เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ลูค ไวท์ ผจญภัยห้วงนิทราKGUNTION
ความลับไม่มีในโลก (1)
  •           ลมเย็นพัดพาเมฆฝนตั้งเค้าแต่รุ่งสาง บรรยากาศยามเช้าของวันพฤหัสบดีขมุกขมัวไม่ต่างจากห้วงคิดของลูค


              ฝันประหลาดเกิดขึ้นทุกครั้งที่เขานอนหลับ เขาเอาแต่ฝันซ้ำ ๆ ว่าวิ่งหนีจากดวงตาปริศนาคู่โตคู่นั้นในป่าประหลาดที่ไร้จุดสิ้นสุด โชคดีที่เมื่อคืนเขาสะดุ้งตื่นก่อนเพราะเสียงเบ็นจามินเคาะประตูปลุก


              ฝันร้ายเริ่มน่าหวาดผวาเกินกว่าเขาจะรับไหว จนทำให้เขาเริ่มไม่กล้าแม้แต่จะล้มตัวลงนอนอีก


              “คาบเช้าเริ่มเรียนตั้งเก้าโมง จะรีบปลุกหาพระแสงอะไร!” ซิดจ์โวยวายก่อนจามเสียงดังราวกับฟ้าลั่น


              สภาพของซิดจ์เหมือนเพิ่งเดินฝ่าพายุหมุนมาหมาด ๆ เผ้าผมของเขากระเซอะกระเซิงชี้ไปคนละทิศละทาง ใบหน้ายับเป็นรอยหมอนแทบทุกอณู ลูครู้ว่าไม่มีอะไรจะกวนใจเพื่อนตัวแสบมากไปกว่าการถูกปลุกให้ตื่น ยิ่งในเวลาที่ฝนพรำสร้างบรรยากาศชวนนอนหลับอุตุทั้งวันยิ่งแล้วใหญ่


              “เชื่อเขาเลย การบ้านกองเป็นภูเขาขนาดนี้นายยังมีกะจิตกะใจนอนอยู่อีกเหรอ ถ้านายเขียนเรียงความของอาจารย์บาร์ทกับอาจารย์แจ็คสันไม่เสร็จ งานเข้าแน่” เบ็นจามินเอ่ยเสียงขุ่น แต่ซิดจ์กลับตั้งหน้าตั้งตากินซีเรียลด้วยมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างเอื้อมหยิบรีโมทเปิดโทรทัศน์อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว


              “อิทธิพลมรสุมพัดผ่านจากชายฝั่งทะเลยังคงส่งผลให้ในช่วงสัปดาห์นี้มีฝนตกหนักถึงหนักมาก โดยเฉพาะในเขตเซนต์นิโคลัส เซนต์อเล็กซานเดอร์ และเซนต์ฟรานซิส ระมัดระวังตัวกันด้วยนะคะทุกท่าน” ผู้ประกาศข่าวสาวหน้าเหมือนเต่าทะเลเอ่ยด้วยท่าทีขึงขัง


              “ฝนจะตกไม่ตกยังไงก็ยังมืดทุกวันเหมือนเดิม เพราะไอ้ควันจากโรงงานงี่เง่าพวกนั้น” ซิดจ์เบ้ปากก่อนเปลี่ยนช่องเป็นวิทยุเพลงแจ๊สฟังนุ่มหู


              “ยังไงก็เหอะ เราควรเริ่มหาข้อมูลที่จะเขียนได้แล้ว” เบ็นจามินยังคงพูดถึงรายงานเหมือนเดิมโดยไม่สนใจซิดจ์ “ฉันคิดว่าเราควรเริ่มจากห้องสมุดในหอพัก รู้สึกว่าจะอยู่ชั้น 3 นะ”


              “นึกไงถึงชวนฉันเข้าห้องสมุด” ซิดจ์พูดไปเรอไป “ฉัน สมุด สองคำนี้ไปด้วยกันไม่ได้นายก็รู้” 


              “ก็แล้วแต่นาย ใกล้ส่งอย่ามาขอลอกแล้วกัน” เบ็นจามินเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย


              “จริงอย่างว่า” ลูคเอ่ยหน้านิ่ว “งานเข้าแน่ถ้าเขียนไม่ทันส่ง ฉันว่าอาจารย์ไม่ค่อยชอบขี้หน้าฉันสักเท่าไหร่ด้วยสิ” 


              “ก็นายเอาแต่แอบหลับในคาบ” ชินเอ่ยเบา ๆ พลางชำเลืองมองขึ้นมาจากหนังสือเล่มหนาที่เขาพิงไว้กับหนังสือเล่มหนาอีกเล่มนึง มือกำลังปาดเนยลงบนขนมปัง


              “ห้ามไม่ให้หลับคงยากแล้ว ก็ฉันนอนไม่ได้ตอนกลางคืน” ลูคเอ่ย


              “ยังไงสักวันนายก็ต้องพยายามหลับตอนกลางคืนให้ได้” เบ็นจามินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดเหมือนพ่อสั่งสอนลูกอย่างไหนอย่างนั้น “มีทางเลือกด้วยหรือไงในเมื่อชั้นเรียนเขาเรียนกันตอนกลางวันน่ะ” 


              “นายใช้ชีวิตแบบนี้ตลอดไปไม่ได้นะลูค” ซิดจ์ว่าตาม พลางกอดอกทำหน้าขึงขังมีเหตุผล แม้จะมีเศษซีเรียลติดแก้มทั้งสองข้าง


              ลูคไม่พูดอะไรต่อ อันที่จริงเขายังไม่ได้เล่าให้เพื่อนฟังเลยว่าตัวเองฝันซ้ำ ๆ มาหลายคืนแล้ว มิหนำซ้ำความฝันของเขายังต่อเนื่องกันเป็นเรื่องเป็นราว เพราะขืนเล่าไปทุกคนคงต้องคิดว่าเขาเพ้อเจ้อแน่


              “ฉันรู้ว่านายมีอะไรในใจที่ทำให้นายฝันร้ายอยู่เรื่อย แต่อย่างน้อยนายก็ควรปรึกษาใครสักคนอย่างจริง ๆ จัง ๆ ไอ้เรื่องนอนไม่หลับของนายนี่มันเรื้อรังมานานหลายปีแล้วนะลูค” เบ็นจามินกล่าว


              “เบ็นอาจจะหมายถึงว่าให้ไปหาพ่อที่คลินิก” ชินเสริม


              ลูครู้ว่าเบ็นจามินกำลังเข้าใจผิดว่าเขานอนไม่หลับเพราะฝันร้ายครั้งที่พ่อทิ้งเขากับแม่ไปยังตามหลอกหลอนเขาอยู่ทุกคืน แต่มันไม่ใช่อย่างที่เพื่อนคิด ไม่ใกล้เคียงเลยแม้แต่น้อย


              เสียงปลดกลอนประตูดังขึ้นขัดจังหวะ ฌองโผล่หน้าออกมาจากประตูห้องนอน ริมฝีปากเล็กกำลังหาวหวอดใหญ่ ผมกัดสีอ่อนเหมือนผลพีชฟูฟ่องเหมือนกับผมของซิดจ์ ส่วนใต้ตานั้นก็ดำคล้ำเหมือนของลูคไม่ผิดเพี้ยน หากจะเทียบว่าสภาพของซิดจ์รุงรังเหมือนลุยฝ่าพายุมาหมาด ๆ แล้ว ฌองคงใช้ชีวิตอยู่ในพายุหมุนเลยก็ว่าได้


              “คลีโอออกไปยิมตั้งแต่ตี 4 แล้วครับ เห็นบอกว่าไม่อยากไปช้าเพราะเบื่อจะแย่งกับคนอื่นครับ” ฌองบอก


              หลังจากได้กินมื้อค่ำร่วมกับเพื่อนใหม่เมื่อวานนี้ ลูคก็บอกจะคาดเดาอุปนิสัยของคลีโอได้ว่าเธอเป็นคนห้าว มุทะลุ และเป็นกันเองแบบสุด ๆ


              หลังมื้อเช้า เบ็นจามินได้ชวนฌองไปทำการบ้านด้วยกันในห้องสมุด ทั้งห้าพยายามค้นคว้าข้อมูลจากตำราเกี่ยวกับเพชรเพื่อเขียนเรียงความส่งอาจารย์บาร์ทไปได้ไม่กี่ชั่วโมงก็กลับไปห้องพักเพื่อเตรียมตัวออกไปเรียน คลีโอคงจะเพิ่งกลับจากยิมได้ไม่นานนักเพราะลูคเห็นเธอเดินขาเปลี้ยจากการออกแรงหนัก เหงื่อท่วมอย่างกับเพิ่งตกบ่อน้ำมาหมาด ๆ


              ตลอดการเดินทางบนรถบัสที่มีผู้โดยสารน้อยนิด ลูคได้แต่นั่งมองออกไปนอกกระจกรถอย่างไร้จุดหมาย ในขณะที่เบ็นจามินกับชินขลุกอยู่กับหนังสือเรียน เสียงเดียวที่กำลังดังแข่งกับเสียงเพลงคลาสสิกที่เปิดคลอจากลำโพงรถอยู่คือเสียงโม้แตกของซิดจ์ เจ้าตัวแสบเล่าวีรกรรมเดิม ๆ ของเจ้าซิลเวอร์ให้คลีโอและฌองฟังจนน้ำลายแตกฟอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็นั่งฟังไปเรื่อยได้อย่างไม่นึกเบื่อแต่อย่างใด


              ทันทีที่รถจอดเทียบป้าย ลูคมุ่งหน้าสู่ชั้นเรียนแรกในวิชาอัตชีวประวัตินักแปรธาตุขั้นเริ่มต้นของอาจารย์มัวราห์ได้ทันอย่างฉิวเฉียด อาจารย์สาววัยกลางคนกำลังยืนอยู่หน้าชั้นเรียน เธอแต่งตัวหลุดโลกเสียยิ่งกว่าใคร


              ลูคกวาดตามองชั้นเรียนคับคั่งด้วยเด็กนักเรียนหน้าตาเดิม ๆ กับเมื่อวานนี้ และแล้วก็เห็นอลาสแตร์ไม้โบกมือเรียกพวกเขาอยู่จากมุมที่นั่งหลังห้องติดกับหน้าต่าง ดูเหมือนว่าเพื่อนจะจองที่นั่งไว้ให้พวกเขาแล้ว


              “ไง เมื่อคืนพวกนายได้ดูรุ้งแสงจันทร์กันหรือเปล่า” อลาสแตร์ทักทายด้วยใบหน้าแช่มชื่น


              “มีหรือจะพลาด” เบ็นจามินตอบแทนพวกเขา


              “คู่แฝดนั่นไปไหนซะแล้วล่ะ” เขาทักเมื่อไมเ่ห็นเงาของคู่แฝด


              “ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อคืนสองคนนั้นนั่นบอกว่าจะไปตะลอนอยู่แถวหอพักฤดูหนาวของพวกเด็กปีสี่ จนเช้าละยังไม่เห็นพวกมันกลับมาเลย --” อลาสแตร์ว่า “-- แอบออกไปเหล่สาวที่เฟลอเดลีส[1] มากกว่าล่ะไม่ว่า” เขาเสริม


              “สงสัยฉันต้องหาเวลาไปบ้างแล้ว” ซิดจ์เอ่ยเสียงซึมขณะมองไปยังอีกมุมหนึ่งของชั้นเรียน ลูคมองตามเพื่อนไปเห็นมารีน่ากำลังนั่งหัวเราะคิกคักอยู่กับเด็กนักเรียนผู้ชายรูปร่างดีคนหนึ่ง เขาจึงเอามือตบบ่าปลอบใจเพื่อนเบา ๆ


              เสียงกระแอมกระไอขัดบทสนทนาดังขึ้นจากอาจารย์สาว เป็นการบอกเด็กทั้งชั้นเรียนกลาย ๆ ว่าเธอกำลังจะเริ่มการสอนเสียเดี๋ยวนั้นแล้ว


              ลูคชั่งใจคิดอยู่จนเกือบจะถึงเวลาเลิกชั้นเรียน เขาไม่รู้ว่าจะตัดสินว่าวิชาไหนน่าเบื่อมากกว่ากัน ถ้าต้องเทียบระหว่างวิชานี้กับประวัติศาสตร์โลหะของอาจารย์แจ็คสัน


              “นักแปรธาตุชาวไอนุผู้เลื่องชื่อหนึ่งเดียวในยุคสำริด มาดามนานูค วิเวียนเน่ เธอใช้ระยะเวลาแค่ 3 ปีในการสร้างผลึกเดจาวู หินแห่งจิตบรรพบุรุษ ความสำเร็จทางประวัติศาสตร์นี้ทำให้เธอถูกขนานนามว่ามาดามพันราตรี ด้วยกรรมวิธีการแช่แข็งเปลวไฟใต้ธารน้ำแข็งเป็นเวลาพันคืนจนจับแข็งกลายเป็นหินมหัศจรรย์ชนิดนี้ขึ้นมา” ใบหน้าของเธอแสดงความเลื่อมใสมาดามนานูคอย่างแรงกล้า แต่แล้วเธอก็ จ้องเขม็งผ่านกรอบแว่นหินสีรุ้งทรงเหลี่ยมมาทางซิดจ์ที่เริ่มสัปหงกหัวทิ่มโต๊ะ


              “คุณลอว์สัน” เธอกรีดเสียงแหลมเหมือนนกหวีด


              ซิดจ์รีบเงยหน้าเหวอ ๆ ของมันขึ้นมาทันที ส่วนเบ็นจามินแอบหัวเราะเยาะซิดจ์เบา ๆ ทว่าใบหูใหญ่กว้างปานหูช้างของอาจารย์มัวราห์ก็จับเสียงนั้นได้ไม่พลาดเป้า


              “ตลกมากนักเหรอคะคุณยัง” เธอปล่อยซิดจ์ราวกับช้างปล่อยก้านอ้อยในปาก แล้วหันมาเพ่งเล็งเบ็นจามินแทน เบ็นจามินทำหน้าเจื่อน ๆ ตอบกลับอาจารย์ไป


              “ยายนี่ดุชะมัด” ซิดจ์ทำปากขมุบขมิบ ก่อนคว้าเอาหนังสือเรียนเจาะลึกนักแปรธาตุฉบับเริ่มต้น ขึ้นมากางบังหน้า พร้อมแอบหลับอีกครั้ง


              “คุณลอว์สัน ข้อจำกัดความพิเศษของหินเดจาวูคืออะไร” าจารย์มัวราห์เริ่มไล่บี้ซิดจ์ในทันที พลางเดินกรีดกรายบนรองเท้าส้นสูงห้านิ้วสีแดงเชอร์รี่มาหน้าโต๊ะเพื่อนผู้โชคร้าย


              “แต่อาจารย์ยังสอนไม่ถึงเรื่องนั้นเลยนี่ครับ” ซิดจ์ร้องท้วงความยุติธรรม


              “มันไม่ใช่หน้าที่ของดิฉันที่ต้องคอยเตือนว่าคุณอ่านหนังสือล่วงหน้ามาก่อนแล้วไม่ใช่หรือคะ คงต้องหักคะแนนเก็บคุณลอว์สัน 5 คะแนน --” อาจารย์มัวราห์หัวเราะอย่างมีชัย ซิดจ์ร้องโห่แต่เธอเอ่ยต่ออย่างไม่แยแส “-- การบ้านวันนี้ ให้นักเรียนเขียนเรียงความเรื่องปฏิกิริยาการสลายตัวของหินเดจาวู ความยาวไม่ต่ำกว่า 10 หน้ากระดาษ โดยใช้ตำราข้อจำกัดแห่งศิลาและอัญมณีอ้างอิงเท่านั้น ข้อมูลหาได้จากห้องสมุดชั้น 3 ของหอพัก นำมาส่งก่อนหมดเวลาชั้นเรียนครั้งหน้า เลิกชั้นได้”


              เด็กนักเรียนทั้งชั้นส่งเสียงฮือไม่พอใจที่ได้การบ้านสุดหินมาตั้งแต่เริ่มเรียนคาบแรก แต่อาจารย์มัวราห์ไม่สนใจ เธอก้าวส้นสูงฉับ ๆ เสียงดังเหมือนม้าควบออกจากห้องไปทันที


              “ยายช้างมารตกมัน” ซิดจ์สบถอย่างมีอารมณ์ขณะเดินออกจากชั้นเรียน โดยไม่สนใจเลยว่าใครจะได้ยินเข้า


              “ต่อไปก็วิชาเทคนิคเหมืองโลหะสินะ” เบ็นจามินอ่านสมุดจดตารางเรียน ส่วนซิดจ์ทำหน้าเบื่อหนักเข้าไปอีกเมื่อได้ยินคำว่าโลหะในชื่อวิชา “วิชานี้เป็นภาคปฏิบัติ เราจะได้เรียนในเหมืองที่อีกฟากของทะเลสาบหน้าอาคาร มันอาจจะสนุกกว่าวิชาแนวทฤษฎีพวกนี้ก็ได้นะ” เมื่อเบ็นจามินพูดต่อ ลูคเห็นซิดจ์ตาลุกวาวเป็นมันเหมือนแสงสะท้อนของหลังคาบ้านคนรวย


              พวกเขาแยกกับอลาสแตร์ที่ชั้นเรียน เพราะเขาบอกว่าต้องกลับไปหยิบของที่หอพัก อากาศนอกอาคารเรียนเย็นฉ่ำชวนให้รู้สึกสดชื่น ลูคเดินลัดเลาะริมตลิ่งฝ่าไอหมอกสีขาวโพลนที่ลงจัดจนมองแทบไม่เห็นทาง เขาไม่รู้เลยว่าจะเดินไปจ๊ะเอ๋เข้ากับรูปปั้นบุคคลมีชื่อเสียงที่สร้างไว้รอบทะเลสาบหรือเปล่า


              “ฌองนายโชคดีแค่ไหนรู้ตัวไหมที่วันนี้นายมากับฉัน ไม่งั้นป่านนี้นายหลงกลับไปบ้านแล้วมั้ง” เจ้าตัวแสบยิ้มโชว์ฟันขาว “โอ้ย! ใครเอาอะไรมาวางเกะกะขวางทางคนเดินวะเนี่ย วันนี้ฉันยังซวยไม่พออีกหรือไง!” ซิดจ์ลูบหัวตัวเองป้อย ๆ หลังจากเดินเอาหัวไปโขกเข้ากับบางสิ่งเข้าอย่างจังเพราะมัวแต่คุย


              “ก็รู้อยู่ว่ารอบทะเลสาบมีรูปปั้นเยอะขนาดนั้น ยังจะเดินไปชนเข้าอีก เซ่อจริง” ลูคพูดปนขำ


              แสงสว่างจากดวงอาทิตย์โผล่พ้นกลีบเมฆส่องไอหมอกให้เบาบางลงชั่วครู่ เผยให้เห็นรูปปั้นชายชรายืนหลังโก่งงุ้มท่าทางพิลึกพิลั่น เส้นขนบนตัวต่างพากันขนลุกเกรียว ขณะเขาไล่สายตามองมือทั้งสองข้างของชายชราประสานกันไว้ใต้เคราที่ยาวจรดกลางอก ภาพชายชรากระโจนเข้าใส่ในความฝันเมื่อวันก่อนก็ฉายแวบเข้ามาในหัวโดยทันที


              “ฮาร์โปผู้ฟั่นเฟือน นักถอดความโลหะชาวอังกฤษผู้ประดิษฐ์ศิลาหลงลืม” เขาเพ่งตาอ่านป้ายสลักอักษรนูน ผ่านไอหมอกที่เริ่มกลับมาลงหนาอีกครั้งแล้ว


              “พวกนาย เร็ว ๆ เข้า” ซิดจ์ตะโกนเรียกฌองที่ยืนแข็งทื่อมะลื่อข้าง ๆ ลูคอยู่หน้ารูปปั้นชายชรา


              “ถ้ามัวแต่ยืดยาด พวกเราจะไปเรียนไม่ทันนะ” คลีโอเสริมก่อนจะปรี่เข้ามาลากคอเสื้อฌองออกจากรูปปั้นฮาร์โป


              ทั้งหมดใช้เวลาในการเดินแหวกม่านหมอกอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดพวกเขาก็เดินมาถึงเสียที ลูคมองรอบตัวด้วยความตื่นตาตื่นใจ เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ไอหมอกบดบังทัศนียภาพไปเกือบครึ่ง แม้ว่าแสงไฟจากตะเกียงแขวนผนังจะพอส่องให้เห็นบริเวณโดยรอบได้บ้างก็ตาม เขาย่ำเท้าเดินลงไปตามทางลาดชันสู่บ่อแอ่งกะทะขนาดกว้างหรือที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่าเหมืองผลิบาน กลางเหมืองมีลำธารหลายสายไหลผ่าน เสียงน้ำเอื่อยฟังไพเราะเสนาะหู


              ระหว่างที่กำลังเดินรั้งท้ายตามเพื่อนนั้นเองก็มีเด็กหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งวิ่งสวนทางมาชนจนลูคเซแทบล้ม สิ่งที่ทำให้เขาตัวแข็งตะลึงงันอยู่กับที่ไม่ใช่เพราะความรู้สึกเจ็บจากแรงกระแทกเมื่อครู่ แต่เป็นเพราะเด็กหนุ่มที่วิ่งชนเขาเมื่อครู่นั้น หน้าตาเหมือนกันเด็กปริศนาที่เขาเคยฝันถึงแบบไม่มีผิดเพี้ยน ไม่ทันที่เขาจะวิ่งตามไปดู เด็กหนุ่มคนนั้นก็หายไปกลางหมอกสีขาวโพลนเสียแล้ว


     

    [1]เฟลอเดลีส คือมหาวิทยาลัยเชี่ยวชาญด้านศิลปะทุกแขนง บ่มเพาะจิตกรและนักดนตรีที่มีชื่อเสียงมากมาย มหาลัยแห่งนี้คือพระราชวังเก่าของมาดามแดฟนีย์ บลองค์ หนึ่งในสี่สตรีผู้ทรงอำนาจของฟอร์ทอีสต์ เฟลอเดลีสเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ ก่อตั้งขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับโกลเด็นคาสเซิล ทว่าเป็นมหาวิทลัยที่รับเฉพาะนักเรียนหญิงเท่านั้น

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in