ได้เวลากลับ โฮจิมินห์
หลังจากประสบกับรถนอน เมื่อตอนมุยเน่ไปดาลัดแล้ว ขากลับจากดาลัดไปโฮจิมินห์จะให้ใช้เวลาอีก 8ชั่วโมงบนรถนอน ก็ดูจะเป็นเรื่องโหดร้ายกับสุขภาพตูดของพวกเราไปหน่อย พวกเราจึงตัดสินใจนั่งเครื่องกลับจากดาลัดไปโฮจิมินห์แทน ประหยัดเวลาเดินทาง แล้วจะได้มีเวลาเที่ยวที่โฮจิมินห์เพิ่มด้วย
แล้วบังเอิ๊ญญญ ว่ามี ไฟล์ทเครื่องตอนเวลา ห้าโมงเย็นของวันที่เราจะกลับพอดี ราคาก็ถูกที่สุด แถมยังถึงโฮจิมินห์ประมาณหกโมงเย็น เราจะได้มีเวลาเที่ยวที่นั่นเพิ่มอีกหนึ่งคืน
พรหมลิขิตมันเป็นอย่างงี้นี่เอง..
พวกเราเกิดมาเพื่อกันและกัน! แล้วตั๋วเที่ยวบินจากดาลัดไปโฮจิมินห์ รอบห้าโมงเย็นในราคา
แปดร้อยกว่าบาทก็มาอยู่ในมือพวกเรา พอได้ตั๋วแล้วเราก็เที่ยวดาลัดอย่างสบายใจ
จนกระทั่ง หนึ่งวันก่อนบินกลับโฮจิมินห์
อีฟได้รับอีเมลจากสายการบินว่า ทางสายการบินต้องเลื่อนไฟล์ทจากรอบห้าโมงเย็น เป็นทุ่มนึง เหตุเพราะมีความขัดข้องทางเทคนิค แสดงว่าเราต้องไปถึงโฮจิมินท์ประมาณสองทุ่ม เอาหน่าา ไม่เป็นไร
ยังไงซะเราก็ใช้เวลาน้อยกว่านั่งรถนอนอยู่ดี บินกลับใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียวเอง ถ้านั่งรถนอนไปกลับใช้เวลาตั้งแปดชั่วโมง ดีกว่ากันเห็นๆ ไหนๆก็ไหนๆ เราจะได้มีเวลาเดินเล่นที่ดาลัดเพิ่มขึ้นไปอีกด้วย ว่าแล้วพวกเราก็รื่นเริงไปกับการเที่ยวที่ดาลัดต่อ
17.50 pm
เราถึงสนามบินที่ดาลัดเพื่อเตรียมตัวเช็คอิน
18.20 pm
เช็คอินเสร็จเรียบร้อย หิวข้าวแล้ว แต่ไม่กินดีกว่าเดี๋ยวไปปวดท้องบนเครื่อง
18.45 pm
เดินลากกระเป๋าอย่างใจเย็น เข้าประตูเกท ด้วยอินเนอร์ของการจากลา หันหลังมามองไกลหนึ่งที
บอกลาครั้งสุดท้าย...บาย ดาลัด ดีใจเหลือนเกินได้พบเธอว์
19.00 pm
อยู่ในเกท รอการเรียกขึ้นเครื่อง
19.10 pm
ยังอยู่ในเกท...
19.20 pm
ไม่ใช่ละมึง ตามกำหนดการเครื่องมันต้องออกทุ่มนึงไม่ใช่หรอวะ เริ่มร้อนรนเดินดูจอบอร์ดดิ้งพร้อมหยิบตั๋วของตัวเองขึ้นมาดูเทียบบนจอ สลับไป สลับมา
ภาพในจอขึ้นว่า ดีเลย์ไปอีกจากทุ่มนึง คราวนี้เปลี่ยนเป็นสองทุ่มสี่สิบห้า นั่นหมายความว่าเราจะต้องไปถึงโฮจิมินห์ช้าไปอีก นั่นคือประมาณ สามทุ่มเกือบๆสี่ทุ่ม
…
คนบ้า! คนหลอกหลวง..คนผีทะเล
19.30 pm
กลับมาเริ่มหาที่วางตัวสร้างถิ่นฐานอาณาเขตของตัวเอง หยิบมือถือขึ้นมาเล่น หยิบกล้องขึ้นมาดูรูป
แต่งรูปลงรูป
20.00 pm
ความอดทนในการรอมีเท่า แบตเตอรี่ในมือถือ
อีฟ: ไม่ได้นะ เราต้องเหลือแบตไว้สำหรับติดต่อที่พักตอนเราไปถึงโฮจิมินห์ด้วย
อีฟพูดหลังเราเล่นโทรศัพท์กันจนแบตเกือบหมด แล้วร้องงอแงหาที่ชาร์จพาวเวอร์แบงค์จากอีฟ
...โอเค ไม่เล่นก็ไม่เล่น -3-
20.20 pm
แบตโทรศัพท์ทุกคนหมดสนิทตายอย่างสงบ(ยกเว้นของอีฟ) บรรยากาศรอบด้านเริ่มถูกปกคลุมด้วยความเบื่อ
20.30 pm
อีกสิบห้านาที เครื่องจะออกแล้วโว้ยยยย เพื่อความมั่นใจเราก็เลยเดินไปดูที่จอบอร์ดดิ้งอีกรอบ
Flight xxx -
Delayed 20.45 to 22.30
…
โอ้ย ขี้แตก ตับหมา เย็ดเป็ด ผัดเผ็ดปลาประพง! ดีเลย์อะไรของมึงซ้ำซ้อน!!
นี่กูนั่งรอในเกทจนตูดจะมีราขึ้นแล้วนะ
หันซ้าย หันขวา มองหาพนักงานแถวนั้นทันที ในตอนนั้นพนักงานสแกนกระเป๋าก่อนเข้าเกท น่าจะเป็นพนักงานที่ดูพูดอังกฤษได้และรู้คำตอบมากที่สุด ดีเลย์ระดับนี้ เอเลี่ยนบุกน่านฟ้าแล้วละ อธิบายมา!
อีฟ: ยูๆ ไฟล์ทนี้คือ เลื่อนไปอีกแล้วหรอ
พนง. : ดีเลย์ (พูดแล้วก็ชี้ไปที่ตั๋วของเรา)
อีฟ: .ใช่ๆ มันดีเลย์ไปเป็น สองทุ่ม แล้วตอนนี้ก็ยังดีเลย์ไปอีกหรอ
พนง: ดี! เลย์!! (มีใส่อารมณ์ ประมาณว่า มึงจะเอาอะไร ดีเลย์ก็คือดีเลย์ ไม่เชื่อกู
ก็เชื่อจอบนบอร์ดดิ้งซะเถอะ)
อีฟ: แต่ว่า ดีเลย์ไปเป็นสี่ทุ่มครึ่งเลยหรอ นั่นคือ อีกสองชั่วโมงเลยนะ
พนง: ๓฿๖๕#$%^&*_)*^&*)
(จับใจความได้ว่า ทำไมพวกมึงไม่ลองไปคุยกับเคาน์เตอร์ของสายการบินนั้นโดยตรงเลยนะ อะนี่กูเปิดประตูให้ เชิญไปถามเคาน์เตอร์นอกเกทได้เลยแล้วค่อยกลับมา)
ว่าแล้วคุณป้าพนง.ก็เปิดประตูอนุญาติให้เราออกนอกเกทเพื่อไปถามเคาน์เตอร์ของสายการบินโดยตรง ซึ่งพนักงานเคาน์เตอร์ก็ยืนยันคำตอบเดิมกับเราว่า ใช่แล้ว เครื่องยังดีเลย์ซ้อนดีเลย์ตอนนี้เลื่อนไป ออกตอนสี่ทุ่มครึ่ง
เออ! เอ็งกล้าเลื่อน กูก็กล้ารอเว้ย!!
…
สัส ความรู้สึกพ่ายแพ้นี่มันอะไรกัน!
หลังจากถูกความเป็นจริงตบหน้า พวกเราก็ต้องมานั่งวางแผนใหม่กันหมด ถ้าหากเครื่องบินออกตอนสี่ทุ่มครึ่งไม่ดีเลย์อีก เราก็จะไปถึงโฮจิมินห์กันตอนห้าทุ่มเกือบๆเที่ยงคืนอยู่ดี เพราะฉนั้นไอ้ความคิดที่ว่า จะประหยัดเวลาเดิน แล้วเอาเวลามาเที่ยวโฮจิมินห์ได้อีกคืนเป็นอันล้ม! หมด! กัน!!
นี่พวกเรารักษามาตราฐานความซวยได้ชิบหายตลอดทั้งทริปจริงๆ
อะไรที่วางแผนมาล้มเหลวเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ
ถ้าเรานั่งรถนอน เราจะใช้เวลา 8ชั่วโมงจากดาลัดไปถึงโฮจิมินห์ ตอนนี้ถ้าหากรวมเวลาดีเลย์ จากเวลาบนตั๋ว ห้าโมงเย็น ตอนนี้ดีเลย์ไปถึงสี่ทุ่มครึ่ง นี่ก็ร่วมจะ 7ชั่วโมงแล้ว…หากได้ขึ้นเครื่องเราก็ยังใช้เวลาบินอีก ชั่วโมงนึง รวมทั้งหมดเป็น 8 ชั่วโมง
สรุป.. เสียเวลาพอๆกับรถนอน
นี่หรือพรหมลิขิต. ตั๋วราคาถูก ที่ได้รอบเที่ยวเวลาดีๆ ไม่มีการดีเลย์ ...มีที่ไหน เพ้อเจ้อ!
22.30 pm
หลังจากที่ติดอยู่ในห้วงมิติเวลาแห่งการดีเลย์ ในที่สุดเราก็ได้ขึ้นเครื่องสักที!
…
ขอบคุณที่ไม่ดีเลย์อีก ดีใจจนแทบออกไปวิ่งแก้ผ้าโปรยกลีบกุหลาบ รอบๆเครื่องบิน
โว้ยยย ออกแล้วโว้ย บาย.. ดาลัด!
บนเครื่องบิน
เรา: นี่มิ้นท์ๆ สรุปไปคุยอะไรมากับอีฟ เมื่อตอนอยู่ดาลัด..
มิ้นท์: เดี๋ยวค่อยคุยได้ปะ กูง่วงอะ
เรา: … สรุปอีฟมันหายแล้วใช่ปะ
มิ้นท์: เดี๋ยวค่อยเล่าๆ
เรา: ...แล้วเราจะทำยังไงต่อดี สรุปคืนนี้ไม่ได้ทำอะไรเลย วันพรุ่งนี้จะทันมั้ย
มิ้นท์: เมิง โอย ไม่รู้ เดี๋ยวค่อยคิดได้ป่าว ง่วงแล้วมันก็คิดอะไรไม่ออกปะ
เรา: มันจะทันมั้ยละ พรุ่งนี้แล้ว จะไปคิดตอนไหน
มิ้นท์: ก็บอกเดี๋ยวค่อยคิดไง กูง่วง กูจะนอน
…
ไฟบนเครื่องถูกลดความสว่างเพื่อให้ผู้โดยสารได้พักสายตา ความมืดปกคลุมทั่วเครื่องบินทั้งลำ
ในใจก็ไม่เว้น
เราทำอะไรผิด? ทำไมมีไรไม่บอก? แอบไปคุยอะไรกัน? เราไม่ดีเหรอ? ทำไมไม่มีใครสนเราแล้ว? เวียดนามไม่โอเคหรอ? ทำไมต้องหลบหน้ากัน? ไม่มีใครคิดจะทำงานกันจริงๆใช่มั้ย?
สรุปพวกเราไม่ควรจะมาเวียดนามกันใช่มั้ย?
คือคำถามที่ส่งเสียงกังวานอยู่ข้างใน
คือสิ่งที่เราอยากเรียกร้องและต้องการได้รับ
เรื่องน่ากลัวของความเงียบ คือการทำให้ความคิดของเราดังที่สุดและเจ็บปวดที่สุด
คิดเหมือนกันว่า ถ้าเครื่องลงแล้ว เราคงจบทริปของพวกเราไปเลย
เราอาจยอมรับมันได้ง่ายกว่าที่คิด เพราะตลอดมา เรากลัวการไม่มีทุกคนเหลือเกิน
23.35 pm
เครื่องจอดลงโฮจิมินห์อย่างปลอดภัย
ซีรี่ย์ความซวยระดับชิบหายยังดำเนินต่อจากความเดิมตอนที่แล้ว โดยที่พวกเราทั้งห้าคนเดินทางจากสายการบินในประเทศ ดาลัด มาลงเครื่องที่ โฮจิมินห์
หลังจากเจอเครื่องบินดีเลย์ไปเกือบ เจ็ดชั่วโมง ในที่สุดเราก็มาถึงโฮจิมินห์เวลาประมาณเกือบๆเที่ยงคืน
ถ้าหนีเสือ ยังปะจระเข้
งั้นพูดว่า หนีดาลัดมาเจอโฮจิมินห์ ก็คงจะไม่ผิด
อีความชิบหายแม่งมีความซาดิส ตรงที่พอมีเรื่องชิบหายเกิดขึ้นสักเรื่อง เรื่องชิบหายๆ อื่นๆ ก็จะตามมาเป็นขบวนพาเหรด พากันกระหน่ำมาจุดพุ ถือป้ายไฟฉลองการมาถึงของพวกเราที่โฮจิมินห์
…
กระเป๋าตังกูอยู่ไหนเนี่ย…
เหี้ย! เหี้ย! เหี้ย! หายไปไหนวะ!!!!!!
โอ้ยย อิห่า เช็ดครก นกนางแอ่น บรรลัยกันเข้าไปมึง บรรลัยมันเข้าไป!
เราดันทำกระเป๋าตังหล่นหายไว้บนเครื่องตอนเราเดินลง ทำให้เสียเวลาต้องไปทำเรื่องกับสนามบิน
ตามหากระเป๋าตังตัวเองไปอีกเกือบชั่วโมง รู้สึกทรมานแปลกๆดีที่เห็นทุกคนยุ่งอยู่กับการช่วยเราทำเรื่องหากระเป๋าตัง ความหวังดีของเพื่อนกลายเป็นบทลงโทษที่สาสม สำหรับความสับเพร่าของตัวเอง น้ำเสียงที่เหน็ดเหนื่อยของอีฟตอนกำลังพยายามคุยกับพนักงาน กลายเป็นกรงขังที่ปิดตาย สายตาของมิ้นท์ที่มองมาผูกมัดเราแน่ ไม่มีทางดิ้น
กระเป๋าตังที่หาเจอถูกคืนมา พร้อมบาดแผลตรีตราความผิดครั้งนี้
โฮจิมินห์ยังเตรีมของขวัญงามๆไว้ให้เราอีกอย่าง ความซวยระยำระดับฟ้าประธานพรีเมี่ยม
นั้นก็คือ..
แท๊กซี่
ราคา
- แท๊กซี่ที่ดาลัดกับมุยเน่ ราคาเริ่มต้นที่ 7.000vnd
- แท๊กซี่ที่โฮจิมินห์ ราคาเริ่มต้นที่ 18.000vnd
*แท๊กซี่ที่ โฮจิมินห์ ราคาจะเริ่มต้นสูงกว่าแท๊กซี่แถบชานเมืองอย่าง ดาลัด กับ มุยเน่ ประมาณว่าในเมืองอะไรอย่างงี้
ต้องขอเกริ่นก่อนว่า แท๊กซี่เกือบจะเป็นพาหนะหลักๆที่เราใช้โดยสารในการไปสถานที่ต่างๆ ตอนเราอยู่ที่นั่นเลยก็ว่าได้ และเช่นเดียวกับเมืองไทย แท๊กซี่เวียดนามมีหลากหลายเจ้า และจำแนกได้ตามสีของคันรถ แต่น่าแปลกที่คนขับแท๊กซี่ที่นี่ไม่ค่อยกังวลกับการส่งรถ หรือแก๊สหมดเท่าไหร่!!!! แถมทุกครั้งที่โบกเรียก คนขับรถจะเดินลงมาเปิดประตูรถต้อนรับให้เสมอ!!!!!!! (ตกใจทำไม!!!!!!!!)
มีสุ้มเสียงจากคนที่เขียนรีวิวไปเวียดนามว่าให้ระวังแท๊กซี่ที่นั่นอยู่ไม่น้อย ก็นอยอยู่เหมือนกันว่าจะโดนโกงตามระบบห่วงโซ่นักท่องเที่ยวไม่รู้เส้นทางรึเปล่า เราจึงพยายามกระแดะเลือกแท๊กซี่กันมากเพื่อจะได้ไม่ต้องไปผจญภัยกับแท๊กซี่เหี้ยๆ เหมือนเป็นภูมิคุ้มกันที่ได้มาจากแท๊กซี่บ้านตัวเองหรืออะไรก็ไม่รู้เนอะ
ครั้งแรกที่เราเรียกแท๊กซี่คือที่ มุยเน่ ต่อมาก็ดาลัด ต้องเรียกได้ว่าถึงแม้บางคันจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ทุกคันสื่อสารกันรู้เรื่องและสุภาพมากด้วย คิดราคาตามมิเตอร์ปกติซึ่งไม่แพงเลย เรียกได้ว่าเอะอะขี้เกียจเดินกันก็โบกแท๊กซี่ได้..
แต่ในรีวิวที่บอกให้ระวังแท๊กซี่นั้นเค้าก็ไม่ได้พูดเกินจริงเลย ไม่มีอะไรดีหมดจดไปซะทุกอย่างจริงมั้ย ท้ายที่สุดแล้ว เราก็เจอกับแท๊กซี่ตัวจี๊ดเป็นการแก้เลี่ยนไปหนึ่งดอก
...
แท๊กซี่พริกเม็ดงามที่ว่านั้น เราบังเอิญประสบอย่างไม่ทันตั้งตัวเหมือนพริกเม็ดสีเขียวในผักบุ้งไฟแดงที่ไม่ทันดู เผลอกินไปแล้วก็เผ็ดทั้งปากนั่นแหละ
หลังจากจัดการเรื่องกระเป๋าตังตัวเองเสร็จ เราก็กำลังเดินหาทางออกจากตัวสนามบินด้วยความรู้สึกที่ว่า ’แล้วกูต้องทำไงต่อวะ’ ด้วยความที่มันเป็นสายการบินในประเทศ ทางออกมันจึงคนละทางกับตอนที่ลงเครื่องมาโฮจิมินห์จากไทยครั้งแรก ซึ่งนั่นเป็นสายการบินนอกประเทศ
ก็ได้แต่เดินตามกระแสคนมาเรื่อยๆ จนไปพบกับทางออกสำหรับเรียกแท๊กซี่ จังหวะนั้นเป็นวังวนแท๊กซี่ผู้หิวโหยนับร้อย กับเราที่เป็นเหยื่อตัวน้อยๆที่ออกมาจากประตูที ก็จะมีฝูงคนขับแท๊กซี่ซอมบี้เข้ามารุมเป็นสิบ ซึ่งเราก็เหนื่อยกันมากแล้ว แค่อยากจะกระโดดขึ้นแท๊กซี่เรียกให้ถึงโรงแรมให้มันจบๆ
ตอนนั้นเอง ก็มีคนๆนึงเข้ามาทักกับกลุ่มเราในจังหวะที่วุ่นวายชิบหายพอดี
นายเวียดนามคนนั้น (สมมุติว่าชื่อ กัปตันยู) - ยูๆ แท๊กซี่? แท๊กซี่ ดิส เวย์ ฟอลโล่ มีๆ (ชี้ไปทางนู้น เห็นคิวต่อแถวอยู่ลิบๆ)
ไอ้เราก็คิดว่า กัปตันยู คือคนของสนามบินที่คอยรันคิวแท๊กซี่ให้ แล้วกำลังจะพาเราไปต่อคิวแถวแท็กซี่นั้น เดินจนจะถึงปลายแถวแท็กซี่ แต่ว่า
แถวต่อแท็กซี่แถวที่ 1 - เดินผ่าน
แถวต่อแท็กซี่แถวที่ 2 - เดินผ่าน แบบไม่มีเยื่อใย
แถวต่อแท็กซี่แถวที่ 3 - ยังคง เดินผ่าน
...
สรุปกัปตันยูกำลังพาเราไปไหนวะเนี่ยย
..มิ้นท์เริ่มได้กลิ่นความชั่วร้ายตุๆ
มิ้นท์: อีฟๆ ลองถามก่อนดีกว่าว่าราคาเท่าไหร่ เค้าคิดตามมิเตอร์ปะเนี่ย
อีฟ: ได้ๆ
อีฟ: ยูๆ ไปโรงแรมนี้ ฮาว มัช?
กับตันยู: 350,000vnd (~553 บาท)
ไม่ใช่และ นี่มันเหมาราคานี่หว่า!!
แหม แท็กซี่ไทยมาเปิดสาขาที่นี่ด้วยหรอวะ
มิ้นท์: สามแสนห้าเลยหรอวะ
อีฟ: นั่นหมายความว่า ยูจะไม่กดมิตเตอร์ใช่ปะ
กับตันยู: มันไกล โรงแรมที่ยูจะไป มันไกล
มิ้นท์: มันไกลอ่อๆ ลองเปิด Map เช็คทางหน่อยดิๆ
อีฟ : (เปิดแผนที่กูเกิ้ลให้ดูมันขึ้นว่า ห่างจากสนามบิน 8กม.) แค่ 8กม.นี่เรียกไกล?
กับตันยู : ^TUH{I+)*)&*%$#(&Hธโฯ๊฿๓
(พร่ำเพ้ออะไรสักอย่าง ซึ่งกูฟังไม่ออก)
ประกอบอาชีพขับแท็กซี่แต่บอกขับไป 8กม.บ่นไกล พี่ไปนอนเล่นหุ้นอยู่บ้านเฉยๆดีกว่ามั้ย พี่จะมาจอดรอหน้าสนามบินบิดเงินลูกค้า ให้สูงเป็นตลาดหุ้นทำไม
บรรยากาศเริ่มปกคลุมไปด้วยความไม่สุจริต มิ้นท์จึงตั้งรับสถานการณ์ว่า เดี๋ยวจะลองไปถามเจ้าอื่นดู
แต่ไวกว่าความคิดใดใดจะเริ่ม กัปตันยูก็ซัดลูกมึนลูกที่สองมาแบบไม่มีใครตั้งตัว
มิ้นท์+อีฟ : (ทำท่าหันหลังกลับ กำลังจะเดิน)
กับตันยู : จะไปไหน
มิ้นท์+อีฟ: เราจะถามเจ้าอื่นดูก่อนนะ
กัปตันยู: หยุดๆ just follow me.
...
เอ๊าาาาา อะไรวะ
ดาเมจ การโจมตีลูกมึนสองลูกซ้อนของกัปตันยูแรงเหมือน ถูกต่อยเข้าลิ้นปี่ ทำอีคนไทยห้าคนมึนเซ หาจุดยืนแทบไม่เจอ กัปตันยูไม่ปล่อยให้จังหวะนี้เสียปล่าว ตั้งกระบวนท่าใหม่จัดการยึดรถเข็นกระเป๋าเรา แล้วเข็นไปยังโซนแท็กซี่ของบริษัทตัวเองอย่างหน้าดื้อๆ พอถึงก็ติดต่อคุยกับคนขับแท็กซี่ของบริษัทตัวเองเสร็จสรรพว่าให้ไปส่งเราที่โรงแรมนี้ๆ ขอแทนคนขับแท็กซี่คนนั้นว่า พี่เบิ้ม
พี่เบิ้ม: ปะๆ ขึ้นได้เลย พร้อมกับยกกระเป๋าเราลงรถมันซะงั้น
จากสถานการณ์มึนๆ เริ่มมึนสาดดด แค่กับตันยูก็มึนพอแล้ว มึงยังมาเพิ่มจำนวนเป็นลูกคู่กับพี่เบิ้มอีกเรอะ!
ก็บอกอยู่ว่า เดี๋ยวก่อนๆ ขอตัดสินใจก่อนว้อยยยยย นี่กูแค่จะมานั่งแท็กซี่ไม่ได้มาเป็นเชลยข้าศึก พวกมึงจะกั้นกันทำไมฟะ
อีฟกับมิ้นท์ไม่สนใจอีกต่อไป เดินแยกวงออกไปถามรถแท็กซี่คันอื่นที่จอดต่อคิวอยู่แถวอื่นทันที (อย่างที่บอก คิวที่เค้าให้เราไปต่อนั้นเป็นคิวแท็กซี่ของบริษัทตัวเอง มันมีอีกคิวที่เหมือนเป็นของแท๊กซี่บริษัทอื่นๆ) โดยไม่สนใจเสียงตะโกนเรียกของกัปตันยูกับพี่เบิ้มที่ตะโกนเรียก
ถ้าเปรียบเป็นหนังรัก ก็คงจะเหมือนนางเอกแอบหนีพระเอกมาโดยไม่บอก แต่ไม่ใช่ตอนนี้ อีกัปตันยูวิ่งตามอีฟกับมิ้นท์ไป ทำยังกับว่าเราไปลักพาตัวลูกเมียมันมา
อีฟกับมิ้นท์ไม่หยุด และไม่สนใจสิ่งที่เค้าห้าม ถามแทกซี่คันอื่นทันที ยังไม่ทันที่เค้าจะตอบ อีกัปตันยูก็แทรกเข้ามา
กัปตันยู : ๗฿#$)(UHY^*( ต!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
(ก็ไม่รู้ว่าพูดว่าอะไรหรอกนะ แต่มันทำให้แท็กซี่คันนั้นไม่ยอมตอบคำถามเรา )
กัปตันยู : ชี้ให้เรากลับไปหาแท็กซี่คันเดิมที่เดินจากมา โดยกัปตันยูยังคงยืนยันว่าเราจะต้องขึ้นแท็กซี่ของพี่เบิ้ม
เล่นแบบนี้ ไม่ตีหัวพวกกู คลุมถุงดำแล้วโยนขึ้นรถไปเลยละ!
แล้วอีกับตันยูเซตลูกส่งกลับมาให้ พี่เบิ้มตบอีกครั้ง
...แล้วทำไมพวกเรา อยู่ดีๆก็เป็นลูกวอลเล่ย์ด้วยวะเนี่ย นี่พวกมึงเซตตบ เซตตบทำแต้มกันสุดๆเลยนะ
มิ้นท์กับอีฟเดินกลับมาอย่างอารมณ์เสียกับสิ่งที่อีกัปตันยูทำ ไอ้พี่เบิ้มก็เอาของขึ้นรถไปหมดละ
สรุป โอเค ยอมก็ได้ เถียงไปเถียงมา เริ่มเหนื่อย เมื่อยลิ้น ดูท่ายังไงคนไทยห้าคนก็มึนตามอีเวียดนามสองคนนี้ไม่ทัน จะเสียสติแล้วเนี่ย ตีหนึ่งกว่าๆกับการมายืนเถียงกันคนแปลกหน้าในต่างถิ่นคงจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่สำหรับผู้หญิง สุดท้ายเราก็ยอมขึ้นรถพี่เบิ้มอย่างไม่มีทางเลือก เบรกแรกทีมกับตันทำคะแนนไป 3 ต่อ 0 มึน
ระหว่างทาง อีฟพยายามต่อรองราคาอีกครั้ง ไอ้พี่เบิ้มพร่ำเพ้อไปเรื่อย ถึงลมฟ้าชะตาลิขิต ปิ๊กาจูชอบเล่นปาจิงโกะ ตลาดหุ้นราคาลง ราคาซื้อขายอ่อนตัว ผันผวน ไปตามแรงเลี้ยวของรถ งั้นเดี๋ยวลดให้ จาก 350,000 เหลือแค่ 300,000vnd ละกันนะ
อื้อเหรอ..ดีจังเลย
พ่อมึง ! กูไม่ได้ตาบอด!
ก็เห็นๆอยู่ว่าตารางราคามิตเตอร์ที่แปะอยู่หน้ารถมันเขียนว่าคิดราคา 16.800/km
ระยะทางจากสนามบินไปโรงแรมมัน 8-9 กิโล ราคามันก็ต้องประมาณ 150,000ดองสิโว้ย เรียกราคาเหมา 300,000 ดอง ประมาณ 462 บาท นี่นั่งรถไฟกรุงเทพไปเชียงใหม่ แวะเก็บทุเรียนที่จันทบุรี ได้สบายๆเลยนะ แสรดดด เดี๋ยวปั๊ด ทิ่มด้วยหลอดกาแฟ
ภายใต้ความขุ่นเคืองใจ เมื่อถึงที่พักเราจึงไปขอพนักงานให้ช่วยพูดเป็น ภาษาเวียดนาม เพื่อเจรจาอีกครั้ง เผื่ออาการตีมึนแบบสะปัดสะเป๋ของพี่เบิ้มจะลดน้อยลง
อีฟ: ทำไมคิดตั้ง สามแสนด่ง นี่มันแพงกว่าที่มิตเตอร์คิดมากเลยนะ
พี่เบิ้ม: (ชักสีหน้าขีดสุด) ๓$%*H)(*&^$@#$%^&*()
เช่นเดิม พี่เบิ้มยังคงทำมึนเป็นลูกต่อ ว่าเราตกลงที่จะขึ้นรถเค้าไปแล้ว ก็ถือว่าเรายอมรับเงื่อนไขของเค้าแล้ว เป็นไงละ...เซงจิตมั้ยละ
พนักงานโรงแรม: คงทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้แล้วนะ เพราะเราไปตกลงกับพี่เบิ้มเค้าไปแบบนั้นแล้ว
โอเค นั่นถือว่าเป็นความผิดพลาดของเราที่ พลาดโดนพวกมึงมัดมือ มัดเท้า พาไปขึ้นรถมึงอย่างมึนๆ
แต่สามแสนด่งมันดูจะอำมหิตไปหน่อยมั้ง เอาพอกินข้าวอิ่มก็พอมั้ง ลดอีกนิดก็ได้มั้ง
ซึ่งพนักงานโรงแรมก็ช่วยพูด พี่เบิ้มแกก็ยังมึนแถไปเรื่อยของพี่แก ลมตะวันตกพัดแรงในวันนี้ ลูกที่บ้านอยากกินบอนชอน มึนนน...ไปเรื่อยอะไรก็ไม่รู้ แต่ท้ายที่สุด พี่เบิ้มยอมลดให้อีกเหลือแค่ 250,000ด่ง อย่างไม่เต็มใจ
สรุป เราจ่ายค่าแท๊กซี่กัน 250,000ด่ง เพื่อชีวิตทุกคนจะได้ไปต่อ
สงครามมึนขึ้นสมองครั้งนี้จบลงอย่างมึนๆ แบบเดียวกับที่มันเริ่มอย่างมึนๆ
ถึงห้องพักกันเกือบๆตีหนึ่ง ทุกคนต่างแยกย้ายกันอาบน้ำเตรียมตัวนอน
ฝนยังตกอยู่..
ซึ่งเป็นครั้งแรกในเวียดนามที่ รู้สึกว่าฝนตกมันเป็นประโยชน์
ฝนตกไม่หนักมาก เสียงฝนโปรยอย่างไม่เป็นจังหวะ มันชัดเจนยิ่งกว่าความรู้สึกตัวเองตอนนี้ซะอีก ด้วยเหตุนี้เราจึงเลือกที่จะนั่งหลบอยู่ตรงระเบียง มองดูฟ้าฝนที่มันเศร้าแทนเรา หวังว่าความเป็นจริงจะตามตัวเราไม่พบ
ถามตัวเองซ้ำๆ ถึงคำตอบของความสงสัย
ตกลงทริปนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เรากำลังเศร้าเรื่องอะไรกันแน่
เศร้าที่เจอแต่เรื่องแย่ๆในวันนี้? เศร้าเพราะทริปเวียดนามมันผิดแผนไปหมด เศร้าที่เพื่อนเรามีไรมันไม่บอกเรา หรือเศร้าที่ทุกอย่างมันเหี้ย จนเราทำงานอะไรแทบจะไม่ได้เลย เศร้าที่กลัวงานจะออกมาไม่ดีหรอ? หรือว่าเศร้าที่เราพาทุกคนมาจากเรื่องแย่ๆไปด้วย หรือจะเศร้าที่ตัดสินใจผิด เราไม่น่าพาใครมาตั้งแต่แรก หรือทั้งหมดมันไม่ควรมีตั้งแต่ต้น
มันพังมาตั้งแต่ต้น ที่เหลือมันจึงผิดหมด
ฝนยังตกอยู่..
ฝนตกไม่หนักมาก เสียงฝนโปรยอย่างไม่เป็นจังหวะ ทำต่อมน้ำตาสะเทือน
ทำไมเราต้องทำทีเป็นแข็งแรง เราพยายามบอกตัวเองอย่างนั้น เพื่อให้เราเชื่อแบบนั้น
แต่การหลอกตัวเองก็เป็นได้แค่การหลอกตัวเอง สุดท้ายเราก็กลับมาอ่อนแอเหมือนเดิม
น่าอายที่ตอนนี้ ตัวเองทำได้เพียงนั่งอยู่นอกระเบียง หลบทุกคน หลบความจริง พยายามคิดหาทางหนีจากเรื่องเวรๆนี้ไปให้พ้นๆ ทั้งๆที่รู้ว่าโลกใบนี้ไม่ใยดีต่อใครทั้งนั้น ทั้งๆที่รู้ ก็ยังพยายามหลอกตัวเอง ยังร้องไห้ ทั้งๆที่รู้ว่า น้ำตามันไม่มีค่าสำหรับใครทั้งนั้น นอกจากตัวเอง
น่าสมเพชสมเป็นตัวเองดี
มิ้นท์: นี่! มานั่งทำอะไรตรงระเบียงคนเดียว ไม่อาบน้ำ? ไม่นอนหรอไง
เรา: !
เหมือนโดนมิ้นท์จับหัวฟาดลงกับโต๊ะเพื่อเรียกสติคืน
มิ้นท์ เป็นเพื่อนที่เราไม่มีความอยากเป็นเพื่อนกับมันมากที่สุด ถึงแม้ว่ามิ้นท์จะเป็นคนไม่กี่คนที่ชอบเข้ามาคุยกับเรา แต่มิ้นท์ต่างจากอีฟ ตั้งแต่มหาลัยละ ทุกครั้งที่มีบทสนทนากับมิ้นท์ เรามักจะรู้สึกถึงภาระหน้าที่บางอย่าง น่าหงุดหงิด เหมือนถูกโยนอะไรหนักๆให้เราถือไว้ มันทำให้เราเคลื่อนไหวลำบาก ขยับไม่ได้ดั่งใจ
เรา: ...
มิ้นท์: เป็นอะไร.. พูดมา
เรา: กำลังคิดว่า..เราพลาดอะไรกันไปรึเปล่า ลืมบอกพวกมึงกันไปหรอไงว่า เรามาทำงานกันนะ
มิ้นท์: …
เรา: ทำไมรู้สึกเหมือน เรามากันแบบจะต้องมีคนนึงแยกวงออกไปทำอย่างอื่นตลอด หลังๆมานี่รู้สึกทุกคนไปคนละทิศคนละทาง ดูมีเรื่องต้องสนใจ แล้วก็ไม่ได้สนใจทริปแล้ว แม้กระทั้งวันพรุ่งนี้เรายังต้องอยู่ที่โฮจิมินห์ แต่ว่ากลับไม่มีใครสนเลยว่า พรุ่งนี้จะเอายังไงกัน จะไปไหน
มิ้นท์: นั่นเป็นเพราะมึงยังไม่ได้บอกทุกคนรึเปล่า
เรา: …….
ความรู้สึกหนักอึ้ง ที่ทำให้เราไม่อยากจะเป็นเพื่อนกันมิ้นท์ เพียงเพราะว่าตัวเองไม่อยากจะแบกอะไรหนักๆไว้ตลอดเวลา ไม่อยากให้ใครมามีอำนาจเหนือตัวเอง แค่อยากจะเคลื่อนไหวได้อิสระ..
แต่ความจริงแล้ว การมีอยู่ของมิ้นท์กลับกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญ ของการมีตัวตนในสังคมสำหรับเรา ปฏิเสธไม่ได้ว่ามิ้นท์เป็นเพื่อนที่ดี และมิ้นท์รู้จักเราดีกว่าเรารู้จักตัวเอง เราจึงไม่พอใจนิดหน่อย
เวลามิ้นท์ค้นความอ่อนแอเราเจอ
มิ้นท์: ถ้าเรื่องอีฟละก็ มิ้นท์ไปคุยกับอีฟมาให้แล้วนะ ตอนนั้นที่หายไปนั่นแหละ คืออีฟมันแค่น้อยใจเว้ย แบบมันเห็นว่า มึงอยู่กับกูสองคนตลอด ดูรู้เรื่องกันอยู่สองคนว่าอะไรเป็นยังไง แล้วมันไม่รู้เรื่องอะไรเลย มันเลยดูเป็นคนนอก ก็เลยแยกๆตัวออกมา คิดว่าตัวเองไม่จำเป็น ซึ่งกูก็คุยให้แล้วว่ามันไม่ใช่แบบนั้น ที่เราไม่บอกมันเพราะมันไม่มีอะไรเลย
เรา: ….อื้อ ใช่ มันไม่มี
มิ้นท์: แกต้องลองคุยกับอีฟอีกทีนะ แกต้องพูดบ้าง เดี๋ยวเรียกอีฟมาคุย
สิ่งหนักๆที่มิ้นท์มักโยนให้ถือ ก็ไม่ใช่อะไรที่ไร้สาระหรอก เพราะมันมักจะเป็นอาวุธบางอย่างเสมอ ที่ช่วยให้เราพอสู้กับชีวิตจริงได้ มันหนักเพราะเราอ่อนแอ แต่ถ้าไม่มีเราอาจแย่กว่านี้
มิ้นท์: อีฟ! มาที่ระเบียงหน่อย
นั่นแหละมิ้นท์
ฝนยังตกอยู่..
ฝนตกไม่หนักมาก เสียงฝนโปรยอย่างไม่เป็นจังหวะ
เราสามคนนั่งกระจุกกันที่ระเบียง บรรยากาศเริ่มเหมือนการสารภาพบาปเข้าไปทุกที พออีฟมาถึง ก็เล่าให้ฟังถึงความรู้สึกตัวเองเกี่ยวกับที่อีฟแยกตัวออกไปบ่อยๆ สรุปใจความเหมือนที่มิ้นท์บอกให้ฟังเมื่อกี้
อีฟ: ...เรื่องก็เป็นแบบนั้นแหละ อีฟแค่น้อยใจที่รู้สึกเหมือนตัวเองไม่จำเป็น…แต่มิ้นท์ก็อธิบายให้ฟังแล้วละ ไม่มีอะไรแล้ว
มิ้นท์ : ก็นั่นแหละ
อีฟ: จริงๆแล้วอะ อีฟเริ่มรู้สึกว่าอีฟไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับทริปนี้ ตอนที่พวกเรานั่งกินปาท่องโก๋กันวันที่มาดาลัด แล้วมิ้นท์กับเธอก็นั่งเถียงเรื่องแผนกันสองคน ซึ่งอีฟดูไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องอะไร
มิ้นท์: ก็ อีนี่มันไม่ตัดสินใจซักทีว่าสรุปเราจะไปไหน เอายังไงต่อ
อีฟ: อื้อ อีฟคิดว่าบางที เธอควรจะออกความคิดเห็น หรือเป็นผู้นำบ้าง ในฐานะที่เป็นคนนำทริป
ถูกของอีฟ ...แต่รู้อะไรมั้ย การมาเวียดนามครั้งนี้ ถึงแม้ว่าในตอนแรกเราจะตัดสินใจที่จะมาคนเดียวเพียงเพราะไม่อยากมากับคนแปลกหน้า ทั้งที่ไปคนเดียวก็ไม่รู้ว่าจะรอดรึเปล่า แต่พี่ก็บอกว่าเอาเพื่อนไปได้นะ ตอนนั้นก็เอ่ยปากชวนมิ้นท์กับอีฟไปอย่างงั้น คิดในใจแค่ ก็มีเพื่อนอยู่สองคนเนี่ยแหละ แล้วใครมันจะไปกะเรา ไปทำงานด้วยนะ บ้าหรอ เวียดนามนะ ไม่ได้ชวนไปสยาม แต่มิ้นท์กับอีฟก็ดันตอบตกลงแบบไม่คิดอะไร
สภาพเหมือนถูกจับโยนลงกลางทะเลไปคนเดียวกับเรือเก่าๆหนึ่งลำ ว่ายน้ำก็ไม่เป็น จะต้องไปไหนก็ไม่รู้ แต่อยู่ๆก็มีเพื่อนกระโดดลงเรือตามมาด้วยอีกสองคน เราไม่รู้หรอกว่าจะต้องไปไหน แต่เรารู้แค่ว่าตอนนี้เรามีเพื่อนมาด้วย ต้องไม่ทำให้เรือพัง ต้องไม่ไปทางมีคลื่นลมแรง ทางที่ไปจะต้องปลอดภัยทั้งเราและเพื่อน นั่นทำให้เราคิดมากมาตลอดว่าควรไปทางไหนดี….
นั่นแหละปัญหาของเรา
อีฟ: โอ้โห ทำไมไม่พูดตั้งแต่แรก จะมาเครียดคนเดียวทำไม
อีฟพูดเสียงใสหลังจากเราอธิบายจบ ถ้าเป็นการ์ตูนนี่จะเป็นสีหน้าตอนใบหน้าผู้ร้ายโดนเปิดเผย
มิ้นท์: นี่ มึงก็เป็นซะอย่างงี้ เวลามีอะไรก็ไม่พูดละก็เก็บไปคิดอยู่คนเดียว
อีฟ: จริงๆแล้ว ไม่ต้องซีเรียสเรื่องอีฟเลยก็ได้นะ อีฟก็เตรียมใจที่มาเจอความลำบากตั้งแต่ตอบตกลงมาด้วยกันแล้ว
มิ้นท์: มึงอะ คิดเรื่องของตัวเองไปเถอะ ไม่ต้องห่วงพวกมิ้นท์ก็ได้ คือถ้ามันเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ถึงตอนนั้นก็ช่วยกันแก้ก็ได้ แต่ไม่ต้องเก็บเอามาเป็นเงื่อนไขในการทำงาน
อ่า…
อีฟ: นี่เป็นคนคิดเยอะ คิดมากเหมือนกันนะเนี่ย
มิ้นท์: ใช่ มึงก็ด้วยอีฟ กูถึงบอก พวกมึงสองคนละ เหมือนกันม๊ากก แม้กระทั้งตอนคิดมาก
อีฟ: อิอิ
เรา: ….
มิ้นท์: มา มา กอดๆ โอ๋ววววนะ
การได้มานั่งคุยกันในคืนนี้ อยู่ๆก็ทำให้เรารู้สึกว่าการมาเวียดนามของพวกเราครั้งนี้
มันคุ้มแล้ว
ฝนหยุดตกแล้ว.
นอกระเบียงไม่มีเสียงฝนเหลืออยู่ จะมีก็แต่ความเปียกชื้นเล็กน้อยนอกระเบียง
พี่ต้า: ฮาโหล ทำอะไรกันอยู่นอกระเบียง ไม่หลับไม่นอนจะตีสามแล้วนะทุกคน
แล้วพี่ต้าก็มานั่งร่วมวงแบบงงๆ นั่งฟังพวกเราคุยกันไปเรื่อย ขุดเรื่องนั้นมาพูด หยิบเรื่องนั้นมาคิด
ฝนหยุดก่อนที่เราจะรู้ตัว คืนนั้นเราจำไม่ได้ว่าเรื่องปัญหาทุกอย่างมันลงเอยยังไง
แต่คืนสุดท้ายที่โฮจิมินห์ทำให้เราค้นพบสิ่งที่วิเศษอยู่สองอย่าง
อย่างแรก - ทริปเวียดนามครั้งนี้ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
อย่างที่สอง - ท่ามกลางทะเลไร้จุดหมาย ดูเหมือนเรือลำเก่าจะมีรอยรั่วเล็กน้อย แต่คนในเรือกำลังบอกเราว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ต่อให้มันพัง มีพายุ คลื่นแรง ไม่ว่ามันแย่สำหรับคนอื่นยังไง
พวกเราจะไปด้วยกัน..
รู้ตัวอีกทีเราก็เห็นชายฝั่งกันแล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in