ลูคตาลีตาเหลือกรีบมองหาต้นตอของเสียงเขาเห็นชายวัยกลางคนในเสื้อสีดำกำลังยืนส่องตะเกียงน้ำมันขึ้นเหนือหัวอยู่ใกล้กับเสาเหล็กต้นหนึ่งดวงไฟเริ่มส่องแสงสว่างจากทั่วทุกช่องประตูของโถงชั้นหนึ่งก่อนที่ผู้ตรวจตราเกือบสิบคนจะปราฏตัวและเริ่มวิ่งกรูกันขึ้นมาบนบันไดวนเสียงฝีเท้าดังตึงตังไปทั่วห้อง
พวกเขาวิ่งกระเจิงหนีกันไปคนละทิศละทางราวกับมดแตกรังไม่ทันระวังว่าจะพลัดหลงจากกันลูควิ่งหน้าตื่นไปในความมืดหลังช่องวงกบที่ใกล้ที่สุด ในขณะที่ซิดจ์และเบ็นจามินวิ่งไปในวงกบอื่นๆ เด็กหนุ่มเขย่งเท้าวิ่งไปบนพื้นเย็นยะเยียบของช่องทางเดินแคบลึกอันมืดมิดมีเพียงแสงริบหรี่จากดวงจันทร์ที่เล็ดลอดมาจากช่องลมรูปกางเขนคว่ำบนผนังกำแพงเขาเหลียวไปมองข้างหลังพบแสงจากตะเกียงน้ำมันกำลังไล่จี้ตามมาติด ๆ กระทั่งเห็นประตูบานใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้า
บานประตูเหล็กเปิดผางดังเอี๊ยดอ๊าดก่อนจะตามมาด้วยเสียงลงกลอนห้องนี้เล็กกว่าห้องครัว ลูคเพ่งมองผ่านแสงสลัวสีฟ้าจากตะเกียงไฟที่แขวนไว้รอบตัวห้องไร้ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ตั้งพื้น เว้นแต่กรอบรูปสีน้ำมันหลายสิบกรอบถูกแขวนไว้บนผนังห้องอัดแน่นไว้ทุกระเบียดนิ้วเขาไล่ตามองใบหน้าเสมือนจริงทั้งหญิงและชายใต้กรอบรูปพวกนั้นพลันรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับว่ากำลังถูกจับจ้องด้วยฝูงคนแปลกหน้ากลุ่มใหญ่
จนกระทั่งสายตาของเขาไปสะดุดเข้ากับใบหน้าหนึ่งเข้า
เบอร์มิวด์ แกรนด์โกสต์
ชาตะ 1 ธันวาคม 1791
ลูคเอ่ยอ่านอักษรสลักสีขาวตัวบรรจงที่ใต้กรอบภาพสีดำด้านสลับกับมองที่ใบหน้าของเจ้าตัวเขาจ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินเข้มราวหลุมดำของรุ่นพี่ เบอมิวด์กำลังจ้องกลับมาที่เขาด้วยแววตาส่อประกายมุ่งร้ายแม้แต่ในรูปวาด
เหนือภาพเบอมิวด์คือภาพของหญิงชายคู่หนึ่งใต้กรอบสีเดียวกันเขามองไปยังใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของทั้งสอง ผิดกับหน้าบึ้งตึงของเบอมิวด์ถนัดตาก่อนจะเลื่อนสายตาลงอ่านชื่อของพวกเขา
พลันเสียงบิดรัวกลอนประตูก็ดังขึ้นจนสมาธิกระเจิดกระเจิงพวกผู้ตรวจตราคงกำลังพยายามหาทางเข้ามาในห้องนี้ เขาคิดในใจพลางเหลียวซ้ายแลขวามองหาทางออกจากห้องเล็กๆ ที่ไม่น่าพิศมัยห้องนี้
ประตูเหล็กบานหนึ่งสะกดสายตาเขาเอาไว้ที่ตรงหน้าลูครีบเขย่งเท้าวิ่งถลาออกจากห้องแห่งภาพวาดนี้ไปเขาพบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในช่องทางเดินแคบไร้แสงส่องทางอีกครั้งคฤหาสน์แกรนด์โกสต์ช่างซับซ้อนเสียจริงเด็กหนุ่มคิดพลางกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปบนพื้นปูพรมด้วยสุ้มเสียงที่เงียบกริบประหนึ่งอากาศธาตุก่อนจะลงเอยเข้ามาอยู่ในห้อง ๆ หนึ่งเพียงลำพัง
บนพื้นห้องเย็นจัดจนรู้สึกชาขึ้นมาถึงหัวเข่าเขาเอื้อมมือเลื่อนเปิดบานพับสีดำฉลุลายกางเขนสุริยะที่ตั้งขวางกั้นอยู่ตรงหน้าเผยให้เห็นอ่างอาบน้ำขนาดกว้างทำจากแผ่นเหล็กสีทองส่องแสงสลัวแข่งกับแสงไฟรูปปั้นแพะเขาคดสร้างจากทับทิมแท้สูงราวครึ่งหนึ่งของลำตัวของเขากำลังเบิกตาลุกโพลง และอ้าปากโชว์ฟันกระต่ายอยู่ข้างอ่างใกล้กันนั้นมีหม้อเตาต้มน้ำร้อนเปรอะเปื้อนด้วยเขม่าขี้เถ้าสีเทาเข้มวางอยู่บนกองถ่านซึ่งกองพะเนินสูงที่มุมห้องมีตู้ทรงสูงแขวนผ้าเช็ดตัวเก่า ๆ หลายผืนไว้อย่างไม่เป็นระเบียบแม้แต่ห้องอาบน้ำยังมีกลิ่นอายของความไม่เป็นมิตร
ลูคสลัดความตื่นตูมทั้งหมดในตัวทิ้งไปสิ้นและตั้งสติเสียใหม่การค้นหาศิลาอินคิวบัสดูจะไม่ใช่ภารกิจเดียวเสียแล้วที่สำคัญกว่าคือเขาควรจะออกตามหาตัวซิดจ์กับเบ็นจามินให้เจอและคิดหาวิธีพาตัวเองทางออกไปจากคฤหาสน์นี้อย่างปลอดภัยเด็กหนุ่มถือโอกาสคว้าแผ่นกระดาษที่เคยจดรายละเอียดจากฌองขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงกางออกอ่านพึ่งพาแสงสลัวสีฟ้าอ่อนอันริบหรี่จากตะเกียงไฟอย่างใจเย็น
ยังไงซิดจ์กับเบ็นจามินอาจจะยังอยู่ที่ชั้นสองเหมือนกับเขาจะให้กลับไปที่ห้องโถงอีกครั้งนั้นคงเสี่ยงเกินไปเด็กหนุ่มเริ่มติ๊ต่างสวมบทเป็นเพื่อนผมยุ่งประจำกลุ่มเพื่อคิดค้นคำตอบว่าเบ็นจามินจะทำอย่างไรต่อไปในสถานการณ์คับขับเช่นนี้ ในที่สุดเขาก็พบกับคำตอบ
เขาควรหาบันไดที่พาขึ้นไปชั้นสามให้เจอเขาแน่ใจว่าอย่างน้อยก็อาจจะมีโอกาสเจอกับทุกคนได้ที่นั่นเด็กหนุ่มคิดพลางขยำแผ่นกระดาษที่ยับยู่ยี่เสียยิ่งกว่าเดิมยัดมันลงในกระเป๋ากางเกงแบบลวก ๆก่อนจะแนบสายตาติดกับลูกกลอนและแอบมองลอดออกไปยังช่องทางเดินอันมืดมิดด้านนอก
แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันรูปกางเขนคว่ำกว่าห้าดวงกำลังแกว่งไกวไปมาในมือของเหล่าผู้ตรวจตราถ้าออกไปตอนนี้ต้องโดนจับได้แน่ เขาคิดในใจก่อนจะผละออกจากบานประตูกลับลงไปนั่งชันเข่านึกหากลวิธีที่จะพาตัวเองออกไปจากห้องนี้โดยไม่ถูกจับได้กระทั่งเสียงของผู้ตรวจตราคนหนึ่งดังลอดผ่านช่องประตูเข้ามา
เขาโชคดีบนโชคร้ายของเพื่อนหวังว่าพวกนั้นจะเอาตัวรอดไปได้ ลูคคิดพลางเดินย่องออกจากห้องพรางตัวในความมืดเขาเลี้ยวที่มุมทางเดินพลันก็วิ่งชนเข้ากับบางสิ่งบางอย่างจนรู้สึกเจ็บที่หน้าผากเด็กหนุ่มรีบยื่นมือออกไปข้างหน้าเพื่อตรวจดูว่าเขาวิ่งไปชนเข้ากับอะไรแต่ยังไม่ทันจะจับโดน เขาก็ได้ยินเสียงร้องโอดโอยของเบ็นจามินดังขึ้นเบา ๆ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in