เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Kiseki #johndosummerdaisy
Page 03

  • Page 3





    แดดร้อน อุณหภูมิ 34 องศา ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แต่สักพักเมฆฝนคงมาเหมือนกับทุกปี ไม่มีปีไหนฝนไม่ตกลงมากลางคัน



    วันนี้เป็นวันกีฬาสี ผมเดินสวนกับไอ้ยิ้มเมื่อกี้ มันยกมือก่ายหน้าบอกว่าแม่งเป็นวันที่โคตรเหนื่อยที่สุดในชีวิตนักเรียนม.5 ผมเข้าใจนะ เพราะตั้งแต่เช้ามืด มันก็ต้องวิ่งไปวิ่งมาทำนู่นทำนี่ตามประสาสภานักเรียน อย่างเช่นขนน้ำให้สียันกล่าวเชิญผู้ว่าฯ มาเปิดงาน ดูหน้ามันแล้วอดขำไม่ได้ แต่ยังไงก็กลัวเพื่อนจะซีดเป็นลมล้มตึง เลยสัญญาว่าหลังจบงานนี้ว่าจะซื้อน้ำแดงเพิ่มระดับน้ำตาลให้มันสักขวด ส่วนไอ้มะลิก็ไม่มีอะไรมากมาย นิสัยติดแฟนอย่างมันจะไปอยู่ไหนได้นอกจากไปเฝ้าป้อนข้าวป้อนน้ำแฟน ตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงาหัวเลย



    ส่วนผมก็กำลังนั่งจิ้มลูกชิ้นกินกับไอ้เด็กญี่ปุ่นอยู่บนสแตนด์ รอเวลาแข่งในช่วงบ่าย



    “เดี๋ยวชีวาก็จะแข่งแล้วใช่ไหม” ไดกิเอ่ยถามขณะเคี้ยวลูกชิ้นแก้มตุ่ย



    “อืม หลังจากน้องม.ต้น”



    เด็กตาแป๋วได้ยินอย่างนั้นก็วางไม้จิ้มลูกชิ้นในถุงแล้วหันไปค้นกระเป๋าสะพายของตัวเอง ผมมองตามอย่างเผลอตัว



    "ให้ชีวา" ไดกิยื่นถุงผ้าเล็ก ๆ สีส้ม ลายมังกร มีตัวหนังสือภาษาที่ผมอ่านไม่ออกแปะอยู่ด้านหน้าด้วย เจ้าตัวที่เห็นผมทำหน้ามึน ๆ ก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น "เครื่องรางน่ะ ฝากคุณพ่อซื้อมาตอนกลับไปบ้านที่ญี่ปุ่นคราวที่แล้ว จากอาซากุสะเลยนะ! "



    "แปลว่าอะไร" ผมถามซื่อ ๆ



    "สมปราถนา" ไดกิยิ้มตอบผม "ไม่ว่าชีวาจะหวังอะไร มันก็จะสำเร็จ... แต่ต้องเป็นเรื่องที่ดีนะ! "



    ตาหยี ๆ พ่วงมาด้วยรอยยิ้มเหงือกบานนั่นทำให้ผมเผลอยิ้มตาม



    "ขอบคุณนะ" ตอบออกไปพร้อม ๆ กับโทรศัพท์ในมือที่สั่นขึ้นมา "โดนเรียกให้ไปวอร์มร่างกายแล้ว ต้องไปแล้วล่ะ"



    "อื้ม ต้องชนะแน่" เจ้านั่นตะโกนไล่หลังมา



    วอร์มร่างกายประมาณสิบห้านาที พูดคุยกับประธานฝ่ายกีฬานิดหน่อย ตอนเดินเข้าไปในลู่วิ่ง ใครคนหนึ่งก็ผลักไหล่ผมให้เสียการทรงตัวเล็กน้อย ก็เลยยกศอกกระทุ้งท้องอีกฝ่ายเป็นการตอบโต้ มองเขม่นกันตามประสาคู่แข่งตลอดกาล



    ไอ้อู๋เป็นนักฟุตบอลฝีมือร้ายกาจ ขึ้นชื่อเรื่องวิ่งไวมาก ๆ ส่วนตัวผมไม่ได้อยากจะเยินยอเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเตะบอลเก่งจนได้เป็นกัปตันทีมตั้งแต่ม.5 อีกอย่างหนึ่งตอนนี้มันก็กลายเป็นเด็กมีสังกัดไปเรียบร้อย เพราะเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนมีตัวแทนจากสโมสรฟุตบอลมาทาบทาม มันยิ้มหน้าระรื่นทั้งวัน โคตรหมั่นไส้เลย



    ผมกับไอ้อู๋เห็นกันเป็นคู่แข่งมาตั้งแต่ประถม ไม่ว่าจะเรื่องกีฬา เรียน หรือพวกผู้หญิง ผลัดกันแพ้ชนะมาหลายครั้ง แต่ถ้าเป็นเรื่องกีฬา ผมไม่เคยชนะได้เลยสักครั้งเดียว ที่จริงผมจะแพ้ก็ได้ ไม่ได้คิดมากอะไร แต่ขี้เกียจไปฟังมันขิงข่าตอนแข่งจบก็แค่นั้น



    แต่วันนี้มันแตกต่าง ผมอยากชนะมากกว่าทุกครั้ง คงเป็นเพราะเจ้ากระต่ายญี่ปุ่นนั่น



    ผมเก็บเครื่องรางที่ไดกิให้ไว้ในกระเป๋ากางเกง ตอนนี้กำลังเตรียมตัวสำหรับรายการวิ่งแข่งชายเดี่ยว 400 เมตร ผมอยู่ลู่ถัดจากไอ้อู๋ รู้สึกถึงสายตาจอมปีศาจจ้องเขม็งมาจากข้างหลังเลยล่ะ สูดหายใจเข้าไปเต็มปอด เม้มริมฝีปากเข้าหากันเสียงเชียร์ดังกระหึ่มจากทั่วสารทิศ สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การมุ่งมองไปยังทางตรงหน้า และตั้งสติรับฟังเสียงสัญญาณ



    ปัง!!



    เหล่านักวิ่งต่างถีบออกตัวไปอย่างรวดเร็ว



    ท่ามกลางแสงแดดและเสียงเชียร์ ผมกัดฟันมุ่งหน้าไปเรื่อย ๆ ถ้าเป็นไดกิก็คงจะบอกว่ารู้สึกเหมือนกำลังวิ่งหนีสัตว์ประหลาดอยู่ในฝัน แต่ไอ้อู๋มันเป็นยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดนั่นอีก มันวิ่งไล่ตามหลังมาไม่ห่าง กระชั้นชิดเข้ามาจนได้ยินเสียงหอบหายใจยงหอบหายใจและเสียงฝีเท้า ในที่สุดมันก็วิ่งนำผมขึ้นไป



    โค้งสุดท้ายก่อนจะถึงเส้นชัยที่ผมเริ่มถอดใจพร้อม ๆ กับลมหายใจหอบเหนื่อยและช่วงขาที่อ่อนล้าลง



    "ชีวาสู้เขานะ!! "



    เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างสนามแทรกเสียงจากบนแสตนด์เชียร์ หางตาเหลือบไปเห็นเด็กแก้มแดงคนหนึ่งในเสื้อกีฬาสีม่วง กระโดดเหยง ๆ ยกมือป้องปากตะโกนทั้งที่ยังถือถุงลูกชิ้นไว้อยู่



    ผมเร่งฝีเท้า เร็วจนรู้สึกเหมืนกับจะลอยได้เสียอย่างนั้น เส้นชัยอยู่ตรงหน้า ผมภาวนา ขออีกแค่นิดเดียว อยากให้เจ้าเด็กคนนั้นดีใจ 



    ปี๊ดดด!



    เสียงนกหวีดดังขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา ไม่รู้เลยว่าใครชนะ เพราะในตอนที่วิ่งเข้าเส้นชัย ผมกับไอ้อู๋แทบจะเบียดกันเข้ามา กรรมการเดินมาบอกว่าต้องรอการตรวจสอบสักพัก



    หัวใจผมเต้นตึกตัก ยังคงหอบหายใจเพราะความเหนื่อย เหงื่อผุดเต็มหน้าผากไหลลงมาถึงคาง สภาพโคตรจะแย่ เหมือนไปวิ่งไล่ควายมาอย่างนั้นล่ะ อยู่ ๆ ที่ข้างแก้มก็มีอะไรเย็น ๆ มาแนบจนสะดุ้งตกใจ



    ไดกิเอาน้ำมาให้ ผมบอกขอบคุณก่อนจะรับมาดื่มจนหมดขวดอย่างรวดเร็ว



    "เหนื่อยมากเลยใช่ไหม" เขาถาม ฉีกยิ้มกว้างเห็นเหงือกชมพู ข้างแก้มมีรอยหนวดแมวด้วย แต่อยู่ ๆ ก็ยกกำปั้นขึ้นมาทำมห้ตามุ่นมั่น "เราว่าชีวาต้องชนะแน่เลย! "



    "ยังไม่รู้เลย" ผมตอบไปด้วยหอบไปด้วย "แต่ก็หวังอยู่นะ"



    ไดกิยังคงยิ้มมองผมอยู่อย่างนั้น สงสัยเหลือเกินว่าหน้าผมมันมีอะไรติดอยู่นอกจากความหล่อเหลา ไดกิเอียงคอมอง ตากลม ๆ นั่นทำให้หัวใจของผมแทบหยุดเต้น



    จะฆ่ากันให้ได้เลยหรือไง



    "เหงื่อออกเยอะมากเลย เดี๋ยวเช็ดให้นะ"



    ปกติแค่ให้ผ้าขนหนูก็พอ แต่ไดกิทำมากว่านั้น ผ้าเช็ดหน้าลายตารางสีฟ้าถูกซับลงบนใบหน้าชื้นเหงื่อของผม ไม่ทันได้ตั้งตัวก็เลยตกใจนิดหน่อย



    "ไม่ได้เอาไปเช็ดน้ำมูกหรอกน่า" ไดกิทำปากยื่น



    "เปล่า ไม่ได้ว่าอย่างนั้น" ไอ้ญี่ปุ่นยังไม่เลิกระแวง หรี่ตามองผมใหญ่ "หอมดี"



    อยู่ ๆ ก็เผลอพูดสิ่งที่คิดออกไป ไดกิชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะกลั้นหัวเราะ



    "ก็ต้องหอมสิ เราซักกับมือ" ยิ้มกว้างราวกับภูมิใจมากมาย



    เวลาไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำหลังจากที่วิ่งเข้าเส้นชัย ตอนนี้ผมหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง บางทีผมเกิดสงสัยขึ้นมาว่าเจ้าเด็กญี่ปุ่นนี่เป็นตัวอะไรกันแน่ อยู่ด้วยแล้วรู้สึกดีชะมัดยาด



    ในระหว่างที่คุยเล่นกับไดกิ เสียงประกาศผู้ชนะก็ดังขึ้น ทั้งสนามพร้อมใจกันเงียบเสียงลงเพื่อลุ้นว่าระหว่างสีม่วงกับสีฟ้าใครจะเป็นผู้ชนะในการแข่งขันรายการนี้



    เสียงเฮดังขึ้นมากว่าเดิมสองเท่าจากฝั่งสีฟ้า ในขณะที่สีม่วงข้าง ๆ นั่งกุมหัวกันเป็นแถว ผมเองก็ซ่อนความรู้สึกผิดหวังนั้นไม่ได้เลย



    สีฟ้าชนะจนได้



    อีกแค่นิดเดียวแท้ ๆ ห่างกันไม่ถึงหนึ่งวินาทีเองแท้ ๆ ผมถอนหายใจด้วยความเสียดาย



    "แพ้แล้วล่ะ" ผมบอกเสียงหงอยอีกคนที่ยืนอยู่ด้วยกัน



    "ไม่เป็นไรหรอกเนอะ เก่งมากแล้วล่ะชีวา" ไดกิเอ่ยพลางลูบหลังเพื่อปลอบโยนผม "เหมือนกับที่เราขอไว้ ให้ชีวาวิ่งเข้าเส้นชัยโดยไม่เจ็บตัวก็ดีแล้ว"



    "นายขออย่างนั้นเหรอ" ผมถาม



    "อืม ขอโทษนะ เราน่าจะขอให้ชีวาชนะมากกว่า" ไดกิทำหน้าเศร้าเป็นกระต่ายหูตก



    "เปล่า ไม่ได้จะว่านะ จะขอบคุณต่างหาก" ผมรีบบอกไป ไม่อยากให้เจ้าเด็กนี่ต้องหงอยไปตามผม ไม่อยากให้เขาโทษตัวเอง อีกอย่างมีไม่กี่คนหรอกที่จะใส่ใจผมแบบนี้ ก็เลยรู้สึกตื้นตันขึ้นมาเลยล่ะ



    "อืม ตอนเห็นชีวาวิ่งเอาเป็นเอาตาย เรากลัวว่าชีวาจะล้มจนเจ็บตัวน่ะสิ เป็นห่วงมากเลยล่ะ ก็เลยขอไปแบบนั้นก่อน" เสียงของไดกิมักจะนุ่มนวลเสมอชวนให้รู้สึกถึงความอบอุ่นที่มีของเขา ทำให้รับรู้ได้เลยว่าเขาถูกเลี้ยงมาอย่างดี



    "ก็อยากชนะนี่นา วิ่งเป็นคนบ้าเลย" แต่ผมมันเป็นเด็กผู้ชายบ้าระห่ำ ยืนเกาคางไม่มีข้อแก้ตัว ก่อนจะนึกเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นได้ "จริงสิ ต่อจากนี้จะมีประกาศรางวัลอีกนะ"



    "รางวัลอะไรเหรอ" ไดกิทำตาโตสงสัยอีกครั้ง



    "รอฟังแล้วกัน"



    ผมจูงมือไดกิมานั่งฝั่งตรงข้ามกับแสตนด์เชียร์ที่คนน้อยกว่า เจ้านั่นทำหน้างง แต่ก็ยอมเดินตามมาอย่างว่าง่ายสมกับเป็นเด็กดี



    เราพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย ถ่ายรูปบรรยากาศ รวมถึงกันและกัน เวลาที่ผมรอคอยก็มาถึง แต่ไดกิยังไม่รู้เรื่อง มันเป็นรางวัลเริ่มมอบตั้งแต่ปีนี้ ผมเองก็เพิ่งรู้จากไอ้ยิ้มเมื่อเช้านี้เหมือนกัน รางวัลสแตนด์เชียร์สวยงามน่ะ



    "และรางวัลพิเศษที่มีเพียงแค่หนึ่งเดียว รางวัลแด่ผู้ทุ่มเทและสร้างสรรค์ รางวัลสแตนด์เชียร์สวยงาม จะตกเป็นของสีไหน เรามาลุ้นกันครับ!!! "



    หลังจากที่ได้ยินเสียงประกาศ เจ้ากระต่ายก็หูผึ่ง เงยหน้ามามองผม



    "มีรางวัลแบบนี้ด้วยเหรอ"



    "มีสิ คราวนี้เราไม่พลาดแน่ไดกิ ดาวพลูโตของเราน่ะ" ผมตอบเขาพลางมองไปที่ฝั่งตรงข้าม ตรงสแตนด์เชียร์สีม่วง มีผืนผ้าใบผืนใหญ่ที่มีดาวพลูโตเป็นพระเอกประดับอยู่ หรือก็คือผลงานชิ้นโบว์แดงของนายไดกิคนนี้



    อีกไม่กี่อึดใจก็จะได้รู้ผล ใจของผมเต้นรัวและแรง ไดกิคงจะเหมือนกัน



    ถ้ามันเป็นไปตามที่ผมหวังไว้กับเจ้าเครื่องรางในกระเป๋าแล้วล่ะก็ ไดกิคงยิ้มไม่หุบแน่ ๆ



    และมันก็เป็นอย่างนั้น



    ดาวพลูโตที่น่าสงสารดวงนั้นได้กลับมาเฉิดฉายขึ้นมาตามที่ไดกิตั้งใจไว้ เจ้าของผลงานร้องดีใจจนแทบจะกระโดดเด้งตัวขึ้นมา



    "ชนะด้วยล่ะ เจ้าพลูโตของเรา!"



    "เก่งมากเลย"



    ผมลูบหัวคนข้าง ๆ ด้วยความเอ็นดู แค่ได้เห็นเขามีความสุข ผมก็ลืมความผิดหวังที่วิ่งแข่งแพ้มา ยังไงความปรารถนาของผมก็สมหวังตั้งข้อหนึ่ง



    "อะแฮ่ม"



    เสียงกระแอมดังมาจากข้างหลัง ไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนอื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่



    "หวานหยดแบบนี้ไม่ต้องซื้อน้ำแดงมาให้กูก็ได้แล้วมั้ง แค่ยืนดูพวกมึง ระดับน้ำตาลในเลือดกูก็พุ่งกระฉูดเลย" ไอ้ยิ้มยืนท้าวเอวย่นปากบ่น "ตามตัวอยู่นั่งนาน ไอ้พวกบ้า จะมานั่งจีบกันอะไรตรงนี้"



    "จีบกะ ก็...บ้าล่ะ/จะ จ...จีบ จีบเหรอ"



    ผมกับไดกิพูดพร้อมกันไม่พอ ยังลิ้นพันกันมั่วไปหมด หน้าแดงเพราะอากาศร้อนหรืออะไรก็ไม่รู้ล่ะ แต่ที่แน่ ๆ หน้าของผมร้อนเป็นบ้า



    "เหอะ" ในขณะที่ไอ้ยิ้มส่งเสียงในลำคอ "ไปรวมกับสีได้แล้ว"



    เอ่ยบอกแล้วเดินจากไปอย่างไม่ใยดี ทิ้งให้เราสองคนนั่งงทำตัวไม่ถูกอยู่ที่เดิม ก่อนที่ผมจะดึงสติกลับมาได้ แล้วชวนไดกิลงไปตามที่ไอ้ยิ้มบอก



    มาถึงช่วงสุดท้ายของวันกีฬาสี ฝนตกลงมาตามคาด ไม่ได้หนักมาก แค่พอให้ชุ่มชื้น ในระหว่างที่รอการสรุปผลคะแนนรวม ผมอยู่ใต้ร่มคันเดียวกันกับไดกิด้วยความจำเป็น เพราะไอ้ยิ้มแย่งร่มของผมไปใช้



    "เปียกหรือเปล่า" ผมเอียงคอถามคนตัวเล็กกว่าที่ยืนกอดกระเป๋านิ่งเป็นตุ๊กตา



    "เปล่า ชีวาสิ ไหล่เปียกหมดแล้ว" ไดกิมองตรงมาที่ไหล่ข้างซ้ายของผมที่โดนฝนจนเปียกชุ่ม



    "ดีกว่าให้นายเปียก"



    "ชีวาเหมือนพระรองเลย" ไดกิพูดขึ้น สบตากับผมในช่วงท้าย



    "เฮ้ย ต้องพระเอกหรือเปล่าแบบนี้" ผมแย้ง ถ้าทำขนาดนี้ได้เป็นแค่พระรอง ผมจะหนีออกจากกองถ่ายเลยล่ะ



    "พระรองน่ะถูกแล้ว เพราะพระเอกชอบใจร้าย พระรองใจดีกว่า หล่อกว่าด้วยนะ เวลาดูหนัง เราก็ชอบแต่พระรอง" เจ้ากระต่ายตัวนี้ยืนเถียงไม่ถอดใจ



    "ละครตอนม.4 เราก็ได้เล่นเป็นพระรองนะ" เพราะพูดถึงเรื่องนี้ ก็เลยนึกขึ้นได้ว่าเคยมีเรื่องอะไรแบบนี้อยู่เหมือนกัน



    "ได้แสดงละครด้วยเหรอ น่าเสียดาย เรามาช้าไป อยากดูชีวาแสดง"



    "ไม่มีอะไรหรอก อย่าเสียดายเลย"



    มันจะไม่มีอะไรมากกว่านี้ถ้าไอ้ยิ้มไม่เดินผ่านมาได้ยินบทสนทนาของเราอีกแล้ว มันรีบกระซิบกระซาบกับไดกิแล้วรีบชิ่งหนีไป โดยไม่คืนร่มให้ผม



    "ยิ้มบอกว่าจะส่งคลิปให้เราดูคืนนี้ล่ะ"



    หลังจากซุบซิบกับไอ้ยิ้ม จะโดนพลังอำนาจชั่วร้ายครอบงำอยู่แล้วยังทำหน้าระรื่นได้อีกนะตัวแสบ



    หลังบทสนทนาของเราจะกลืนหายไปกับเสียงฝนและเสียงพิธีกรงานกีฬาสี จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนเลิกงาน ผลสรุปก็คือสีม่วงได้เพียงแค่ที่สาม ถึงจะน่าเสียดาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าวันนี้เป็นกีฬาสีที่ผมมีความสุขที่สุดถึงแม้จะไม่ชนะอะไรเลยก็ตาม



    ผมไปส่งไดกิที่บ้านอย่างปลอดภัย สังเกตเห็นหน้าคล้ำแดดจนแดงของไดกิก็เลยบอกให้รีบไปอาบน้ำทาครีม ก็ไม่อยากให้ผิวนุ่ม ๆ นั่นกร้านแดดจนแห้งแตกเป็นขุ่ยนี่ ไดกิหัวเราะให้กับท่าทางของผมแล้วบอกว่าผมทำอย่างกับเป็นคุณพ่อมือใหม่ เอาล่ะ ผมได้ตำแหน่งใหม่แล้วล่ะ คราวนี้กลายเป็นพ่อไปแล้ว



    พอแยกจากไดกิก็ตรงกลับบ้านของผม พวกเราได้พูดคุยถึงเรื่องเราสนุก ๆ ที่ผ่านมาในวันนี้กันในกลุ่มเพื่อน รวมถึงแชร์รูปถ่ายให้กัน หลังจากอาบน้ำจนตัวหอมก็มานอนดูรูปที่พวกเพื่อน ๆ ส่งมาเกือบพันรูป เกิดสงสัยว่ากับการเรียนนี่จริงจังเหมือนถ่ายรูปกันหรือเปล่าเจ้าพวกม.5/1



    ยังไงก็ตาม หนึ่งในเกือบพันรูปนั้นมีรูปถ่ายของผมกับไดกิตอนที่นั่งอยู่ด้วยกันที่อีกฝั่งหนึ่งของสแตนด์เชียร์ด้วย องค์ประกอบสวยดี ไม่แปลกใจเลย เพราะเป็นรูปที่ไอ้เมฆ ช่างถ่ายรูปมือหนึ่งของห้องถ่ายเอาไว้ ผมกดเซฟลงโทรศัพท์เอาไว้เป็นอีกหนึ่งความทรงจำในปีนี้



    วางโทรศัพท์ลงแล้วหันไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ มีหนังสือวางอยู่ หลังจากงานรื่นเริง ต่อจากนี้ก็คือสนามรบ การสอบกลางภาคใกล้เข้ามาแล้ว ผมคิดว่าควรจะเตรียมตัวไว้ตั้งแต่ตอนนี้



    ผ่านไปครึ่งชั่วโมงในตอนที่ผมกำลังหัวหมุนกับโจทย์เคมี โทรศัพท์บนหัวเตียงสั่นครืด ๆ ผมวางปากกาแล้วลุกไปดู ไดกิโทร.มา ผมกดรับอย่างไม่รีรอ



    สิ่งแรกที่ได้ยินคือไดกิได้ดูคลิปการแสดงของผมเมื่อตอนม.4 เรียบร้อยแล้ว บอกว่าผมแสดงแข็งเป็นหิน ล้อเลียนบทพูดของผมไม่ยอมหยุด มันน่าตีนัก เพราะอย่างนี้ถึงไม่อยากให้ดูไง เจ้ากระต่ายตัวแสบได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อน



    เขาถามผมอีกว่าทำอะไรอยู่ ผมก็ตอบไปตามจริงว่ากำลังทำโจทย์เคมี ปลายสายเงียบไปสักพัก บอกว่าไม่อยากรบกวน แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน มันเหงา เขาพูดเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงเกรงใจ



    ผมเผลอยิ้ม แล้วก็อาสาที่จะจคุยเป็นเพื่อนเขาไปพร้อม ๆ กับอ่านหนังสือ



    ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้กับคนอื่นเลย ไดกิเป็นคนแรก ไม่รู้ทำไม แต่พอเป็นเขา ผมก็ยอมหมดทุกอย่าง



    ไม่มีข้อแม้อะไรเลย







    TBC.

    #kisekijohndo











Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in