ค่า SPF ในครีมกันแดด เป็นสิ่งที่หลายคนคุ้นเคย แต่คุณรู้หรือไม่ว่ามันคืออะไรและมีความสำคัญอย่างไรในการปกป้องผิวจากแสงแดด ? การเลือกค่า SPF ที่เหมาะสมจะช่วยให้ผิวของคุณปลอดภัยจากรังสี UVB ที่ทำร้ายผิว มาหาคำตอบและรู้วิธีเลือกครีมกันแดดที่ดีที่สุดสำหรับคุณในบทความนี้!
คลิกอ่านหัวข้อ ค่า SPF
- ค่า SPF ในครีมกันแดด คืออะไร ?
- ค่า SPF ปกป้องผิวจากรังสีอะไร ?
- ค่า SPF มีกี่ระดับ ?
ㅤㅤ- ค่า SPF 8
ㅤㅤ- ค่า SPF 15
ㅤㅤ- ค่า SPF 30
ㅤㅤ- ค่า SPF 45
ㅤㅤ- ค่า SPF 50
ㅤㅤ- ค่า SPF 100
- ควรเลือกครีมกันแดดค่า SPF เท่าไหร่ดี ? ยิ่งสูงยิ่งดี จริงไหม ?
- ค่า SPF กันแดด ปกป้องผิวได้นานไหม ?
- ค่า SPF vs ค่า PA ต่างกันยังไง ?
- สรุปเรื่องค่า SPF ในครีมกันแดด
ค่า SPF คือ ค่าที่ใช้วัดความสามารถของครีมกันแดดในการปกป้องผิวจากรังสี UVB ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดผิวไหม้และมะเร็งผิวหนัง
โดยค่า SPF (Sun Protection Factor) จะบอกถึงระยะเวลาที่ผิวสามารถทนต่อแสงแดดได้โดยไม่เกิดอาการไหม้ เมื่อเทียบกับการไม่ทาครีมกันแดด เช่น ค่า SPF 30 หมายความว่าผิวของคุณจะทนแสงแดดได้นานกว่าเดิม 30 เท่า
ครีมกันแดดที่มีค่า SPF จะช่วยปกป้องผิวจาก รังสี UVB ซึ่งเป็นรังสีที่มีพลังงานสูงและเป็นสาเหตุหลักของการทำให้ผิวไหม้แดด และสามารถทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบหรือเสียหายได้
นอกจากนี้รังสี UVB ยังทำให้เกิดปัญหาผิวระยะยาว เช่น ริ้วรอยก่อนวัย หรือมะเร็งผิวหนัง ดังนั้นการใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ที่เหมาะสม จะช่วยป้องกันความเสียหายจากรังสีเหล่านี้ได้
ปัจจุบันในผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดนั้นมีค่า SPF หลายระดับ โดยแต่ละระดับให้การปกป้องผิวที่แตกต่างกัน ตามความเข้มข้นและความสามารถในการป้องกันรังสี UVB
ซึ่งโดยทั่วไประดับค่า SPF ที่พบได้ในครีมกันแดดมีดังนี้
ระดับต่ำสุดของการปกป้องผิว คือ ค่า SPF 8 โดยสามารถปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้ประมาณ 87.5%
ถือว่าเป็นค่า SPF ที่ไม่เพียงพอต่อการปกป้องผิวจากแสงแดดในระยะเวลานาน เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในร่มเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ออกไปทำกิจกรรมข้างนอก แบบที่ไม่โดนแสงแดดเลย
ค่า SPF 15 สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้ประมาณ 93.3% เหมาะสำหรับการปกป้องผิวในวันเบา ๆ ที่ไม่ได้ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ไม่โดนแสงแดด
ซึ่งหากทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 แล้วออกไปข้างนอกเป็นเวลานาน อาจทำให้ผิวไหม้แดดได้เล็กน้อย เพราะประสิทธิภาพการปกป้องผิวไม่เพียงพอ
ค่า SPF 30 สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้ประมาณ 96.7% เป็นค่า SPF ระดับกลาง เหมาะสำหรับการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไปที่ไม่ต้องเผชิญกับแสงแดดจัดมาก
เช่น กิจกรรมกลางแจ้งที่มีร่มเงา นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่มีผิวขาวอมเหลือง แต่หากต้องทำกิจกรรมกลางแดดจัด ครีมกันแดดค่า SPF 30 ยังถือว่าไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด
ค่า SPF 45 สามารถดูดซึมรังสีได้ประมาณ 97.8% เป็นค่า SPF ระดับกลาง เหมาะกับผู้ที่ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงแดดไม่แรงมาก และผู้ที่มีผิวขาวอมชมพู เนื่องจากมีโอกาสเกิดปัญหาผิวหมองคล้ำ หรือผิวไหม้แดดได้ง่ายกว่าผู้ที่มีผิวขาวอมเหลือง
ค่า SPF 50 สามารถป้องกันรังสี UVB ได้ประมาณ 98% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่มีประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับการปกป้องผิวในกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องเจอแสงแดดจัด เช่น ไปทะเล หรือเล่นกีฬา โดยค่า SPF 50 ถือเป็นตัวเลือกที่ดี เนื่องจากสามารถปกป้องผิวจากแสงแดดได้ดีกว่าค่า SPF ที่ต่ำกว่า และยังเหมาะกับสภาพอากาศที่ร้อนและแดดแรงในประเทศไทย
ค่า SPF 100 สามารถป้องกันรังสี UVB ได้ประมาณ 98.5% ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดในการปกป้องผิว เหมาะสำหรับกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องเจอแสงแดดแรง
อย่างไรก็ตาม ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 100 กลับไม่เป็นที่นิยมมากนัก แม้ว่าจะปกป้องได้ดี แต่ยิ่งค่า SPF สูงเท่าไหร่ ความเสี่ยงในการเกิดการระคายเคืองผิวก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ในการเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสม แม้ว่าครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงจะให้การปกป้องผิวได้ดีกว่าค่า SPF ที่ต่ำกว่า แต่ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองผิวได้
แนะนำว่าควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ขึ้นไป เนื่องจากสามารถปกป้องผิวจากแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และครอบคลุมเพียงพอสำหรับสภาพอากาศในประเทศไทย โดยค่า SPF นี้ยังเหมาะสำหรับการใช้ทั้งในชีวิตประจำวัน และกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องเจอแสงแดดจัดอีกด้วย
สำหรับคำถาม ค่า SPF ในครีมกันแดด ปกป้องผิวได้นานไหม ? เราสามารถใช้หลักการง่าย ๆ เพื่อประเมินระยะเวลา ตัวอย่างเช่น หากคุณสามารถอยู่กลางแดดได้ประมาณ 10 นาที ก่อนที่ผิวจะเริ่มแดงหรือมีอาการไหม้
เมื่อทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ความสามารถในการปกป้องจะคำนวณได้โดยการนำค่า SPF x ระยะเวลาทนทานต่อแสงแดด (50 x 10) ดังนั้น ครีมกันแดดจะช่วยปกป้องผิวได้ 500 นาที หรือประมาณ 8.3 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การปกป้องผิวมีประสิทธิภาพ ควรทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะหากมีเหงื่อออกหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง
ค่า PA และค่า SPF ในครีมกันแดด บอกถึงประสิทธิภาพป้องกันผิวจากรังสี UVA และ UVB
นอกจากค่า SPF แล้วในครีมกันแดดหลาย ๆ ตัว ยังพบค่า PA (Protection Grade of UVA) ที่มักต่อท้ายจากค่า SPF อยู่เสมอ ซึ่งเป็นค่าชี้วัดประสิทธิภาพการป้องกันผิวจากรังสี UVA ที่ใช้สัญลักษณ์เป็นเครื่องหมายบวก (+) บอกจำนวนเท่า โดยค่า PA จะมีระดับตั้งแต่ PA + ถึง PA ++++
ซึ่งระดับที่สูงขึ้นหมายถึงการป้องกันรังสี UVA ที่ดียิ่งขึ้น เช่น
- PA + : ปกป้องผิวได้มากกว่าผิวที่ไม่ทากันแดด 2-4 เท่า
- PA ++ : ปกป้องผิวได้มากกว่าผิวที่ไม่ทากันแดด 4-8 เท่า
- PA +++ : ปกป้องผิวได้มากกว่าผิวที่ไม่ทากันแดด 8-16 เท่า
- PA ++++ : ปกป้องผิวได้มากกว่าผิวที่ไม่ทากันแดด มากกว่า 16 เท่า
ดังนั้น การเลือกครีมกันแดดที่มีทั้งค่า SPF และ PA สูง จึงช่วยให้ปกป้องผิวได้ทั้งจากรังสี UVA และ UVB อย่างมีประสิทธิภาพ
ค่า SPF คือตัวชี้วัดความสามารถของครีมกันแดดในการปกป้องผิวจากรังสี UVB ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดผิวไหม้ การเลือกค่า SPF ที่เหมาะสมจะช่วยปกป้องผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยทั่วไป ค่า SPF 50 ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้ในชีวิตประจำวัน และกิจกรรมกลางแจ้งในสภาพอากาศของประเทศไทย แต่ควรทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงเพื่อการปกป้องที่ดีที่สุด
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in