รถไฟเคลื่อนจากชานชาลาในตอนฟ้ามืด
จากมุมมองนอกหน้าต่างที่มีกลุ่มบ้านของคน เสาไฟระโยงระยางเชื่อมถึงกัน พื้นปูนซีเมนต์ บ้านหลายร้อยหลังที่ต่อกันขึ้นไป และท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
รถไฟเคลื่อนตัวออกไป ก่อนที่ท้องฟ้าจะค่อยๆสว่างจนกลายเป็นสีม่วง ฟ้าอ่อน และชมพูอ่อน
ท้องฟ้าในแบบที่ฉันปราถนาในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต
ถ้าได้อาบแสงแบบนี้ก็คงดี
ลมพัดเข้ามาในโบกี้รถไฟ ปัดให้ผมยาวกระจัดกระจายอย่างอิสระไปตามแรงลม
ฉันนั่งเอียงหัวแนบกับหน้าต่างรถไฟอยู่ตรงนั้น
ทิวทัศน์นอกหน้าต่างเริ่มเปลี่ยนไปจนกลายเป็นทุ่งนาข้าวสีทองอร่าม กลุ่มก้านสีน้ำตาลกับรวงข้าวสีเหลืองกระเพื่อมตามแรงลมเหมือนมหาสมุทร พร้อมต้นไม้จิ๋วที่มองเห็นจากระยะไกลๆ ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าสดและเมฆกลุ่มใหญ่ที่เหมือนสำลีนุ่มถูกแกะขยี้วางไว้
แดดสีขาวแต่สะท้อนกับนาข้าวจนกลายเป็นสีเหลืองอุ่น…
ภาพนี้ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน
แต่กลับคุ้นตาเหมือนชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ที่ขาดหาย… แต่เคยอยู่ตรงนั้น
ฉันมองไปที่ภาพข้างหน้า จ้องมองเหมือนติดอยู่ในภวังค์
เครื่องจักรของรถไฟค่อยๆ เคลื่อนที่ช้าลง จนกระทั่งหยุดอยู่กับที่
ฉันค่อยๆ ก้าวไปที่ประตูรถไฟ ด้วยหัวใจที่เต้นสั่นไหว
เท้ายื่นลงไปแตะพื้นดินแฉะ ฉันเห็นรวงข้าวเป็นต้นอยู่ตรงหน้า มองมันอย่างพินิจพิเคราะห์ …รวงข้าวจริงๆด้วย
ลมพัดไปตามนาข้าวสีทอง จนเต็มไปด้วยเสียงที่เกิดจากการเสียดสีของใบข้าวนับพันใบ
ฉันออกวิ่ง…และวิ่ง…และวิ่งตรงไปข้างหน้าจนเริ่มเหนื่อยหอบทั้งที่ใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ฉันก้มลงหายใจเอาอากาศเข้าปอด ปาดเหงื่อที่ไหลข้างใบหน้า และเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
ต้นสนที่ใบกลายเป็นสีน้ำตาลแห้งเรียงเป็นแถวยาวอยู่ด้านหน้า ก่อนที่เดินไปถึงจะเห็นลำธารสายใหญ่ที่ไหลทอดไปท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเหลือง ผิวน้ำของมันกระทบกับแสงแดดอุ่นจนกลายเป็นประกายระยิบระยับ
ฉันถอดรองเท้าทิ้งไว้ แล้วเดินลงเหยียบลงไปบนผิวน้ำนั้น
“อ๊ะ” เท้าสัมผัสกับสิ่งของขรุขระทรงกลมมนด้านล่าง ฉันเดินก้าวต่อไป ถึงจะดูเสี่ยงอันตรายแต่ก็ดูน่าสนุกดี ฉันก้าวเดินไปข้างหน้า สัมผัสกับความนุ่มหยุ่นในกระแสน้ำจนมันท่วมถึงครึ่งตัว
ฉันหยุดพัก หัวเราะและเอนไปด้านหลัง จนรับรู้ได้ว่ากระแสน้ำกำลังพาตัวฉันไป
ฉันเอนไปด้านหลัง ทิ้งตัว และปล่อยให้เส้นผมและเดรสกระโปรงยาวด้านบนเปียกน้ำจนชุ่ม
แต่ตัวฉันกลับไม่จม ฉันกำลังลอยไป ปล่อยให้กระแสน้ำห้อมล้อมและพัดพาไปแม้ว่าจะไม่รู้ทิศทาง
ภายสุดท้ายตอนนั้น คือภาพของท้องฟ้าสีฟ้าสดและก้อนเมฆด้านหลัง ทุ่งนาสีน้ำตาลทองที่อยู่รอบนอก และกิ่งต้นสนที่ยื่นออกมาพร้อมใบไม้สีน้ำตาลทองที่หลุดออกมาจากก้านและปลิว
แล้วภาพทั้งหมดก็มืด ตัดไป กลายเป็นสีดำว่างเปล่า
______________________________________________________________________________________
ผมตื่นขึ้นมาในห้องขนาดเล็ก มีผนังสีเทาล้อมรอบ ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินเข้ามาหาผม
ชายคนหนึ่งในชุดคลุมพยักหน้าเป็นสัญญานให้กับกลุ่มคนที่ถือขาตั้งและชุดกระดาษเหมือนอย่างเคย พวกเขานั่งข้างผมและกางขาตั้งออก
“ครั้งนี้เห็นภาพอะไรบ้าง” ชายในชุดคลุมหันไปมองกลุ่มคนที่กำลังหยิบกระดาษขึ้นตั้งอย่างลนลาน ก่อนจะหันกลับมาแบบไม่ยี่หระ
“ตั้งแต่แรกก่อน ครั้งนี้เห็นว่าตัวเองเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย” ทีมผู้หญิงและผู้ชายที่สวมชุดคลุมยกแป้นวางกระดาษขึ้นเตรียมจด
“เอ่อ…ผู้หญิงครับ”
หันกลับไปไปส่งซิกให้กลุ่มชุดคลุมด้านหลังโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้ยินคำตอบ
“นานๆ ทีจะเป็นผู้หญิงนะ” เขาหันไปมองอีกกลุ่มที่ตั้งขาตั้งและกระดาษเสร็จแล้ว “แล้วเห็นอะไรอีกล่ะ”
“รถไฟครับ… ผมอยู่บนรถไฟ”
เขาถอนหายใจ “รถไฟอีกแล้วหรอ”
“แต่ครั้งนี้ ผมเห็นภาพที่ตัวเองไม่เคยเห็นมาก่อน…มัน…มัน…”
ขณะที่ผมกำลังหาคำมาอธิบาย เขาก็เอื้อมฝ่ามือข้างหนึ่งมาวางบนหัวของผม ผมหันกลับไปสบตากับเขา
“เยี่ยม เยี่ยมมาก ต้องอย่างนี้สิ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in