแบบเต็มๆ ได้ทราบชื่อเสียงเรียงนามของหนุ่มคนนี้แบบเต็มๆ อึ้งครับ...เขาเป็นเบื้องหลังของหนังสือดังไม่รู้กี่เล่มต่อกี่เล่ม และสุดท้ายตอนนี้ผมต้องเรียบเรียงชีวิตช่วงสิบปีก่อนออกมาเป็นเอาท์ไลน์หนังสือเล่มหนึ่ง ไม่ใช่งานง่ายๆเลยนะในการงัดแงะแกะความทรงจำเก่าๆมาต่อกันเป็นเส้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพราะยิ่งผ่านมานานเท่าไหร่ สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นหมือนหลอมรวมเป็นก้อนเดียวกันโดยไม่มีช่วงวันเวลาที่ชัดเจนมาเป็นตัวแบ่งคั่น แต่เอาวะ...ลองดูสักตั้ง

    ประมาณสองอาทิตย์ต่อมา โชคดีครับที่หลังจากกลับมานั่งเอาหัวเคาะคีย์บอร์ดให้ความทรงจำมันไหลออกมากองเป็นเอาท์ไลน์เสร็จ (ทั้งหมด 22 บท) ส่งไปให้ทางบก. อ่าน ซึ่งช่วงนั้นตรงกับงานหนังสือช่วงเดือนตุลาคมพอดี เขาบอกว่าเดี๋ยวหลังเสร็จงานเขาจะรีบอ่านให้เลย ผมเองทำอะไรไม่ได้นอกจากรอคำตอบด้วยความอดทน แต่ด้วยความเป็นคนที่อยู่นิ่งไม่ได้ ระหว่างนั้นก็เริ่มต้นเขียนต้นฉบับส่งไปให้เขาอ่านเรื่อยๆ (ตามเอาท์ไลน์ที่ยังไม่รู้เลยว่าจะผ่านรึเปล่านั้นแหละ) รู้สึกว่าอย่างน้อยก็ต้องทำให้เห็นตัวอย่างของงานว่ามันจะออกมาประมาณไหน

    เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเดือน ผมดำน้ำเขียนไปได้ประมาณหกบท ในที่สุดเขาก็ติดต่อกลับมา บอกว่า “น่าสนใจครับพี่ ผมแก้เอาท์ไลน์มาให้อ่านด้วย ถ้าพี่โอเคก็ลุยเลยครับ ส่วนที่เขียนมาน่าจะใช้ได้ประมาณสองบท ส่วนอื่นคงต้องเอาออกครับ” ลืมบอกไปครับว่าตอนที่คุยกันตั้งแต่ตอนแรก บก.คนนี้เตือนผมมาแล้วว่าทาง สนพ.ของเขาค่อนข้างจุกจิก ชอบเริ่มทุกอย่างจากศูนย์และค่อยๆปั้นงานไปกับนักเขียน ซึ่งจะต่างจากทางสนพ.อื่นที่นักเขียนส่งงานเข้ามาให้พิจารณาแล้วก็ตัดสินใจพิมพ์ไม่พิมพ์ ส่วนมากนักเขียนหลายคนก็ท้อไประหว่างทางเพราะความเรื่องมากของทางสนพ.เนี้ยแหละ

    หลังจากสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากอาการหน้ามืดรอบแรกเพราะงานหายไปสี่บท ผมก็กลับมาตั้งสตินั่งอ่านเอาท์ไลน์ใหม่อีกครั้ง มันดูชัดเจนขึ้นว่าทาง บก.อยากให้ภาพรวมของหนังสือออกมาแบบไหน สูดลมหายใจลึกๆแล้วเริ่มต้นเขียนกันใหม่อีกครั้งหนึ่งในช่วงเดือนสุดท้ายของปี 2016 พอดี ผมมีเวลาอีกสามเดือนกว่าในการเขียนต้นฉบับทั้งเล่มรวมอีดิตก่อนงานหนังสือเดือนมีนาคม

    การเป็นพ่อแม่มือใหม่และงานประจำที่ไม่มีวันหยุด ทำให้ผมมีเวลาว่างเขียนหนังสือจริงจังแค่วันละสองชั่วโมงช่วงสี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน (หลังจากภารกิจป้อนนมลูก ลูกหลับ ล้างขวดนม ซักผ้า ต้มน้ำซุปให้ลูก ฯลฯ) มันดูเป็นมิชชั่นโครตอิมพอสสิเบิล แต่มาถึงตรงนี้ผมไม่ถอยละครับ จะทำให้สุดเท่าที่ทำได้ตราบเท่าเวลายังเหลืออยู่นั้นแหละ

    ในช่วงเวลานั้นผมตัดขาดทุกอย่างที่เป็นมีเดีย ไม่ได้โหลดซีรี่ย์มาดู หนังยาวนี้ไม่ต้องพูดถึงคือไม่ได้แตะ ทีวีไม่มีโอกาสได้เปิด หนังสือไม่ได้อ่าน ข่าวสารเสพในระดับมินิมอล (เหมือนพอให้รู้ว่าโลกยังไม่แตกนะ) เวลาว่างทุกวินาทีผมทุ่มเททั้งหมดให้กับหนังสือเล่มนี้ (ขนาดนั่งขี้ก็ยังเขียนหนังสือคิดดูเหอะ) และแล้วก็เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้งส่งบททดสอบเข้ามาเรื่อยๆแบบไม่หยุดยั้ง หลายครั้งผมต้องเดินทางหลายวันไปต่างจังหวัดบ้าง พาลูกไปฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลที่เชียงใหม่บ้าง ลูกไม่สบายต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์บ้าง งานของร้านที่เร่งด่วนไปนั้นมานี้บ้าง ลูกฟันขึ้นไม่ยอมหลับกลางคืนร้องโวยวายจนเราก็ไม่ได้พักติดกันเป็นอาทิตย์ ตัวเองล้มป่วยอีกหลายต่อหลายครั้ง แต่เชื่อไหมครับ ตราบใดที่เวลายังคงเหลืออยู่ ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะเลิกเขียน นิสัยหัวดื้อไม่ยอมแพ้มีข้อดีในตัวมันเองในจังหวะชีวิตแบบนี้

    25 กุมภาพันธ์ 2017 เวลาตีหนึ่งครึ่ง ผมโพสต์สเตตัสลงบนเฟสบุ๊คส์ว่าในที่สุดก็เสร็จ ผมเสร็จก่อนเดดไลน์สามวัน น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว มันเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อเลยว่าผมทำได้จริงๆ ตั้งแต่เริ่มต้นมาจนถึงวินาทีนั้นมันคล้ายกับการสูดลมหายใจเข้าปอดครั้งใหญ่ มองเป้าหมายข้างหน้าที่ไกลสุดขอบสระ หลับตาแล้วเริ่มดำน้ำ ดีดขาเต็มแรงแขนกวาดน้ำพุ่งตัวไปข้างหน้า ในใจคิดอยู่อย่างเดียวว่า “อีกนิดเดียว แข็งใจไว้ อีกนิดเดียว...แข็งใจไว้...เราต้องทำได้” จนในที่สุดมือข้างหนึ่งที่ยื่นไปข้างหน้าเพื่อคลำหาเป้าหมายก็สัมผัสถึงบางอย่าง “ถึงแล้ว...นี้แหละ!!!” ชั่วขณะที่แหงนหน้าขึ้นมาหายใจอีกครั้ง เป้าหมายที่เคยห่างไกลอยู่ตรงหน้าแล้ว มันภูมิใจไม่น้อยเลยทีเดียว

    หลายครั้งที่ชีวิตเป็นแบบนี้แหละ โอกาสเข้ามา เราเริ่มทำอะไรสักอย่าง ระหว่างทางก็เริ่มเหนื่อยและท้อ บางครั้งก็เริ่มตั้งคำถามกับการตัดสินใจต่างๆนานา เจอปัญหาหนักๆเข้าก็เริ่มปล่อยวางคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก ในที่สุดก็หยุดและคิดว่าตัวเองยังไม่มีความสามารถมากพอ ทั้งๆที่ถ้ากลั้นใจตีขาต่อไปข้างหน้าอีกเพียงไม่เท่าไหร่ก็จะถึงเป้าหมายที่วางไว้อยู่แล้ว

    ผมอาจจะโชคดีที่เป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ การถูกปฏิเสธงานครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ได้มีผลทำให้ผมหยุดเดินไปข้างหน้า จริง...มันอาจทำให้ท้อ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เห็นว่าเรายังมีทางให้พัฒนาได้อีกไกลแค่ไหน โชคดีอีกอย่างที่ผมได้รับโอกาสในการเริ่มต้นเขียนหนังสือกับ สนพ.ที่ใฝ่ฝัน แต่ในขณะเดียวกันงานที่ต้องรับผิดชอบก็ไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำเสร็จได้ชั่วข้ามคืนแบบไม่ต้องใช้ความพยายาม

    ปัญหาทำให้เราแข็งแกร่ง ผมเชื่อแบบนั้น
    สำหรับใครก็ตามที่กำลังเริ่มต้นออกตามหาความฝัน จงเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองรักและทำมันอย่างสุดความสามารถ เชื่อเถอะว่าสักวัน อาจจะไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้ แต่สักวันผลของการทำงานหนักจะหวานหอมและคุ้มค่ากับหยาดเหงื่อที่ลงแรงไป ส่วนใครที่อยู่ระหว่างทาง กลั้นใจครับ...ดีดขาสุดแรง อย่าเพิ่งท้อ เชื่อเถอะว่า “เราจะทำได้ อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น”

    ตราบใดที่เวลายังคงเหลืออยู่ แม้เพียงเสี้ยววินาที...อย่ายอมแพ้ตัวเองนะครับ

    [ โพสต์ครั้งแรกที่ BOOKster.blog : https://goo.gl/rW4nm ]

    -------
    นอกจากงานเขียนบน storylog แล้วสามารถติดตามอ่านงานของผมและเพื่อนๆเหล่านักเขียนมากฝีมือได้จากที่ blog : bookster.blog นะครับ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in