เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Kiseki #johndosummerdaisy
Page 01


  • วันนี้เป็นวันจันทร์ที่พิเศษกว่าวันจันทร์ทั่วไปนิดหน่อย เพราะมันเป็นวันจันทร์ที่ห้องม.5/1 ของเราจะมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน


    “สวัสดี เราชื่อไดกิ ฝากตัวด้วยนะ”


    ประโยคแนะนำตัวสั้น ๆ ของเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ดึงความสนใจจากหน้าหนังสือการ์ตูนที่แอบอ่านอยู่ใต้โต๊ะไป ไม่น่าเชื่อว่าที่นั่งของผมตรงหลังห้องของผมจะเห็นหน้าของเขาได้ชัดเจนขนาดนั้น และมันทำให้เราสบตากันโดยบังเอิญ ตาใสแป๋วเลยล่ะ เพราะอย่างนั้นก็เลยรู้สึกว่าหน้าตาของเขาดูใสซื่อผิดกับเด็กผู้ชายทั่วไปยังไงก็ไม่รู้ ใช้คำว่าหน้าหวานก็ได้ล่ะมั้ง อย่างกับเด็กญี่ปุ่นแหนะ


    “เอาล่ะ เธอไปนั่งตรงนั้นแล้วกัน”


    สิ้นเสียงของครูประจำชั้น ที่นั่งข้างผม ‘ตรงนั้น’ ที่เคยว่างอยู่เป็นปีก็ถูกเติมเต็มสักที


    “สวัสดี เราชื่อไดกิ” เสียงทักทายดังขึ้นอีกครั้งเรียกสติของผมที่หลุดลอย เขานั่งลงข้าง ๆ พร้อมกับวางกระเป๋าพิงกับเก้าอี้


    มีลมพัดเบา ๆ ผ่านทางหน้าต่างที่ถูกเปิดไว้ กลิ่นหอมอ่อน ๆ โชยมาเตะจมูก แต่ก็เพิ่งจะนึกได้ว่าช่วงนี้ดอกไม้ยังไม่บาน บางทีอาจเป็นกลิ่นของเขา และเมื่อได้มองใกล้ ๆ เลยรู้ว่าเขาไม่ได้ตัวเล็กอย่างที่คิด ตัวสูงประมาณเด็กมัธยมปลายทั่ว ๆ ไป แต่ถึงยังไงก็ไม่ได้ตัวสูงเท่ากับผมอยู่ดี ฉายาเจ้าตัวเล็กก็ดูเหมาะกับเขาดี


    ชีวา” บอกชื่อตัวเองกับเขา ผมไม่ค่อยเก่งเรื่องทำความรู้จักสักเท่าไหร่ก็เลยไม่มีอะไรหลังจากนั้น


    ไดกิเอียงหัวเล็กน้อย ตาใส ๆ ของเขาดูเหมือนซ่อนดวงดาวเปล่งประกายไว้ตลอดเวลา ก่อนที่ริมฝีปากบางจะยกยิ้มจนตาตี่ คนอะไร นอกจากหน้าเหมือนกระต่ายแล้วก็ยังมีหนวดแมวด้วย


    “ยินดีที่ได้รู้จักนะชีวา”


    “ยินดีที่ได้รู้จักไดกิเหมือนกัน”


    หลังจากโฮมรูม วิชาแรกของวันจันทร์ก็คือภาษาอังกฤษ ตลอดสิบห้านาทีแรกของการเรียน ผมรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่แอบมองมาทางผมอยู่เรื่อย และเมื่อมองกลับไป สายตานั้นก็หลบไปทางอื่นเสียก่อน บนโต๊ะของไดกิมีแค่สมุดที่เพิ่งจดคำศัพท์ในบทเรียนลงไปกับดินสอในมือของเขาเท่านั้น


    “ยังไม่มีหนังสือเหรอ” ผมเอ่ยถามเขา เขาพยักหน้ายอมรับน้อย ๆ อย่างกับเด็กสำนึกผิด ช่วยไม่ได้ที่จะต้องหัวเราะออกมากับภาพที่ได้เห็น “ทำไมไม่รีบบอก จะให้แบ่งให้ดูด้วย”


    “เห็นชีวาตั้งใจเรียนมากก็เลยไม่กล้ารบกวน” ไดกิตอบกลับเสียงอ่อน จิ้มดินสอกับหน้ากระดาษไปพลางในตอนที่ผมแบ่งหนังสือให้เขาดู


    “ไม่เป็นไรหรอก ยังไงก็เป็นเพื่อนกันนี่” ไดกิหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยหลังจากที่ผมพูดทำเอาใจหายว่าผมพูดอะไรผิดไป กลัวทำลูกคนอื่นร้องไห้ “เป็นอะไรหรือเปล่า”


    “ไม่มีอะไร ขอบคุณนะ” ไดกิส่ายหน้ารัวแล้วก็คลี่ยิ้มตาตี่นั่นออกมาอีกครั้ง


    ไดกิดูเหมือนกับเด็กซื่อ ๆ ในเวลาเดียวกัน ผมก็รู้สึกว่าเขาช่างลึกลับแล้วก็เข้าถึงยากนิดหน่อย บนใบหน้าของเขามักจะมีรอยยิ้มกว้างสดใส แต่ผมก็เชื่อว่าข้างในใจมีกำแพงกั้นไม่ให้ใครเข้าไปง่าย ๆ อยู่ อาจจะเป็นเพราะเรายังไม่สนิทกันมากพอที่จะทลายกำแพงนั้น


    เรากลับมาสนใจเรียนอีกครั้งหลังจากบทสนทนาเล็ก ๆ และโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ไดกิก็โดนครูเรียกให้อ่านบทความย่อหน้าแรกที่มีคำศัพท์แปลก ๆ อยู่นิดหน่อย เขาทำหน้าลำบากใจกับตัวหนังสือที่เรียงรายกันยาวเหยียดนั้น ก่อนจะพ่นลมหายใจออกทางปากเบา ๆ แล้วใช้นิ้วชี้ไปตามข้อความที่กำลังอ่าน ดูเหมือนกับเด็ก ๆ จริง ๆ นั่นแหละ


    แต่นั่นก็ทำให้ผมได้รู้ว่าไดกิไม่เก่งภาษาอังกฤษเอาเสียเลย


    “ช่วยด้วย...” สายตาอ้อนวอนพร้อมกับคิ้วตก ๆ ถูกส่งมาพร้อมกับคำเอ่ยขอความช่วยเหลือแผ่ว ๆ


    ผมแอบอ่านให้เขาฟังเบา ๆ เพื่อให้เขาอ่านตามประโยคต่อประโยคจนจบย่อหน้า และในระหว่างที่อ่านหนังสือไปด้วยกัน ความรู้สึกเดียวดายจากการนั่งอ่านหนังสือคนเดียวมานับปีดูเหมือนจะเลือนหายไปบ้างนิดหน่อย ช่องว่างที่เคยมีก็ค่อย ๆ ลดลงแล้วขยับใกล้กันเข้ามามากขึ้นไปพร้อมกับหน้าหนังสือที่เปิดออกไปทีละหน้า


    เวลาผ่านไปถึงตอนเที่ยง ผมเอ่ยชวนไดกิให้ไปกินข้าวด้วยกันกับพวกเพื่อนของผมที่เรียนอยู่อีกห้อง แต่เขาก็บอกว่าห่อข้าวมาทำให้คำชวนของผมเป็นหมัน


    ผมไม่ได้มีเพื่อนมากมาย ทั้งชีวิตการเป็นนักเรียนของผมมีเพื่อนอยู่สองคน หนึ่งคือไอ้ยิ้มที่อยู่ห้องเดียวกัน เพราะความขี้จุกจิกโดยธรรมชาติก็เลยโดนยัดเยียดตำแหน่งหัวหน้าห้องไปซะอย่างนั้น ผ่านมาสองปีแล้ว มันก็ยังบ่นว่าไม่ยุติธรรมอยู่เลย ผมปลอบมันว่าอย่างน้อยมึงก็มาจากการเลือกตั้งที่โปร่งใสไม่ได้โกงใคร ส่วนอีกคนคือไอ้มะลิ อยู่ห้อง 3 เป็นลูกชายร้านขายยาเก่าแก่ของจังหวัด มีแฟนชื่อไอ้โจ้ นิสัยของไอ้มะลิไม่ได้นุ่มนวลเหมือนกับชื่อเท่าไหร่ อย่างที่บอก ผมไม่ใช่พวกชอบสาธยายอะไรยาวยืด เอาเป็นว่าคบกันมาขนาดนี้ได้ นิสัยก็คงจะลงตัวกันอยู่บ้างนั่นแหละ


    วันนี้ไอ้ยิ้มท้องเสียหนักแทบจะนอนในห้องน้ำเลยมาโรงเรียนไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังพยายามโทรมาบอกผมด้วยน้ำเสียงเหมือนคนใกล้ตายว่าช่วยบอกครูให้หน่อยแล้วจะร่อนจดหมายลาไปทีหลัง ผมก็ยังคิดอยู่ว่าทำไมมันไม่โทรหาครูเองให้มันจบเรื่องไปเลยนะ เอาเถอะ ก็สมกับเป็นมันดี


    ผมเดินไปหาไอ้มะลิที่อยู่ห้อง 3 แล้วก็เดินไปหาแฟนมันที่ห้อง 8 อีกทีเพื่อจะลงไปกินข้าวด้วยกัน อีกครั้งที่ผมไม่เข้าใจว่าพวกเพื่อนของผมจะทำให้ชีวิตมันยุ่งยากไปทำไม ถ้านัดเจอกันที่โรงอาหาร เราก็จะไม่เสียเวลาเดินไปเดินมาเป็นสิบนาที


    “ห้องมึงมีเด็กใหม่ย้ายมานี่” ไอ้มะลิเอ่ยถามทั้งที่ยังเคี้ยวข้าวอยู่ตุ้ย ๆ


    “อือ เป็นคนญี่ปุ่นด้วย” ความจริงก็แค่ครึ่งเดียวน่ะนะ


    “ไม่ชวนมากินข้าวด้วยกันล่ะ จะได้เป็นเพื่อนกัน” ไอ้มะลิอัธยาศัยดีกว่าผมเยอะ ก่อนหน้านี้ก็คิดอยู่ว่าถ้าชวนไดกิมาแล้วน่าจะเป็นเพื่อนกันได้ไม่ยาก แต่เจ้าตัวไม่ยอมมานี่สิ


    “ชวนแล้วไม่มา” ผมยักไหล่ตอบ “ไว้จะลากเข้ากลุ่มแล้วกัน”


    พวกเราก็เหมือนกับกลุ่มเพื่อนทั่วไปที่มีกลุ่มไลน์เอาไว้คุยเรื่องสัพเพเหระ ตั้งแต่เรื่องไม้จิ้มฟันยันเรือรบ แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าไดกิจะยอมเข้าหรือเปล่า จริง ๆ แล้วผมก็อยากเป็นเพื่อนกับเขานั่นแหละ ยิ่งเห็นว่าเป็นคนไม่ค่อยคุยก็กลัวว่าจะเหงา อีกอย่างการอยู่คนเดียวในโรงเรียนมันลำบากในหลาย ๆ เรื่องล่ะนะ


    เวลาพักเที่ยงหมดลง ผมกลับขึ้นมาที่ห้องก็เห็นว่างไดกิยังคงนั่งอยู่ที่ที่นั่งของเขา กำลังวาดรูปแล้วก็ฟังเพลงอยู่ โยกหัวตามจังหวะดนตรีที่ผมได้ยินแผ่ว ๆ ผ่านจากหูฟังของเขาก็เลยเกิดความอยากรู้ขึ้นมา


    “ฟังอะไรอยู่” ผมเอ่ยถาม


    “กลับมาแล้วเหรอ” ไดกิสะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่ทันได้สังเกตว่าผมนั่งอยู่ข้าง ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ “ฟังเพลงอยู่น่ะ”


    แหงสิ คงไม่ได้ฟังบทสวดชินบัญชรแล้วโยกหัวขนาดนั้นหรอกมั้ง


    “อยากฟังไหม” ไดกิถอดหูฟังข้างซ้ายแล้วยื่นให้ผมพร้อมกับรอยยิ้มตาตี่หนวดแมวนั้น


    ผมรับหูฟังข้างนั้นมาก็เท่ากับนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้แชร์หูฟังฟังเพลงกับใคร เพลงที่ไดกิฟังเป็นภาษาญี่ปุ่นที่ผมไม่รู้จัก แน่นอนว่าไม่รู้ความหมายของมันเลยแม้แต่น้อย ถึงจะงง ๆ ในตอนแรก พอฟังไปฟังมากลับคิดว่าเพลงที่ผมไม่เคยฟังนี้ก็เพราะดีเหมือนกัน เขาว่ากันว่าภาษาของเพลงถึงจะไม่ใช่ภาษาของเรา ยังไงเราก็เข้าใจอยู่ดี (มั้ง)


    “เพลงอะไรเหรอ เพราะดี” ผมถามหลังจากที่เพลงจบ


    “คิเซะคิ” ไดกิตอบผมยิ้ม ๆ


    “มันเป็นเพลงยังไง” ผมถามอีก


    “คิเซะคิ แปลว่าเรื่องมหัศจรรย์ ก็เป็นเพลงรักทั่ว ๆ ไปนั่นแหละ ไม่มีอะไรเลย” ไดกิตอบพร้อมกับรับหูฟังคืนไปแล้วม้วนเก็บเข้ากล่อง “ลองไปหาคำแปลอ่านดูก็ได้”


    “อืม จะลองดู” ไดกิกำลังเก็บโทรศัพท์ ผมก็เลยนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นโอกาสที่ดีถ้าจะขอไลน์ของเขา “ไดกิมีไลน์ไหม”


    ผมให้เหตุผลประกอบไปว่าเผื่อไดกิมีอะไรให้ผมช่วยก็จะได้ติดต่อมา แล้วถ้าเกิดมีข่าวสารอะไร ผมก็จะได้บอกเขา เป็นเหตุผลธรรมดา ๆ เพราะยังไงมันก็ไม่มีอะไรมากว่านั้นอยู่แล้ว


    แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าในใจก็แอบหวังอยู่ลึก ๆ ว่าจะได้คุยกันมากกว่านั้นล่ะนะ


    วิชาสังคมเป็นวิชาแรกของภาคบ่าย น้อยคนนักจะคิดว่ามันน่าสนใจ แอบสงสารครูที่สอนวิชานี้อยู่เหมือนกันที่นักเรียนหลายคนไม่ได้ตั้งใจเรียนมากเท่าที่ควร มิหนำซ้ำยิ่งได้มาเรียนหลังกินข้าวแบบนี้ คำเอ่ยที่ว่าหนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อนจะเห็นผลได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่าเจ้าเด็กที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็มีอาการแบบนั้นเช่นกัน


    “ถ้าหลับล่ะก็นายสอบไม่ได้แน่” ผมเอนตัวไปกระซิบข้างหูของคนสัปหงกจนสะดุ้งเฮือก


    “ใครหลับกัน” ไดกินิ่วหน้าปฏิเสธเสียงแข็ง คงจะคิดว่าทำหน้าตาได้น่ากลัวที่สุดในโลกแล้วล่ะมั้ง อยากยื่นกระจกให้ส่องเลย


    “อย่าลืมเช็ดน้ำลายที่มุมปากด้วยล่ะ” ไม่มีน้ำลายที่ว่านั้นหรอก ก็แค่อยากจะแกล้งเขาเท่านั้นเอง


    ไดกิทำตาโตรีบเอาหลังมือเช็ดน้ำลาย (ที่ไม่มีอยู่จริง) จนปากยู่ ผ่านไปสักพักก็คงจะรู้ตัวว่าโดนผมหลอกเข้าให้แล้วก็เลยเปลี่ยนสีหน้ามามองค้อนพร้อมกับเอามือนั้นตบลงที่ไหล่ของผมเบา ๆ


    “ชีวาอะ...”


    ขอโทษนะ เผลอขำจนไหล่สั่นเลย


    แย่แล้วสิ รู้สึกว่าตัวเองนิสัยไม่ดีขึ้นมาเลยล่ะ แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา พอเห็นหน้าแล้วก็ดันอยากแกล้งขึ้นมาซะงั้น ปกติก็ไม่ได้เป็นแบบนี้สักหน่อย ทำไมกันนะ


    กริ่งดังบอกเวลาโรงเรียนเลิก เสียงจอแจของนักเรียนก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อนผู้ชายส่วนหนึ่งก็พากันไปเตะบอลอย่างที่ทำเป็นประจำหลังเลิกเรียน พวกผู้หญิงก็ชวนกันไปอ่านหนังสือบ้าง ซื้อขนมกินหน้าโรงเรียนบ้าง ส่วนพวกที่เหลือที่ติดแหงกอยู่ในห้องก็คือพวกที่เป็นเวรทำความสะอาด หนึ่งในนั้นก็คือผม


    “ให้เราช่วยไหมชีวา” เสียงของไดกิดังขึ้นมาในขณะที่ผมกำลังเช็ดกระดาน คนตัวเล็กยกมือปิดจมูกเพราะฝุ่นชอล์กคละคลุ้ง แต่ก็ยังมิวายทำตาแป๋วกะพริบตาปริบ ๆ ให้ตายเถอะ ใครเห็นแล้วจะไม่เอ็นดูบ้าง


    “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวนายก็ได้ทำเวรของตัวเองอยู่ดี” ผมตอบ แต่ไม่ทันได้พูดต่อ ยัยพลอยที่อยู่ห้อง 3 ก็เข้ามาเรียกผมให้ออกไปคุยด้วยข้างนอก ผมเลยต้องแยกกับไดกิเสียก่อน “เดี๋ยวมานะ”


    ผมเดินตามพลอยมาที่ระเบียงหน้าห้อง ทั้ง ๆ ที่มือก็ยังคงถือแปรงลบกระดานอยู่อย่างนั้น


    “คนนั้นน่ะเหรอเด็กใหม่” ไม่ว่าใครที่มาที่ห้องของผมก็มักจะถามหาไดกิกันทั้งนั้น สิบคนได้แล้วมั้งวันนี้ที่ผมเจอคำถามนี้


    “อืม แล้วแกมีอะไรอะ” ผมเอ่ยเริ่มประเด็น


    “ก็เรื่องกีฬาสีไง...”


    จริงสิ ถ้าพลอยไม่พูดถึงขึ้นมาก็คงจะลืมไปแล้วแน่ ๆ เพราะมัวแต่ทำนู่นทำนี่จนไม่ได้คิดถึงเรื่องกีฬาสีที่จะมีในเดือนหน้านี้เลย ผมกับพลอยเป็นตัวแทนของสีก็เลยต้องมาวางแผนอะไรกันนิดหน่อย แต่มันก็นานกว่าที่คิด กว่าจะเสร็จพวกเพื่อนที่ทำเวรด้วยกันก็ทยอยกลับกันไปหมดแล้ว


    เหลือแต่คนที่ไม่ได้ทำเวรอย่างไดกินั่งอยู่ที่โต๊ะของเขา


    “อ้าว ยังไม่กลับเหรอ” ผมเอ่ยถาม


    “อื้อ แม่ติดประชุมก็เลยยังมารับไม่ได้น่ะ...” ไดกิทำหน้าละห้อยตอบผมเสียงหงอย


    “งั้นเรากลับด้วยกันไหม” ผมเอ่ยถามออกไปอย่างไม่รู้ตัว


    รู้ตัวอีกทีข้างหลังของผมก็มีกระต่ายตัวโตเกาะอยู่ไม่ยอมปล่อยซะแล้ว ถือว่าเป็นโชคดีที่บ้านของเราอยู่ทางเดียวกัน และมันก็เป็นครั้งแรกที่ระหว่างทางกลับบ้านของผมไม่ได้เดียวดายอย่างที่ผ่านมา ในตอนที่ติดไฟแดง ไดกิก็เอ่ยถามถึงพลอยขึ้นมา


    “แฟนของชีวาเหรอ”


    “จะบ้าเหรอ เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถมเฉย ๆ” ผมบอกไปตามความจริง ไม่รู้ทำไมคนถึงชอบคิดว่าผมกับพลอยเป็นแฟนกันอยู่เรื่อย ความจริงน่ะนะ “พลอยกำลังคุยกับไอ้ยิ้มต่างหาก”


    “แล้วชีวาไม่มีแฟนเหรอ” นึกแล้วเชียวว่ามันต้องเป็นคำถามต่อไป ตอนบอกเลขหวยให้แม่ทำไมไม่ถูกแบบนี้บ้าง


    “ไม่มีหรอก” ก็ไม่มีใครถูกใจเลยสักคนนี่นา


    “ดูเหมือนโกหก แต่ชีวาดูไม่ใช่คนขี้โกหก” ไดกิว่า


    มันแน่นอนอยู่แล้ว ลูกผู้ชายใครเขาโกหกกัน โดยส่วนตัวผมเกลียดการโกหกที่สุดเลยล่ะ อาจจะโดนปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ผมก็เลยคิดว่าการซื่อสัตย์กับคนอื่นรวมถึงตัวเองทั้งคำพูด การกระทำ แล้วก็ความรู้สึกเป็นเรื่องสำคัญมากว่าเรื่องไหน ๆ


    “งานกีฬาสี นายอยากทำอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” ผมเอ่ยถามเขา


    “กีฬาสีเหรอ” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าน้ำเสียงของไดกิดูตื่นเต้นขึ้นหรือว่าความจริงเป็นเพราะรถกำลังวิ่งแล้วลมตีเลยทำให้ต้องพูดเสียงดังขึ้น


    “อืม เดือนหน้าน่ะ ลืมบอกไปเลย เราอยู่สีม่วงกับห้อง 3 ล่ะ” ผมบอกกับไดกิ


    “แล้วมันมีอะไรให้ทำบ้างเหรอ ที่ผ่านมาเราไม่ได้ทำอะไรเลย งานกีฬาสีทุกปีก็ได้แต่นั่งร้องเพลงบนสแตนด์เชียร์” ถึงจะเพิ่งรู้จักกัน แต่ผมก็รู้สึกได้เลยว่านี่แหละโคตรจะไดกิเลย นึกภาพตอนนั่งร้องเพลงตามน้ำกับคนอื่นได้เลย


    “ไม่ได้นั่งร้องเพลงหรอกนะม.5 น่ะ ต้องดูแลน้องแล้วก็ทำงานอื่น ๆ ด้วย จะว่าไปก็ทำทุกอย่างเลยล่ะ ไว้จะเล่าให้ฟังอีกที” ผมบอกกับเขา ขับรถไปได้สักพักไดกิก็ชี้นิ้วไปข้างหน้า


    “ข้างหน้านี้แหละชีวา บ้านของเรา”


    ไดกิชวนผมแวะนั่งเล่นที่บ้านก่อนจะกลับ บ้านของเขาเป็นทาวน์โฮมขนาดสามชั้น ไดกิบอกว่าพื้นที่ชั้นล่างเป็นส่วนที่พ่อใช้สอนภาษาญี่ปุ่น ตัวบ้านจริง ๆ จะอยู่ที่ชั้นสองและชั้นสาม ตอนนี้พ่อก็กำลังสอนอยู่เราก็เลยขึ้นไปที่ชั้นสองที่มีห้องนั่งเล่น ที่ผนังของบันไดมีกรอบรูปถ่ายของครอบครัวอยู่ ผมก็เลยได้รู้ว่าไดกิมีพี่ชายอยู่คนหนึ่ง


    “คนนี้คือพี่ชายของนายใช่ไหม”


    “อื้อ ใช่แล้ว” ไดกิว่าพลางดึงเสื้อนักเรียนออกจากกางเกง จะว่าไปนั่นก็คือสิ่งที่ผมทำเป็นอย่างแรกหลังจากกลับถึงบ้านน่ะนะ จากนั้นไดกิก็แวบหายไปครู่หนึ่งแล้วกลับมาพร้อมกับกล่องคุกกี้ “นี่ เราทำเอง ชีวาลองชิมดู”


    หายาก เด็กผู้ชายชอบทำขนม ถึงคุกกี้นั้นจะดูทำมานานแล้ว แต่ก็ยังได้กลิ่นหอมหวาน ๆ เหมือนกับเพิ่งอบเสร็จใหม่ ๆ ผมหยิบคุกกี้มาหนึ่งชิ้นแล้วกัดไปคำหนึ่งโดยมีไดกิจ้องมองตาไม่กะพริบ ลุ้นตัวโก่งว่าผมจะบอกว่าอร่อยหรือเปล่า


    “อร่อยมาก” แน่นอน มันต้องอร่อยเหมือนกับหน้าตาที่ดูน่ากินนั่นแหละ


    หลังจากได้คำชม ไดกิก็ยิ้มกว้าง จากนั้นเราพูดคุยเรื่องงานกีฬาสีที่ค้างไว้กันต่อ เพราะว่าไดกิชอบวาดรูป ผมก็เลยแนะนำให้เขาไปอยู่กับพวกของยัยน้ำตาลที่รับหน้าที่ทำอุปกรณ์ตกแต่งต่าง ๆ ไดกิดูกระตือรือร้นที่จะทำมากทีเดียว และระหว่างที่กำลังพูดคุยกันเพลิน ๆ ก็ได้ยินเสียงเหมือนกับมีคนลงมาจากบันได


    “ไดกิกลับมาแล้วเหรอ เห็นเสื้อแจ็กเก็ตของพี่หรื–” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ปรากฏตัว และประโยคก็ตัดไปหลังจากที่เขาคนนั้นเห็นผมกับไดกินั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นกันสองคน “ใครน่ะ”


    “อ้าว พี่อากิลงมาก็ไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลย” คนข้างผมชะโงกหน้ามาแล้วเอ่ยขึ้นกับอีกคน


    เพราะเห็นแต่รูปตอนเด็กที่อยู่ในกรอบรูป ก็เลยไม่รู้ว่าตัวจริงเป็นยังไง ถึงคนที่มาใหม่จะผมยุ่งเป็นรังนกเหมือนเพิ่งตื่นนอน แต่พอลองมองหน้าสลับกับไดกิดูแล้ว บอกได้เลยว่าเขาก็คือไดกิที่สูงขึ้นแค่นั้น ส่วนหน้าตาก็แทบจะเป็นฝาแฝดกันได้เลย แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของผมอย่างเฉียบพลันว่าถ้าเกิดผมมีน้องชายหรือพี่ชายบ้าง เราจะหน้าตาละม้ายคล้ายกันอย่างสองพี่น้องคู่นี้หรือเปล่า


    “พี่อากิ นี่ชีวา เป็นเพื่อนร่วมห้องของเรา” ไดกิแนะนำผมกับพี่ชายของเขา แล้วก็แนะนำพี่ชายของเขากับผม “ชีวา นั่นพี่อากิ”


    “สวัสดีครับพี่อากิ” ผมยกมือไหว้คนอายุมากกว่าตามมารยาท


    “แจ็กแก็ตพี่ล่ะ” แต่พี่อากิก็มองข้ามผมไปพูดกับน้องชายที่นั่งทำตาแป๋วอยู่ข้างผม


    เอาจริง ๆ ก็ดูดุเหมือนกันนะคุณพี่ชายคนนี้ อย่าทำตาขวางเยอะนักซี่


    “เหมือนจะอยู่ในถังซัก เดี๋ยวเราไปเอาให้” พอเจ้าตัวเล็กว่าเสร็จก็วิ่งหายไปอีกครั้ง เหลือผมกับคุณพี่ชายที่ดูไม่ค่อยอยากจะต้อนรับผมเท่าไหร่นักอยู่ด้วยกันสองต่อสอง


    ความเงียบโรยตัวลงมายังไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของอีกคน พี่อากิยกมือขึ้นกอดอกพร้อมกับเอนตัวพิงกับขอบประตูตรงที่เขายืนอยู่ จ้องมองราวกับกำลังประเมินความน่าเชื่อถือของผมด้วยสายตาขวาง ๆ ของเขานั่นแหละ แต่ถึงอย่างนั้น พี่อากิก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ผมก็เลยคิดว่าผมควรจะพูดอะไรสักอย่างออกไปก่อนที่บรรยากาศจะอึดอัดกว่านี้


    “พี่อากิครับ ไดกิน่ะ...”


    “ฝากดูแลด้วย”


    ไม่ทันจะได้พูดจบ พี่อากิก็พูดแทรกขึ้นมา แม้จะเสียงเบาแต่น้ำเสียงของเขาหนักแน่นไม่น้อย สายตาคู่นั้นก็ดูจริงจังราวกับอยากจะฝากชีวิตของน้องชายให้ผมดูแลจริง ๆ


    “เพราะถ้าเป็นนาย... คงจะทำได้ใช่ไหม” พี่อากิเอ่ยก่อนจะเดินไปตามเสียงเรียกของน้องชายที่ดังขึ้นมาเมื่อกี้ทิ้งให้ผมทำหน้างงอยู่อย่างนั้น


    ทำไมพี่อากิถึงพูดแบบนั้น มันช่วยไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจ ยังไงก็ตามเรื่องที่ย้ายโรงเรียนมากลางคันแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องปกตินัก หรือว่าความจริงแล้วมันเคยมีอะไรเกิดขึ้นกับไดกิก่อนที่จะย้ายมา แต่สำหรับผมแล้วผมชอบคิดในแง่บวก พี่อากิอาจจะเป็นแค่พี่ชายที่ปากหนักแต่เป็นห่วงนะก็ได้


    แล้วไดกิก็เดินออกมาพร้อมกับพี่ชายที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว คนน้องบ่นจุกจิกกับพี่ชายที่เหมือนจะมีนัดกินข้าวกับเพื่อน แต่ดันเพิ่งตื่นเมื่อตอนสี่โมง เป็นภาพที่ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นเหมือนกัน ใครจะไปคิดว่าคนอย่างไดกิจะบ่นใครเขาเป็น


    “ต้องกลับแล้วล่ะ เดี๋ยวแม่เป็นห่วง” กว่าจะรู้ตัวว่านั่งเล่นอยู่ที่บ้านไดกินานแค่ไหนก็ดูที่สีของท้องฟ้าที่เริ่มจะไม่มีแสงของพระอาทิตย์แล้ว ขืนกลับบ้านมืดค่ำคงจะโดนคุณนายที่บ้านบ่นหูชาเหมือนที่พี่อากิโดนไดกิบ่นเมื่อกี้


    “ได้สิ เราเดินไปส่งนะ”


    เราโบกมือลากันที่หน้าบ้าน ผมใส่ตัวล็อคที่คางของหมวกกันน็อค แต่ก่อนจะออกรถก็นึกถึงคำของพี่อากิขึ้นมาได้เลยหันมาหาไดกิที่โบกมือหยอย ๆ อยู่ตรงนั้น


    “ไดกิ”


    “ลืมของเหรอชีวา” ไดกิก้าวเข้ามาใกล้ อาจจะไม่ค่อยได้ยินเพราะรถที่ถนนกำลังวิ่งไปวิ่งมาเสียงดัง


    “เปล่า ไม่ได้ลืม” ผมตอบ


    “แล้วเรียกทำไมอะ” เจ้ากระต่ายตัวโตขมวดคิ้วย่นอีกแล้ว


    “ตั้งแต่พรุ่งนี้ เราไปโรงเรียนด้วยกันนะ” เพราะเกิดหมั่นเขี้ยวกับตาแป๋ว ๆ คู่นั้นก็เลยเผลอยื่นมือออกไปขยี้ผมของอีกคนจนได้


    ผมยิ้มให้ก่อนจะเร่งเครื่องออกรถไป หน้าตาซื่อ ๆ กำลังสับสนของไดกิเมื่อกี้นี้ทำให้ใจของผมเต้นแรงขึ้นนิดหน่อย คงจะเป็นครั้งแรกที่รู้สึกเอ็นดูใครสักคนขึ้นมาจริง ๆ


    ได้สิครับพี่อากิ ถ้าเป็นเจ้านี่ล่ะก็ผมจะดูแลอย่างดีเลย




    Tbc.

    #kisekijohndo




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
choc_bow (@choc_bow)
คนเป็นพี่อ่ะเนอะ เขาก็ดูออกแหลพว่าใครเข้ามาแบบไหน ไดกิน่ารักมากๆ เลยค่ะ เป็นยัยแก้มฟูที่น่าหอมแก้มมากๆ