เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[นิยายแปล] BTS - 花様年華 The Notes1Phoenix
[แปลไทย] นิยาย 花様年華 (THE NOTES - BTS) – ทุกอย่างมันเริ่มต้นจากที่นี่ จองกุก 12 JUN 2019
  • Do not copy, Re-Upload Please give my PAGE full credit
    ——————————————–
    จองกุก
    12 JUN 2019

    ในตอนที่พวกเรามาถึงสถานีรถไฟตรงริมหาดแดดก็ยังคงร้อนอยู่ เงายังคงอยู่บริเวณตรงปลายเท้า ผมไม่คิดที่จะหลบแดดเลยสักนิด ในตอนที่กำลังคิดอยู่ว่าได้ยินเสียงคลื่นหรือเปล่านะ ผมก็พบกับหาดทรายที่ทอดยาว หน้าร้อนได้เริ่มต้นแล้วสินะ ร่มชายหาดลายดอกไม้ของบรรดาแขกที่มาพักร้อนต่างก็ถูกกางไว้ตรงนั้นตรงนี้ ทำไมทะเลถึงได้เป็นสิ่งที่สามารถเติมเต็มความรู้สึกของมนุษย์ให้ฟูฟ่องได้นะ… ทั้งพี่แทฮยองและพี่โฮซอกต่างก็โห่ร้องเสียงดังและออกวิ่ง พอทั้ง 2 คนนั้นหันกลับมาโบกไม้โบกมือผมก็พบว่าพี่จีมินและพี่ซอกจินวิ่งเข้าไปผสมโรงด้วยแล้ว

    “จองกุก” ผมฉีกยิ้มและโบกไม้โบกมือให้กับเสียงที่เรียกชื่อผม ไม่สิ ต้องเรียกว่าแสร้งทำเป็นยิ้มให้เห็นต่างหากล่ะ ผมก็ยังคงอ่อนหัดในเรื่องของการเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงและการทำตัวกลมกลืนไปกับสิ่งแวดล้อมที่ตัวเองไม่คุ้นชิน ซึ่งเพราะแบบนี้นี่เองทำให้ผมมักจะถูกหลายคนพูดถึงอยู่บ่อยครั้งว่าเป็นเด็กที่ขวางโลก แม้แต่ตอนนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น อีกทั้งผมยังไม่คุ้นชินกับพี่ ๆ เขาทำให้ยากที่จะเข้ามาใกล้ นอกจากนั้นท่าทางของผมก็ยังเก้งก้างเพราะรู้สึกว่าผมเดินเข้ามายังสถานที่ที่ไม่ใช่ของผม

    มันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นบ่อยนักกับการที่พวกเราเดินสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วโผล่มาที่ทะเลนี้ได้ “มาวิ่งแข่งกัน!” ทุกคนที่ถูกพี่โฮซอกชวนวิ่งอย่างปัจจุบันทันด่วนก็วิ่งตามพี่เขาไปสักพัก ก่อนที่จะล้มเลิกกัน มันร้อนเหลือเกิน พี่นัมจุนกางร่มกันแดดพัง ๆ ที่ไม่รู้ว่าไปหิ้วมาจากไหน พวกเรานอนด้วยกัน 7 คนภายใต้ร่มเงาของร่มกันแดด แสงแดดทอดส่องลงมาตามรอยขาดของร่มที่อยู่ตรงนั้นตรงนี้ แสงแดดที่ทอดลงมาค่อย ๆ เคลื่อนตัว และพวกผมก็ขยับก้นกันหยุกหยิกเพื่อที่จะหลบแสงแดดนั่น

    “เราลองไปที่โขดหินนี่กันมั้ย?” พี่โฮซอกชูหน้าจอโทรศัพท์มือถือให้ดู บนหน้าจอ LED นั้นแสดงภาพของโขดหินที่ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณชายฝั่ง “เหมือนมันจะมีเรื่องเล่าที่ว่า ถ้าเราปีนขึ้นไปบนโขดหินนี้ หันหน้าออกหาทะเล แล้วตะโกนความฝันออกไป ความฝันนั้นจะกลายเป็นจริง” พี่จีมินยกโทรศัพท์มือถือขึ้นพลางชะเง้อมอง “แต่ว่ามันไม่ไกลไปหน่อยเหรอ? เหมือนมันจะห่างจากนี่ไป 3.5 กิโลเลยนะ” พี่ยุนกิหันมาพูดทั้ง ๆ ที่นอนอยู่อย่างนั้น “ฉันไม่ไป แถมฉันไม่มีความฝันที่อยากจะให้เป็นจริงด้วย หรือถ้ามีแล้วจะต้องฝ่าแดดโคตรร้อนในระยะทาง 3.5 กิโลเมตร ฉันขอบายล่ะ” ในตอนนั้นเองที่พี่แทฮยองลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ผมจะไป”

    พวกเราถือร่มชายหาดขาด ๆ ยื่นไปเบื้องหน้าแล้วออกเดิน หาดทรายร้อนขึ้นมาทันใดเพราะแสงแดดกล้า แถมลมก็ไม่มีพัดมาเลยแม้แต่น้อย เท้าของพวกเราเดินเหยียบย่ำอยู่บนทรายที่ร้อนระอุราวกับมนุษย์ที่เพิ่งรอดชีวิตมาจากสงคราม นาน ๆ ครั้งพี่โฮซอกจะพูดอะไรขำขันออกมา แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับอะไรเลย และเมื่อพี่แทฮยองล้มลงนั่งพร้อมทั้งบ่นออกมาว่าไปต่อไม่ไหวแล้ว พี่นัมจุนถึงได้วางมือบนแผ่นหลังของพี่เขา ใบหน้าของทุกคนเป็นสีแดง เหงื่อไหลย้อยลงมาตามคางเป็นเม็ด ๆ ถึงแม้จะใช้ปลายแขนเสื้อเชิ้ตสบัดให้เกิดลม แต่มันก็เป็นเพียงแค่ลมร้อน ๆ เท่านั้น แต่ถึงกระนั้นพวกผมก็ยังดื้อด้านที่จะเดินหน้าต่อไป

    เมื่อไปข้างหน้าอีกสักพัก ผมก็เริ่มถามคำถามเกี่ยวกับความฝันกับพวกพี่ ๆ พี่ซอกจินบอกว่าอยากจะเป็นคนดี, พี่ยุนกิบอกว่าความฝันน่ะ ไม่มีก็ได้, พี่โฮซอกบอกว่าอยากจะมีความสุข ส่วนพี่นัมจุน ผมนึกไม่ออกว่าพี่เขาบอกว่าอะไร แต่ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร นั่นก็หมายความว่าพวกเราไม่มีความฝันอันยิ่งใหญ่หรือสำคัญอะไรเลย ถ้างั้น…แล้วทำไมเราถึงโดน “ความฝัน” ลากให้เดินทางท่ามกลางอากาศร้อนเป็นระยะทาง 3.5 กิโลเมตรเพื่อมาชายฝั่งนี้กันนะ…

    ร่มชายหาดที่พี่นัมจุน, พี่โฮซอก และพี่จินผลัดกันถือนั้นถูกทิ้งไปในระหว่างทาง คือมันก็สามารถที่จะกันแดดให้พวกเราได้อยู่หรอก แต่เนื่องจากด้านในของแกนร่มทำมาจากเหล็กทำให้มีน้ำหนักมากและสูบพลังเอาการ “พอเหอะ” ตอนที่พี่ยุนกิหันหน้ามาหาผมและพูดคำนี้ขึ้นมามันเป็นตอนที่ทิ้งร่มชายหาดและหยุดพัก ในตอนแรก ผมไม่รู้เลยว่าพี่เขาหมายถึงอะไร จริง ๆ แล้วผมไม่ค่อยได้คุยกับพี่ยุนกิเลย และผมก็ไม่คิดด้วยว่าพี่เขาจะมาคุยกับผม พี่ยุนกิกางนิ้วของตัวเองให้ผมดู “มันเป็นแบบนี้อ่ะ” ที่นิ้วของพี่ยุนกิมีแผลที่เกิดจากการกัดเล็บ ผมยัดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้วยความอืดอาด ผมไม่รู้เลยว่าควรจะพูดอะไรกับพี่เขาดี ผมตอบอะไรพี่เขาไม่ได้เลย

    “เออ จริงด้วย, นายมีความฝันว่าอะไรเหรอ?” พี่เขาถามผม “จำได้ว่าตอนนั้นมีแค่นายที่ยังไม่ได้บอกว่าความฝันของนายคืออะไร” หน้าตาพี่เขาไม่ได้บ่งบอกว่าอยากจะรู้เลย แต่ดูเหมือนว่าเพราะไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกันก็เลยถามแบบนี้ “ไม่ทราบครับ ผมไม่เคยคิดถึงความฝันเลย” “งั้นเหรอ… เออ กรณีแบบนี้มันก็มีอยู่หรอกเนอะ” พี่เขาพูด

    “แล้ว… ความฝันของพี่คืออะไรครับ?” ผมถามออกไปด้วยท่าทีลังเล พี่เขาตอบกลับด้วยโทนเสียงสบาย ๆ “ฉันตอบไปว่า ‘ไม่มี’ ไม่ใช่หรือไง…” “ไม่ครับ ไม่ใช่” ผมพูดด้วยท่าทียึกยัก “ ‘ความฝัน’ นี่มันอะไรนะ… ฉันน่ะ ไม่ค่อยเข้าใจ ‘ความฝัน’ ที่ทุกคนเขาพูดกันหรอก” พี่เขาหันมามองผมทำหน้านิ้วคิ้วขมวดแล้วแหงนมองฟ้า “ ‘สิ่งที่อยากจะให้เป็นจริงในชีวิตนี้’ งั้นเหรอ… อ่าาา ก็น่าจะหมายความว่าอย่างนั้นมั้ย?”

    พี่โฮซอกที่อยู่ด้านหน้าพวกเราพลิกมือถือให้ดูพลางเข้าร่วมวงสนทนา “ถ้าจากคำจำกัดความในพจนานุกรมแล้วล่ะก็ ความฝันคือ 1, สถานการณ์ระหว่างที่เรานอนหลับซึ่งเรามองเห็น หรือได้ยินราวกับเรากำลังตื่นอยู่… 2, ความปรารถนาหรืออุดมคติที่อยากจะให้เป็นจริง… 3, ความคาดหวังหรือความคิดอันว่างเปล่า ไม่มีโอกาสที่จะเป็นจริงได้เลยสักนิด”

    “ความหมายที่ 3 นี่มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ? ทั้ง ๆ ที่ไม่มีโอกาสจะเป็นไปได้ แต่ก็ยังเรียกว่าความฝัน” พี่โฮซอกได้ตอบกลับคำพูดนั้นของใครสักคน “ ‘ตื่นจากฝันซะที!’ มันมีคำพูดแบบนี้อยู่ไม่ใช่หรือไง เพราะงั้น ถ้าเราคิดที่จะกลับบ้านก่อนที่จะไปถึงโขดหิน มันก็จะกลายเป็นว่า ‘ตื่นจากฝันซะที!’ ยังไงล่ะ”

    พี่ ๆ หลายคนปล่อยเสียงหัวเราะออกมา แต่ทว่ามันเป็นเสียงหัวเราะที่ดูไม่สุขสันต์เอาซะเลย อีกอย่างการโต้ตอบนี่ไม่มีเลย “มันแปลก ๆ เนอะ อะไร ๆ ก็เรียก ‘ความฝัน’ ไปซะหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่อยากจะให้เป็นจริงในช่วงชีวิตนี้ หรือเรื่องที่ไม่มีโอกาสที่จะเป็นจริงได้เลย” พี่ยุนกิพูดยิ้ม ๆ “ ‘ความฝัน’ มันก็คือสิ่งสำคัญที่ต่อให้รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่เราก็ยอมแพ้ไม่ได้เช่นกัน ไม่ใช่เหรอ… แต่จะว่าไปนะ นายน่ะ ไม่ต้องมีความฝันหรอก” ผมหันไปมองพี่เขา “ทำไมเหรอครับ?” ผมไม่รู้ว่าพี่เขารู้สึกถึงสายตาของผมหรือเปล่า แต่พี่ที่เผลอแป๊ป ๆ ก็กัดเล็บนั้นได้เอานิ้วล้วงเข้าไปในกระเป๋าและพูดเรื่อยเปื่อยราวกับไม่ได้มีอะไรสลักสำคัญ “ก็ถ้ามีความฝันเมื่อไร มันจะยุ่งยาก”

    ผมรู้สึกติดใจอยู่ว่าทำไมพี่เขาถึงต้องกัดเล็บ แต่ผมก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป กลับกัน ผมดันก้มหน้ามองไปยังนิ้วมือของตัวเอง ที่มันมีแผลเล็ก ๆ อยู่ตามนิ้วแบบนี้ก็เพราะนิสัยตั้งแต่เด็ก ผมไม่รู้หรอกนะว่านิสัยนี่มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร แต่เท่าที่ผมจำได้ก็คือ มีวันหนึ่ง มันเป็นวันที่ผมใช้มีดคัตเตอร์กรีดนิ้วตัวเอง หลังจากความรู้สึกเจ็บปวดที่ทำเอาผมแทบจะเป็นลมได้ผ่านพ้นไป เลือดสีแดงฉานก็ไหลทะลักออกมา มันเป็นความรู้สึกเจ็บ ๆ แสบ ๆ ชา ๆ พอไปโรงพยาบาลก็ถูกเย็บไปหลายเข็ม จากนั้นก็ตามมาด้วยการฆ่าเชื้อและพันผ้าพันแผล ต่อหน้าหมอ แม่ก็มีท่าทางที่โอเวอร์เกินจริง แต่พอกลับถึงบ้านแม่ก็ไม่ทำกับข้าวให้ผม ไม่จัดยาอะไรให้ผมเลย ผมไม่ได้ไม่พอใจอะไร เพราะหลังจากที่พ่อหนีหายออกจากบ้านไป แม่ก็กลายเป็นสภาพนี้

    แผลของผมหายช้า นั่นเป็นเพราะผมใช้เล็บแกะแผลไปหลายครั้ง และทุก ๆ ครั้งที่ทำแบบนี้ความเจ็บปวดก็จะวิ่งขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ มีบางครั้งที่เจ็บจวนเจียนจะร้องไห้ แต่ว่ามันดันถูกตรึงไว้ด้วยความรู้สึกเหม่อลอย แม้แต่ตอนนี้ผมเองก็เหม่อลอยบ่อยมาก รู้สึกราวกับเรื่องทุกอย่างบนโลกใบนี้มันไม่มีความหมายอะไรเลย มันอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงไปเสียหมด

    “อีกนานมั้ยกว่าจะถึงอ่ะ?” พอพี่แทฮยองถามขึ้น สีหน้านิ้วคิ้วขมวดก็ลอยเด่นบนใบหน้าของพี่โฮซอก “แปลกแฮะ ทั้ง ๆ ที่มันน่าจะเป็นตรงนี้นี่นา” ทุกคนหยุดยืนอยู่กับที่และหันไปมองรอบข้าง ภายใต้ท้องฟ้ามีเพียงแค่เสียงคลื่นน้ำกระเซ็นกระทบฝั่งเท่านั้น บรรดาเม็ดทรายหลากหลายหมื่นที่ถูกปลายเท้าของพวกเราแตะสบัด มันกระจัดกระจายเป็นผงเล็ก ๆ โขดหิดใหญ่ยักที่เราเห็นในภาพนั้นไม่มีอยู่เลย

    “เราลองเดินไปกันอีกนิดดีมั้ย?” “เดินอีกก้าวก็ไม่ไหวแล้ว” “ท้องก็หิว คอก็แห้ง” พี่จีมินถอนหายใจออกมาเบา ๆ และประโยคสนทนาเหล่านั้นก็ถูกปล่อยผ่านไป พี่แทฮยองที่ชะโงกหน้าไปมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือของพี่จีมินแล้วทำสีหน้าว่างเปล่า พลางเตะก้อนหิน พี่จีมินเริ่มอ่านหัวข้อข่าวนั่น “ที่หาดแห่งนี้มีโครงการที่จะทำรีสอร์ทหรู แต่เนื่องจากทางฝั่งผู้ก่อสร้างบอกว่ามันจะไปบดบังทัศนียภาพของแขกที่อยู่ชั้น 1, 2 ก็เลยจัดการระเบิดโขดหินนั้นทิ้งไปเลย” พวกผมหันมองรอบข้างพร้อม ๆ กัน ที่สุดชายฝั่งที่อยู่ไกล ๆ นั้นมีเทปสีเหลืองขึงอยู่เพื่อให้รู้ว่าเป็นพื้นที่เพื่อการพัฒนา และด้านหลังนั่นก็มีเครื่องขุดเจาะขนาดใหญ่ตระหง่านอยู่ ซึ่งมีป้ายบ่งชี้ว่า “มีกำหนดการก่อสร้างทำนบกั้นคลื่น”

    “เหมือนว่าจะตรงนี้ไม่ผิดแน่” พี่โฮซอกใช้ปลายรองเท้าสนีคเกอร์เตะเข้าไปที่ทรายในขณะที่พูด บางที เม็ดทรายที่มันกระจัดกระจายอยู่ตรงปลายเท้า อาจจะเป็นเศษของโขดหินก็เป็นได้ “ไม่หรอก มันจะมีได้ยังไงโขดหินที่ทำให้ฝันเป็นจริงน่ะ” พี่นัมจุนพูดพลางจบไหล่พี่โฮซอก “อีกอย่าง ความฝันก็ไม่มี” “หรือต่อให้มีก็ไม่มีเปอร์เซ็นที่มันจะเป็นจริงได้” “สำหรับพวกเราแล้วความฝันมันคืออะไรกันนะ” ทุกคนค่อย ๆ พูดกลับไปกลับมา เพราะตอนนี้พวกเราก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกันแล้ว พละกำลังของพวกเราเหือดแห้ง ไม่ใช่ว่าพวกผมกำลังคาดหวังอะไรที่ยิ่งใหญ่ แต่ทว่า เราไม่เคยคาดคิดถึงสิ่งเหล่านี้กันเลยต่างหาก

    “อย่ามีเลย ความฝันน่ะ มันยุ่งยาก” และพี่ยุนกิที่พูดอะไรแบบนี้ออกมาก็คงจะเหมือนกันสินะ พี่เขาเหม่อมองทะเล แต่ก็ยังกัดเล็บอยู่ พลางทำหน้าราวกับไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ “พี่ครับ” พี่เขาหันมาตามเสียงของผม “กัดเล็บน่ะ… หยุดเถอะครับ…” เสียงของผมดันถูกกลบไปด้วยเสียงอันดังบางอย่างที่เสียดแก้วหู พวกผมหันไปยังต้นเสียงพร้อมกัน ดูเหมือนว่าการดำเนินการก่อสร้างได้เริ่มขึ้นแล้ว บรรยากาศรอบข้างสั่นไหวอย่างรุนแรงอันเนื่องจากเสียงที่ดูเหมือนว่าก้อนหินใหญ่ยักษ์ได้ถูกกระแทก

    พี่ยุนกิทำหน้าเครียดพลางผลักไหล่ผม “นายพูดว่าไงนะ?” ปากของพี่เขาอ้ากว้าง “กัดเล็บน่ะ… อย่าทำเลยครับ” ผมทำมือป้องปากเป็นวงกลมแล้วตะโกนออกไป แต่ดูเหมือนว่าพี่เขาจะไม่ได้ยิน เพราะพี่เขาขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า ผมตั้งท่าจะตะโกนอีกรอบแต่ว่าพี่เขาไม่กัดเล็บแล้ว ผมมองข้ามไหล่พี่เขาไปยังทะเล ที่พื้นเท้าของพวกเรามีเม็ดทรายจำนวนมาก ทั้ง ๆ ที่โขดหินเก่าแก่มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับความฝันของมนุษย์ที่มันสามารถกลายเป็นจริงได้… แต่ ณ ตอนนี้มันดันกลายเป็นเพียงก้อนหินเล็ก ๆ เท่านั้น “พี่รู้สึกหมดหวังกับโลกใบนี้ไหมครับ?” ผมถาม ภายใต้เสียงอันดังของเครื่องจักรราวกับจะเขย่าแกนโลก มันไม่มีทางเลยที่จะได้ยินเสียงของผม และก็จริง ๆ ด้วย สีหน้าที่ลอยขึ้นมาของพี่ยุนกินั่นคือพี่เขาไม่ได้ยิน ผมตะโกนไปอีกครั้ง “พี่เองก็รู้สึกสิ้นหวังกับโลกใบนี้แล้วใช่ไหมครับ?” ในครั้งนี้เหมือนพี่เขาตอบอะไรสักอย่างกลับมาแต่เป็นฝั่งผมเองที่ไม่ได้ยิน พอผมส่ายหน้าพี่เขาก็ตะโกนอะไรสักอย่างอีกรอบ และเป็นพี่โฮซอกกับพี่ซอกจินที่มองดูท่าทางของพวกเราแล้วก็หลุดขำ ถึงผมจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแต่ว่าการอ้าปากกว้าง ๆ อย่างนั้นก็สามารถทำให้ผมรับรู้ได้ว่าพวกเขากำลังหัวเราะ

    เผลอแป๊ป ๆ พวกเราก็หันหน้าเข้าหาทะเลแล้วก็ตะโกน พี่โฮซอกเอามือปิดหูพลางอ้าปากกว้างราวกับพยายามจะส่งเสียงแข็งกับเสียงเครื่องจักร แต่หูของผมนั้นไม่ได้ยินอะไรเลย ทั้งพี่แทฮยอง พี่จีมิน พี่นัมจุนเองก็เหมือนกัน พวกผมยืนอยู่กันคนละที่ ที่ใครที่มันและต่างก็ตะโกนคำพูดที่ไม่สามารถส่งไปถึงใครได้ทั้งนั้น ผมยืนอยู่ข้างหลังพี่ยุนกิและพี่ซอกจิน แต่ผมก็เดินล้ำหน้าพี่เขาไป เดินไปจนถึงจุดที่คลื่นจะเข้ามากระทบ พลันก็รู้สึกราวกับถูกชำระล้าง ให้ความรู้สึกสดชื่นและเป็นสุข เสียงของพี่ ๆ ดังผสมปนเปกัน กลิ่นของทะเลที่มีกลิ่นคาวแฝงมาแต่ก็ยังคงรู้สึกสดชื่น หรือแม้แต่ลมที่พัดเข้ามาสัมผัสช่วงปลายนิ้ว ความรู้สึกต่าง ๆ นานาหลอมรวมกันกลายเป็น 1 … ผมเองก็เช่นกัน ตะโกนก้องไปที่ทะเลโดยไม่รู้ตัว ท่ามกลางเสียงเสียดแก้วหูของเครื่องจักร… แม้แต่ตัวผมเอง ผมยังไม่ได้ยินความฝันของตัวเองเลย

    ทันใดนั้น เสียงเครื่องจักรก็เงียบหายไปแทบจะทันที พื้นที่รอบข้างเงียบสงัดลงราวกับมีใครสักคนใช้มีดตัดฉับลงมา ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น แต่ว่าช่างไม่เข้ากับเสียงตะโกนของพวกผมเอาซะเลย พี่แทฮยองหน้าตาตื่นตกใจ รีบหุบปากลง แต่เหมือนพี่เขาจะสำลักเพราะไอคอกแคก เสียงของใครสักคนที่จู่ ๆ ก็ขึ้นโทนเสียงสูง มีเพียงประโยคข้างหลังที่ได้ยินว่า “…. ด้วยเถอะ!!!” มันเป็นคำพูดของพี่ซอกจิน และหลังจากนั้นทุกคนก็ปิดปากเงียบ ช่วงเวลาหนึ่งที่ทุกคนไม่ขยับตัวอะไรเลย แต่หลังจากนั้นก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาพร้อม ๆ กัน พวกผมต่างก็ยกนิ้วขึ้นชี้กันเป็นการแหย่ กลังจากนั้นก็กุมท้องหัวเราะงอหาย

    “มาถ่ายรูปของที่นี่กันเถอะ” พวกผมตอบรับกับคำพูดของพี่ซอกจิน พวกผมยืนเรียงกันหันหลังให้ทะเล พี่เขาตั้งเวลากล้องและวิ่งเข้ามาในเฟรม ทันทีที่เสียงแชะของกล้องดังนั้น นั่นหมายความว่าความสดใสในวันแรกของหน้าร้อนอันอบอ้าวได้ถูกสลักลงไปในภาพถ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขากลับรู้สึกว่าจะใช้เวลาน้อยกว่าตอนที่ไป พอคิดว่าเดินมาได้สักครึ่งทาง ก็เจอกับร่มชายหาดที่พวกผมวางทิ้งไว้ และถ้าเดินไปอีกหน่อยก็จะเจอกับสถานีรถไฟ

    “พี่ครับ ภาพนั้นผมขอได้ไหม?” พี่ซอกจินควักภาพโพลาลอยออกมาจากกระเป๋า พร้อมทั้งเขียนข้อความไว้ว่า “วันที่ 12 มิถุนายน” … “ความฝันที่นายตะโกนออกไป มันต้องเป็นจริงแน่นอน” ผมเงยหน้ามองพี่เขา “พี่ได้ยินเหรอครับว่าผมพูดอะไรออกไป?” พี่เขาไม่ตอบอะไรผมแต่กลับตบบ่าผมลงมาหนึ่งครั้งก่อนที่จะเดินนำหน้าผมไป

    ——————————————–
    NEXT : ทุกอย่างมันเริ่มต้นจากที่นี่ 
    ซอกจิน
    25 JUN 2019

    Translate by : INFINITA & INFINITA v.2 Admin 
    Book : 花様年華 The Notes 1 Japanese version

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in