เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[Fan fic ตัวร้ายอย่างข้าจะหนีเอาตัวรอดอย่างไรดี]impuniltd
Recreate [ฟิคตัวร้ายฯ Originalลั่วปิงเหอxเสิ่นจิ่ว]
  • AU ลั่วปิงเหอตื่นมาในที่ที่ตัวเองไม่ควรอยู่ ท่ามกลางความสับสนเขาพบใครบางคน



    ลั่วปิงเหอตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในห้องนอนอันโอ่อ่าของราชามารดั่งที่จำได้ แผ่นหลังในยามนี้แนบกับพื้นดินจนสัมผัสถึงไอเย็น เขายันตัวขึ้นมองไปรอบๆ ปรับสายตากับความมืดที่รายล้อม ดวงจันทร์เต็มดวงสว่างมากพอให้เขาพอมองเห็นที่ที่ตัวเองนอนอยู่ เงี่ยหูสดับจนแน่ใจว่าที่แห่งนี้มีแค่เขาจึงลุกขึ้นสำรวจ


    ทิวไผ่ยาวสุดลุกหูลุกตา กลิ่นที่ยังอยู่ในความทรงจำโชยแตะจมูก


    ลั่วปิงเหอเดินฝ่าป่าไผ่อย่างระมัดระวัง เขาคุ้นเคยกับที่แห่งนี้ดี รู้จักราวกับบ้านหลังที่สอง ทว่ายิ่งคุ้นชินเท่าไหร่เขาก็ยิ่งระแวงมากขึ้นเท่านั้น


    เพราะที่นี่คือชิงจิ้งเฟิ้ง ที่ซึ่งเขาทำลายลงเองกับมือ


    ใครก็ตามที่สร้างที่แห่งนี้รู้จักมันดีและรู้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างเขากับที่นี่


    บางที อาจรู้ถึงความผูกพันธ์ของเขาต่อยอดเขานี้ด้วยเช่นกัน


    เขาก้าวเท้าจังหวะสม่ำเสมอผ่านป่าไผ่ การได้กลับมาเดินในที่แห่งนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาด บางอย่างลึกในห้วงจิตใจกระเพื่อมเช่นก้อนกรวดที่ถูกปาลงแอ่งน้ำนิ่ง คลื่นน้ำจากแรงนั้นนำมาซึ่งความหลังทั้งส่วนที่เขาหลงลืมไปและที่ยังจดจำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน 


    เขาถอนหายใจ ไม่ยินดียินร้าย


    จะอย่างไรเสีย เขาก็เคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ กินนอนที่นี่ โตขึ้นที่นี่


    ความผิดพลาดและความแค้นหลายประการล้วนเกิดขึ้นที่นี่


    เขาสงสัยว่าเขาจะรู้สึกเช่นนี้หรือไม่หากเขาได้กลับไปยังเมืองที่เขาเคยอาศัยอยู่กับมารดา ณ ที่นั่นเขาได้รับความรักมายมากจากหญิงชาวบ้านธรรมดาผู้หนึ่ง ไม่นานนักนางก็ถูกช่วงชิงไปจากเขาด้วยสิ่งที่เรียกว่าชะตาสวรรค์ที่เขาไม่เคยเลื่อมใส บางทีเขาอาจเพียงแค่ไม่ควรคู่กับสิ่งบริสุทธิ์เช่นท่านแม่ของเขาก็เป็นได้  


    เขาเดินผ่านพื้นที่โล่งลับตาคนคุ้นตาในป่าไผ่ หนิงอิงอิงเคยชอบดีดกู่ฉินให้เขาฟังตรงนั้น


    นานเพียงใดแล้ว ที่ไม่ได้ยินเสียงนั้น


    ภาพเด็กหนุ่มสาวสองคนเคียงข้างกันในฤดูใบไม้ผลิยังคงชัดเจน เสียงกู่ฉินของหนิงอิงอิงไพเราะที่สุดสำหรับเด็กหนุ่มที่เฝ้ามองด้วยความตื่นตา 


    หนิงอิงอิงเป็นคนที่อยู่ข้างเขาในยามที่เขาถูกกลั่นแกล้งเสมอมา นางผิดหวังหรือไม่ โศกเศร้าเสียใจบ้างไหมยามที่รู้ว่าเขาไม่ได้มีนางเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว ไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อนางหรือภรรยาคนใดแม้แต่น้อย หากนางรู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร นางยังจะเลือกที่จะเป็นภรรยาของเขาหรือไม่


    เขาสงสัยเหลือเกิน


    ลั่วปิงเหอเดินมาถึงบริเวณที่พักศิษย์ในสำนักของชิงจิ้งเฟิง บ้านพักทุกหลังมืดสนิท เขามองเห็นภาพทับซ้อนของตัวเองในวัยเยาว์ครั้งที่เขายังบริสุทธิ์และอ่อนต่อโลกทั่วบริเวณแห่งนี้ ทุกที่ล้วนมีร่องรอยของเขาแทรกซึมราวกับรอยนิ้วมือที่ปรากฏบนภาชนะ


    เด็กน้อยนามลั่วปิงเหอกำลังถูกทำโทษให้เติมน้ำให้ทั้งสำนักที่ตรงนั้น


    เด็กคนเดียวกันถูกแย่งชุดเครื่องแบบสำนัก ณ ตรงนี้

    เขาแนบมือไปกับประตูโรงเก็บฝืนผุพัง มองเห็นภาพร่างตัวเองนอนคดด้วยความหนาวอยู่ข้างในผ่านรู ประตู


    เดินมาถึงโรงครัวที่เขาเคยถูกศิษย์พี่ร่วมสำนักสาดเศษอาหารใส่หน้า เสียงหัวเราะเยาะในยามนั้นดังก้องเกินไปสำหรับเด็กไร้ที่พึ่งคนนั้น


    ช่างน่าแปลกยิ่งนักเวลานั้นที่โดนกระทำ เขาเจ็บปวด ชอกช้ำและน้อยใจ ผูกเจ็บจนครั้งยามที่มีกำลังให้สู้กลับเขาแผดเผาจนสิ้นทุกสิ่ง


    ทว่าในยามนี้ แม้จะรู้ถึงความอยุติธรรมของการกลั่นแกล้งที่เกิดขึ้นกับตนอย่างชัดเจน กลับไร้ซึ่งความรู้สึกทั้งเจ็บปวดและอาฆาต


    เขาผู้ได้เป็นทั้งผู้ถูกกระทำและผู้กระทำ ยามนี้กลับรู้สึกราวกับเป็นเพียงผู้เฝ้าดูในวังวนเหล่านั้นในฐานะคนนอก


    แค้นก็ได้ชำระแล้ว แม้ไม่สาสมใจแต่ก็ไม่อาจกระทำมากกว่านี้ได้อีกแล้ว 


    เมื่อไม่อาจกระทำต่อได้ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะยึดถือความรู้สึกเหล่านั้นไว้


    บางทีในอนาคต เขาควรเก็บศัตรูไว้แล้วค่อยๆ ฆ่าทีละคน


    เช่นนั้นอาจสาแก่ใจกว่า


    เขาคิดพลางเดินต่อไป



    เขาหยุดที่หน้าเรือนไผ่อันคุ้นตา


    แม้ตนจะไม่ได้เข้าไปในเรือนนี้บ่อยนักเพราะเสิ่นชิงชิงรังเกียจเขาเกินกว่าจะเห็นหน้าเขาในเรือนไผ่เป็นประจำ แต่เขามักลอบมองเรือนนี้และผู้ที่พักอาศัยอยู่บ่อยครั้ง


    คล้ายเห็นภาพเด็กน้อยลั่วปิงเหอเฝ้ามองผู้เป็นอาจารย์ยามที่อีกฝ่ายนั่งริมหน้าต่างระหว่างที่ตนทำความสะอาดทางเดินแทนศิษย์พี่ร่วมสำนัก


    ราวกับสุนัขมองพระจันทร์


    โหยหา ปรารถนา ชื่นชมแต่ไม่อาจเอื้อมสิ่งที่สูงถึงปานนั้น


    เขาที่ยังเยาว์วัยไม่อาจเข้าใจความปรารถนาและความต้องการตัวเองในยามนั้น


    บางทีกระทั่งในตอนนี้ เขาเองก็ยังไม่เข้าใจ


    ไฟในเรือนนั้นยังสว่างอยู่


    มีใครบางคนอยู่ในนั้น


    เขาเดินเข้าไปเคาะประตูไม้ เฝ้ารอคนตอบรับ


    เสียงกุกกักดังพักหนึ่ง ประตูเปิดออก


    ใจเขาเต้นระรัว ความหวังที่ซุกซ่อนตัวอยู่ส่วนลึกในจิตใจแสดงตัวออกมา แสงไฟจากด้านในสะท้อนหน้าเขาพร้อมกับเงาที่ทาบบังแสงนั้น


    เสิ่นชิวชิวใบหน้าสุขุมเยือกเย็นดังที่ควรเป็น ยามที่สายตาประมวลผลได้ว่าเป็นผู้ใดที่มาเคาะยามวิกาล ความรังเกียจจึงฉายชัดบนสีหน้า เอ่ยเสียงเรียบนิ่งแฝงร่องรอยเหยียดหยาม


    “เดรัจฉานอย่างเจ้าถือดีอย่างไรมาเรียกข้าในเวลาเช่นนี้”


    ณ วินาทีนั้นเสียงที่ยังดังก้องเพียงในความทรงจำตลอดหลายปีดังขึ้นกระทบหู ราวกับเสียงนั้นแทรกซึมหล่อเลี้ยงร่างกายเขา ความจริงบางอย่างปรากฏขึ้นพร้อมคลื่นอารมณ์ที่สาดกระทบสรรพางค์กายจนรู้สึกสั่นสะท้าน

    อ่า เป็นเช่นนี้เองหรือ

    ลั่วปิงเหอไม่เคยสนใจตั้งชื่อหรือค้นหาความรู้สึกที่ตนมีต่อเสิ่นชิงชิว


    เพียงแค่กระทำสิ่งที่ต้องการกับอีกฝ่าย ไม่คำนึงถึงสิ่งใด


    แค้นเคืองที่คนตรงหน้าไม่เคยพูดดีด้วยจึงตัดลิ้น


    คับข้องที่อีกฝ่ายไม่เคยทำดีด้วยจึงตัดแขนขาที่ไม่เคยอ่อนโยนกับตน


    ควักดวงตาที่มอบให้แต่ความเหยียดหยาม หากยังหวังให้นัยน์ตานั้นสะท้อนเงาตนอยู่จึงเหลือไว้

    นึกชิงชังที่อีกฝ่ายแสดงอารมณ์ความรู้สึกให้เยวี่ยชิงหยวนทั้งที่ไม่เคยปรากฎริ้วอารมณ์อื่นนอกจากความรังเกียจให้เขา จึงทำลายศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์ของคนตรงหน้าให้จมดิน


    ฉุดกระชากเพื่อให้ได้ครอบครอง


    ย่ำยีเพื่อให้ได้โอบกอด


    ทั้งหมดเพียงเพื่อความสะใจ


    เขาเข้าใจเช่นนั้น



    หากแต่ยามที่ได้สบดวงตาครบคู่ของคนตรงหน้าอีกครั้ง เห็นอีกฝ่ายแขนขาสมบูรณ์ไร้ตำหนิ แม้ไม่มีเสื้อคลุมและชุดชั้นนอกในเวลานี้ เสิ่นชิงชิวยังคงดูสง่างาม


    เสิ่นชิงชิวยังดูมีชีวิต


    และยังคงเป็นคนที่เขาโหยหาหลายสิ่งที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่อาจมอบให้ราวกับคนโลภมาก


    ภาพที่ถูกอีกฝ่ายกลั่นแกล้งและทำร้ายชัดเจนในความทรงจำ


    ความเกลียดชังต่อคนตรงหน้านั่นมีอย่างไม่ต้องสงสัย


    หากแต่…


    “ลั่วปิงเหอ เจ้ากำลังทำอะไร” เสิ่นชิงชิวเผลอเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความตกใจ ความงุนงงแทนที่ความรังเกียจจนลืมตัว เหลือเพียงใบหน้าที่ยังคงเยือกเย็นเป็นนิตย์


    ลั่วปิงเหอ ราชามารแห่งทั้งสามภพ กำลังคุกเข่าลงหน้าคนที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้พบอีก


    คนตรงหน้าเขา แม้จะถูกเขาฆ่าเป็นร้อยพันครั้งก็ไม่อาจชดใช้บาปที่กระทำกับเด็กบริสุทธิ์คนหนึ่งได้


    เขาไม่มีวันให้อภัยอีกฝ่ายกับสิ่งที่ทำ


    “ซะ..ซือจุน” เสียงเขาแหบแห้งกว่าที่จำได้


    เสิ่นชิงชิวนิ่งเงียบอาจเพราะตกใจหรือรอคำตอบ เขาไม่อาจแน่ใจได้


    “ข้าน่ะ อยากให้ท่านชมข้ามาตลอด”

    “...”

    “ข้าชื่นชมท่าน พยายามเพื่อท่าน แม้ท่านไม่เคยทำดีกับข้าแต่ท่านยังมองเห็นศิษย์ผู้นี้ตลอดแม้จะด้วยความเกลียดชัง ตะ..แต่ท่านก็ให้ข้ามากกว่าคนมากมาย”

    “...”

    “ท่านให้ตัวตนข้า ทำให้ข้าเป็นข้าในแบบที่ผู้ใดก็ไม่อาจทำได้”


    ราวกับเห็นตัวเขาวัยเด็กทับซ้อนเอ่ยพูดคำพวกนั้นทั้งน้ำตา


    เวลานี้ ลั่วปิงเหอคิดว่าเขาเข้าใจแล้ว


    ตัวตนของเขาที่บิดเบี้ยวและว่างเปล่า ทั้งสุมด้วยความเกลียดชังและความปรารถนามากจนเเผดเผาเขาและคนที่เกี่ยวข้องทั้งเป็น


    ทั้งหมดนั้นล้วนเกิดจากท่านที่ข้าชิงชังและต้องการยิ่งกว่าผู้ใด


    เสิ่นชิงชิวเชยคางเขาด้วยพัดด้ามจิ่วประจำกาย สบตาที่ฉายถึงความโหยหา ความแค้น และอะไรบางอย่างที่ฝังลึกจนเอ่อล้นออกมาราวกับชาที่รินล้นถ้วย ไหลท่วมถาดและแผ่กระจายไปทุกที่ ไม่อาจกักเก็บได้


    บางอย่างในแววตาเสิ่นชิงชิววู่บไหว ครู่หนึ่งปิงเหอคิดว่ามันคือรู้สึกผิด


    เขามองผิด มันคือความคับแค้น


    ลั่วปิงเหอถูกตบด้วยด้ามพัดของอีกฝ่าย


    ช่างไม่ต่างอะไรกับครั้งที่เขาถูกสาดด้วยน้ำชา


    “เจ้าสวะโง่งม! ยิ่งเจ้าเพียรพยายาม ยิ่งเจ้าทำทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบข้ายิ่งเกลียดเจ้าเท่านั้น เจ้าไม่ออกเชียวหรือ!”


    เขานิ่งอึ้ง แก้มเริ่มรู้สึกหนึบชา เขาตกใจเสียงตวาดของเสิ่นชิงชิวมากกว่าที่ถูกตบเสียอีก ผมเขาถูกกระชากให้เงยหน้าสบตา


    “เหตุใดต้องยึดติดกับข้าถึงเพียงนี้ ฆ่าข้าก็ฆ่าไปแล้ว! เหตุใดจึงไม่ปล่อยให้วิญญาณข้าอยู่กับความสงบ”


    เสิ่นชิวชิวน้ำตาไหลอาบแก้มดูจะเป็นเพราะความรุนแรงของการระเบิดอารมณ์มากกว่าโศกเศร้า ความเหนื่อยหน่ายในความแค้นและการมีชีวิตฉายชัดในแววตา


    อ่า เขานึกถึงการอัญเชิญวิญญาณที่เขาทำนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อปลุกอีกฝ่ายมาทรมานซ้ำ


    เขามองเห็นตัวเองในแววตาเสิ่นชิงชิว เงานั้นสั่นสะทกจนผิดรูปร่างด้วยน้ำที่เอ่อในดวงตาอีกฝ่าย


    เขายิ้ม เริ่มรู้สึกถึงเลือดที่มุมปาก 


    “เพราะข้าไม่อยากอยู่ในโลกที่ไม่มีท่าน”


    ซือจุนของข้า


    ณ ที่แห่งนี้ ข้าได้ทำสิ่งที่ไม่อาจแก้ไขได้กับท่านไปหรือยัง


    หากไม่แล้ว ข้ายังเป็นศิษย์ที่ท่านชิงชังและริษยาอยู่หรือไม่


    แขนขาท่านยังครบถ้วน ท่านยังมีชีวิตอยู่ดั่งวันวาน


    แต่แววตาท่านกลับไร้ความริษยาข้า ท่านทำสีหน้าที่ข้าไม่อาจเข้าใจ


    เสิ่นชิงชิว ข้าไม่คุ้นเคยกับเจ้าในยามนี้เลย


    ราวกับล่วงรู้ความปรารถนาในจิตใจ เสิ่นชิงชิวเหยียดยิ้มขมขื่น

    “เดรัจฉานน่ารังเกียจ ดีแต่ปรารถนาสิ่งที่เจ้าไม่คู่ควร”



    ภาพทั้งหมดดำมืด


    ลั่วปิงเหอลืมตาขึ้นมาพบกับความสว่างสดใสของท้องฟ้าฤดูใบไม้ผลิ เสียงนกร้องดังในโสตประสาต คลื่นชีวิตมากมายของคนบนชิงจิ้งเฟิงโอบล้อมร่างกายเขา


    ด้ามพัดจิ่วเคาะกระทบศีรษะเขา

    “ชาเหวยซือเย็นหมดแล้ว เหตุใดจึงยังไม่รีบไปเปลี่ยนอีก”


    เขานิ่งอึ้งอยู่กับที่


    ก่อนจะได้สติแล้วกุลีกุจอเปลี่ยนน้ำชา มองเห็นมือตัวเองเต็มตาจึงตกใจ ระหว่างต้มชาจึงมองดูเงาสะท้อนของตัวเองในโอ่งใส่น้ำของโรงครัว เขายามนี้อายุราวสิบเจ็ดสิบแปด ช่วงเวลาที่เขาควรจะอยู่ในห้วงอเวจี


    เมื่อชงชาเสร็จจึงรีบยกไปให้เสิ่นชิงชิวที่นั่งอยู่บนม้านั่งในป่าไผ่ วางถาดชาไว้ข้างเสิ่นชิงชิวแล้วนั่งคุกเข่าลงที่พื้นข้างเคียง


    “ซือจุน ชาได้แล้วขอรับ”

    เสิ่นชิงชิวเหลือบมองเขา หยิบชาขึ้นมาดื่ม ไม่กล่าวสิ่งใด

    ลั่วปิงเหอนั่งมองเสิ่นชิงชิวไปเรื่อยๆ อีกฝ่ายไม่แสดงสีหน้ายินดีหรือรังเกียจ ปล่อยให้เขานั่งมองไป


    ทั้งสองนั่งอยู่ในความเงียบ เสียงลมพัดผ่านใบไผ่ เสียงนกร้อง และเสียงแว่วของลูกศิษย์ชิงจิ้งเฟิงซักซ้อมวิชาทั้งต่อสู้ ถกเถียงวิชาการ เล่นดนตรีแว่วมาตามสายลม



    “นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการหรือ”

    เสิ่นชิงชิวเอ่ยถามเสียงเรียบ ถ้วยชาวางในมือ สายตามองออกไปยังที่ที่ลั่วปิงเหอไม่รู้จัก


    อ่า ข้าได้ทำเรื่องนั้นไปกับท่านแล้วหรอกหรือ


    ท่านในยามนี้จดจำเรื่องราวเหล่านั้นได้ สิ่งที่ถูกกระทำจากเราทั้งคู่ไม่สามารถลบล้างแม้แต่ในที่แห่งนี้งั้นหรือ


    เสิ่นชิงชิวของข้า ในเมื่อเราไม่อาจกลับไปยามที่ทุกอย่างยังเป็นเช่นเดิมได้


    เช่นนั้น เราเสแสร้งเช่นนี้ต่อไปได้หรือไม่


    เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ท่านจะไม่อาจให้อภัยข้าได้


    เช่นนั้น ได้โปรดให้ข้าอยู่ตรงนี้อีกสักพักเถิด


    เขารู้สึกถึงลมเย็นที่พัดมากระทบกับใบหน้าของซือจุนที่หันมามองเขาในที่สุด

    ภาพทุกอย่างกลายเป็นความมืดอีกครั้ง



    เขาลืมตาขึ้นมาพบกับความว่างเปล่า ความมืดในห้องนอนอันกว้างขวางรู้สึกอ้างว้างเกินไป ทุกอย่างดูโล่งเกินไป เงียบเกินไปเมื่อเทียบกับชิงจิ้นเฟิง ผนังห้องนอนสะท้อนเพียงความไร้ชีวิตชีวาไม่ต่างจากโลงศพใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านหน้าต่าง เสียงหายใจแผ่วเบาของภรรยาคนนึงของเขาดังอยู่ข้างกาย เขาหลับตาลง รู้สึกถึงตัวตนที่มาปรากฎกายในจิตสำนึกของมารฝันที่ไม่เอือนเอ่ยสิ่งใดอย่างผิดวิสัย ราชาสามภพลืมตาขึ้นอีกครั้ง ถอนหายใจ


    เขาลุกขึ้นจากเตียง เดินไปยังห้องของหนิงอิงอิง


    ร่างบอบบางของหนิงอิงอิงหลับใหลอย่างเป็นสุขแม้เขาจะไม่ได้ร่วมนอนเคียงข้าง เขานอนลงบนเตียงด้านที่ว่าง โอบกอดร่างของภรรยาแน่น


    “อาลั่ว” นางพึมพำอย่างง่วงงุน กระนั้นก็ยังกอดเขาตอบ

     

    “อืม” เขาตอบรับ ฝังใบหน้าลงในซอกคอขาว


    “ฝันร้ายหรือ” มือนิ่มนวลลูบหลังเขาเบาๆ


    เขาไม่ตอบ ซุกหน้าสูดกลิ่นกายของคนในอ้อมกอด พยายามหากลิ่นไผ่ที่คุ้นเคยเพียงเพื่อพบแต่กลิ่นเครื่องหอมที่เขาโปรดปรานไม่ต่างจากภรรยาอีกคนที่หลับใหลบนเตียงเขาในยามนี้


    จริงสินะ


    เป็นเพียงฝันตื่นนึงก็เท่านั้น





เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Rosycheek (@Rosycheek)
เป็นฟิคที่ปวดตับปวดไตมาก ;-; แต่ก็ชอบการเล่าเรื่องนะคะ มันดูสมูทมากจริงๆ ยิ่งฉากตอนซือจุนดื่มชาคือในใจรู้เลยว่าแบบซือจุนคนนี้ผ่านอะไรมามากมาย ในตอนแรกเราคิดว่าปิงเหออาจจะดึงวิญญาณซือจุนมาจริงๆ แต่จากตอนจบสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็เป็นแค่เพียงฝันตื่นนึงของปิงเหอเท่านั้น คือมันเจ็บนะแต่พอยต์ที่เราเห็นคือแม้ว่าชีวิตปิงเหอจะดำเนินต่อไป แต่ใจลึกๆแล้วเขาก็ยังถวิลหาตัวซือจุนอยู่เสมอ❤️