เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ลูค ไวท์ ผจญภัยห้วงนิทราKGUNTION
ความจริง (3)
  •             เสียงไอค่อกแค่กดังขึ้นแข่งกับเสียงพูดคุยดังหึ่งปานฝูงผึ้งงานของลูกค้าในร้านลูนคาเฟ่ ยิ่งในเวลาช่วงเย็นเช่นขณะนี้แล้ว ลูนคาเฟ่ดูไม่ต่างไปจากรังผึ้งเลยแม้แต่น้อย หลังจากใช้เสียงอยู่นานร่วมชั่วโมงเพื่อเล่าเรื่องการกลับมาของพ่อและความฝันเมื่อคืนวานให้เพื่อน ๆ ฟังจนคอแห้งผาก เขาก็เอื้อมมือคว้าแก้วกาแฟร้อนขึ้นจิบ พลางกวาดตามองปฏิกิริยาของเพื่อนทั้งห้าซึ่งกำลังนั่งล้อมหน้ากันอยู่บนโต๊ะนอกระเบียงหลังร้าน

                “ถ้าต้องฝันแล้วรู้เรื่องอะไรแบบนี้อีก ฉันยอมไม่ฝันเสียเลยดีกว่า” ความเศร้าโศกสะท้อนผ่านแววตาของเด็กหนุ่ม ภาพนาทีชีวิตของไคล์ยังคงติดตาเขาอยู่ไม่จางหาย

                “พักนี้ชีวิตนายนี่ปั่นป่วนเอาเรื่อง --” ซิดจ์เอ่ยขึ้นเป็นคนแรก “-- นายยังจะกินพุดดิ้งเค้กชิ้นนั้นอีกหรือเปล่า” เพื่อนตัวดีถามนอกเรื่อง พลางเอาแขนปาดครีมสดที่ติดหน้าออกอย่างสกปรกซกมก นับตั้งแต่เข้ามาในร้าน มันยังกินไม่ได้หยุดปากเลยแม้แต่วินาทีเดียว

                “แต่ฉันคิดว่านายจะเชื่อทุกอย่างที่ฝันเห็นไม่ได้นะ มันไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าสิ่งที่นายเห็นเป็นความจริง ถูกไหมล่ะ” เบ็นจามินเอ่ยด้วยสีหน้าครุ่นคิด

                “ฉันคิดเหมือนเบ็น นายเชื่อจริง ๆ เหรอว่าพ่อนายจะ… จะทำอะไรที่เลวร้ายแบบนั้นได้ลงคอน่ะ” ชินเสริม คลีโอและฌองพยักหน้าเห็นด้วย

                “ฉันก็ไม่รู้ --” ลูคตอบแม้ว่าเขาจะปักใจเชื่อสิ่งที่เห็นในฝันเมื่อคืนไปแล้วก็ตาม “-- แต่ที่แน่ ๆ คือฉันอยากจัดการกับไอ้เรื่องพลังมากอสกับความฝันบ้าบอพวกนี้ให้หายสักที อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะเป็นคืนวันจันทรุปราคาแล้ว ฉันเลยคิดว่าจะแอบเข้าไปในคฤหาสน์แกรนด์โกสต์อีกรอบ พวกนายจะไปกับฉันไหม” เขาเอ่ยต่อ เรียกความสนใจของซิดจ์จากจานขนมตรงหน้าได้อยู่หมัด

                “ฉันไปด้วย!” ซิดจ์รีบขานรับก่อนหน้าใคร ลูคเห็นเศษขนมเค้กหลุดร่วงออกมาจากปากของเจ้าเพื่อนจอมตะกละ

                “บุกเข้าไปงั้นเหรอ” ชินขมวดคิ้วมุ่น “เราต้องการแผนการที่ดีกว่าคำว่า ‘บุกเข้าไป’ ของนาย พวกเราควรวางแผนให้ดีเสียก่อน” เขาเอ่ยพลางจิบชาสมุนไพรหอม

                “แต่ผมไม่เห็นด้วยนะครับ ผมคนหนึ่งล่ะที่จะไม่เข้าไปในคฤหาสน์นั่นเด็ดขาด อันที่จริงพวกเราทุกคนไม่ควรมีใครเข้าไปในตัวคฤหาสน์ด้วยซ้ำ ในนั้นมีการเดินเวรยามแน่นหนามาก ตั้งแต่ชั้นแรกถึงชั้นบนสุด แถมยังเต็มไปด้วยกับดักอันตรายเสียยิ่งกว่าในป่าสาบสูญอีกนะครับ ถ้าไม่ใช่คนที่อาศัยอยู่ในนั้นจะไม่มีทางเอาตัวรอดอยู่ในคฤหาสน์ได้แน่ ๆ ถึงแม้ว่าจะเตรียมแผนการมาดีแค่ไหนก็ตาม” ฌองรีบท้วงขึ้นทันที

                “นายไปได้ข้อมูลพวกนี้มาจากไหนกัน” ชินจ้องหน้าฌองเขม็งราวกำลังพยายามอ่านใจ

    ฌองเงียบ

                “แน่นอนซิว่าฌองรู้ ก็แม่ฌองเป็นสถาปนิกยังไงล่ะนายจำไม่ได้เหรอ” คลีโอที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ เอ่ยตอบแทนเพื่อน

                “ฉันจำได้ว่าแม่เขาเป็นสถาปนิก แต่แปลนของคฤหาสน์แกรนด์โกสต์ที่ฌองเคยหยิบมาให้ดู ฉันจำได้ว่ามันไม่มีข้อมูลเชิงละเอียดของแผนผังภายในคฤหาสน์ แถมนายยังรู้กระทั่งตารางการเดินเวรยาม การวางกับดักในคฤหาสน์อีก คงไม่มีสถาปนิกคนไหนเขียนเรื่องพรรคนั้นลงไปในแบบแปลนหรอกจริงไหม ฉันอดสงสัยไม่ได้ --” ชินขมวดคิ้วแน่นจนเหมือนเงื่อนตาย “-- ถามจริงเถอะ นายรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง”

                ฌองถอนหายใจออกเฮือกใหญ่ ทุกสายตาจับจ้องไปยังดวงหน้าปั้นยากของเพื่อนตัวเล็ก

                “เพราะแกรนด์โกสต์คือนามสกุลของผมครับ...”

                ละอองชาสมุนไพรพ่นออกจากปากของซิดจ์ราวกับน้ำพุขนาดย่อมหลังจากคำตอบหลุดจากปากฌอง

                “ว่ายังไงนะ!” คำตอบของฌองทำให้ทุกคนตกตะลึงไม่เว้นแม้แต่คลีโอ

                “ตั้งแต่ตอนยังเด็ก ผมกับแม่และคุณน้าจูเลีย พวกเราแยกตัวออกมาจากตระกูลแกรนด์โกสต์ด้วยเหตุผลบางอย่าง แม่ไม่เคยบอกผมว่าทำไมถึงตัดสินใจเดินออกจากตระกูล แม่เพียงแค่บอกว่าต้องปกป้องผมจากความชั่วร้าย และผมก็ได้ให้สัญญากับแม่ว่าจะไม่มีวันเข้าไปในคฤหาสน์แห่งนั้นอีก เรื่องนี้เป็นความลับที่ผมไม่เคยบอกใครมาก่อนเลยในชีวิต เพราะผมกลัวว่าจะไม่มีใครคบเป็นเพื่อน ขอโทษนะครับ” ฌองก้มหน้าพูด ขณะที่เสียงพูดคุยจอแจซึ่งดังมาจากในร้านก็เริ่มซาลงด้วยเหมือนกัน

                “เชื่อผมเถอะครับ ขอร้องล่ะ… อย่าเข้าไปในสถานที่อันตรายอย่างคฤหาสน์แกรนด์โกสต์เลยครับ” น้ำเสียงของเพื่อนตัวเล็กเจือความอ้อนวอน แต่แน่นอนว่าเขาเพิกเฉยต่อคำเตือนของฌอง ในตอนนี้จะมีอะไรสำคัญไปกว่าการตามหาศิลาอินคิวบัสอีก ในเมื่อคืนจันทรุปราคาก็ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้ว คฤหาสน์แกรนด์โกสต์คือความหวังสุดท้ายที่เขามี ลูคคิดในใจพลางกระแอมกระไอเสียงดังจนฌองสะดุ้งโหยง

                “เสียใจด้วย แต่ฉันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว --” ลูคกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “-- ในคืนวันพรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปในคฤหาสน์ ไม่ว่านายจะไปด้วยหรือไม่ก็ตาม”

                ฌองนั่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเพื่อนตัวจ้อยก็เงยหน้าขึ้นมา นัยน์ตาฉายแวววิตกกังวลกำลังจับจ้องมาที่เขา

                “ถ้าคุณลูคคิดดีแล้ว งั้นผมก็จะไปด้วยครับ” น้ำเสียงของเพื่อนตัวจิ๋วช่างหาญกล้า ผิดกับดวงหน้าซีดเผือดเหมือนไก่ต้ม

                “รีบไปกันดีกว่า เหลือเวลาไม่มากแล้ว” ลูครีบยกชาหอมที่เหลือติดก้นแก้วขึ้นซดอย่างเร่งรีบ ก่อนจะออกเดินทางไปที่ห้องสมุดของครอบครัวลีพร้อมกับเพื่อน ๆ เพราะคิดว่าไม่มีสถานที่ไหนเหมาะไปกว่านั้นแล้ว พวกคงไม่มีวันระดมสมองคิดแผนการอันแยบยลออกในคาเฟ่ที่เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวปานรังแตนนี้ได้แน่นอน

                กว่าเด็ก ๆ จะระดมสมองวางแผนอันแยบยลได้สำเร็จก็ปาไปเกือบจะสามทุ่มครึ่ง อันเป็นเวลาห้องสมุดใกล้ปิดทำการ บัดนี้ไม่เหลือใครอยู่ในห้องสมุดโซนสวนจำลองเลยนอกจากกลุ่มของพวกเขา

                ในที่สุดฌองซึ่งนั่งวาดแผนที่คร่าว ๆ ภายในคฤหาสน์แกรนด์โกสต์ก็ยอมวางดินสอลง หลังจากที่เขาใช้เวลานานร่วมชั่วโมงกว่าจะวาดมันออกมาเสร็จ ลูครีบยื่นหน้ายื่นตาไปดูภาพวาดเละ ๆ เทะ ๆ ของเพื่อนตัวเล็ก หากไม่มีตัวหนังสือกำกับว่าอะไรเป็นอะไร เขาก็มองไม่ออกว่าสิ่งที่ฌองลงแรงวาดไปนั้นคือรูปอะไร

                ฌองเริ่มอธิบายรูปภาพนั้นอย่างละเอียดเท่าที่เขาจะจำภาพได้ เขาเริ่มจิ้มนิ้วมือไปที่ห้องแรก ปากก็พูดอธิบายไปเรื่อย ๆ จนถึงห้องสุดท้าย กล่องเสียงของฌองก็แหบพร่าเพราะพูดไม่หยุด

                เท่าที่ฟังดูแล้ว คฤหาสน์แกรนด์โกสต์นั้นมีทั้งหมดสามชั้น แต่ละชั้นมีห้องอยู่เป็นสิบ ๆ ห้อง ทั้งห้องเล็กห้องน้อยที่ลูคคิดว่ามันไม่ควรจะนับเป็นห้อง อย่างเช่น ห้องบิลเลียด ห้องดนตรี และห้องกวี หรือห้องที่มีชื่อเรียกแปลก ๆ อย่าง ห้องสีน้ำมัน ก็เช่นกัน

                “เรื่องที่สำคัญลำดับต่อมาก็คือเรื่องของเวลา เราควรจะแอบเข้าไปในนั้นตอนกี่โมงดีล่ะ” ชินกระซิบคิ้วขมวด

                “ถ้าเป็นเรื่องนั้นล่ะก็ ผมเสนอว่าช่วงที่รุ่นพี่อยู่ในคฤหาสน์จะเป็นเวลาที่ง่ายที่สุด เพราะช่วงนั้นความเคร่งครัดของการเดินเวรยามจะลดลงกว่าครึ่งเลยครับ --” ฌองตอบอย่างรู้ดี

                “เยี่ยมไปเลย… ทีนี้ นายพอจะเล่ารูปแบบการเดินเวรยามในคฤหาสน์ให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหมล่ะ” เบ็นจามินพูดเสียงเจื้อยแจ้วประหนึ่งลืมตัวว่าอยู่ในห้องสมุด

                “-- เอ่อ… คือเรื่องนั้น... ผมก็ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เขาเดินกันยังไง...”

                “อะไรกัน เรื่องสำคัญแบบนี้นายกลับไม่รู้เหรอฌอง” ลูคโพล่งขึ้นขัดประโยคของฌองอย่างหัวเสีย

                ฌองทำหน้าเจื่อน

                “ขอโทษครับคุณลูค” ฌองเอ่ยเสียงจ๋อยที่ถูกเขาดุ ลูคแอบเห็นความสงสารฉายผ่านแววตาของเบ็นจามินที่นั่งอยู่ข้าง ๆ

                “พูดดี ๆ ไม่เป็นหรือไง” คลีโอปกป้องเพื่อนซี้ตัวจ้อยของเธอโดยการตอกกลับเขา

                ชินถอนหายใจดังเฮือก ก่อนจะแลกเปลี่ยนข้อสันนิษฐานของตนว่าศิลาอินคิวบัสต้องถูกซ่อนไว้ในสถานที่ซึ่งมีการเดินเวรยามแน่นหนาที่สุด แต่เมื่อในตอนนี้พวกเขาไม่รู้ว่ารูปแบบการเดินเวรยามนั้นเป็นเช่นไร ทำให้มันไม่สามารถคาดการณ์ได้

                “งั้นเพื่อความชัวร์ ฉันคิดว่าเราต้องพยายามหาให้ครบทุกห้องเลยก็แล้วกัน ฉันรู้ว่ามันอาจจะฟังดูกำปั้นทุบดินมาก ๆ แต่เราก็ไม่มีทางเลือกแล้ว --” ชินสรุปรวบยอดให้ทุกคนฟังพร้อมกัน “-- ก็เริ่มจากห้องที่ใกล้กับทางเข้าลับที่เราใช้เข้าไปในตัวคฤหาสน์ก็แล้วกัน… ฉันว่าแค่นี้ก็น่าจะโอเคแล้ว หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน” ชินผู้เป็นหัวโจกของการประชุมลับกล่าวเสียงค่อย แม้ว่าตอนนี้จะเลยเวลาทำการของห้องสมุดแล้วก็ตาม

                “ขากลับนายก็แวะไปตรวจดูเวรยามสิ เข้าใจไหม” ลูคหันไปพูดแกมสั่งใส่ฌองก่อนที่พวกเขาจะเริ่มสลายโต๋

                “ครับ” ฌองตอบหน้าเสีย ทำเอาคลีโอขวับมองเขาด้วยความไม่พอใจ


    ...


                เสาไฟริมถนนส่องกระพริบถี่ บนทางเท้าอันมืดมัวเปลี่ยวร้างไร้สุ้มเสียงของชีวิตใด ๆ เว้นเสียแต่เด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินย่ำเหยียบเศษใบไม้แห้งส่งเสียงดังสวบสาบอยู่เป็นจังหวะ มุ่งหน้าสู่ความมืดมิดยามวิกาลแห่งตรอกซอยอันเคี้ยวคด

                ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่พาเขามาในซอยลึกแห่งนี้ นอกเสียจากเพียงเพื่อตรวจตราบางสิ่งให้แน่ใจ เขาจำต้องขัดคำสัญญาที่เคยให้ไว้ต่อมารดา เพื่อช่วยเหลือเพื่อนกลุ่มแรกในชีวิตที่กำลังเผชิญกับความลำบาก จะมัวแต่หลบซ่อนต่อไปก็คงจะไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว ยังไงเสียเขาก็รู้ทางลับในคฤหาสน์เสียดีกว่าใคร เขาต้องยอมเสี่ยงดูสักครั้ง เด็กหนุ่มผู้เสียสละคิดในใจ พลางก้าวขาสั้นม่อต้อพาตนสู่รูปปั้นจันทร์เสี้ยวขนาดสูง ณ ใจกลางลานจัตุรัสกว้าง

                รูปปั้นบุรุษร่างกำยำล่ำสันกำลังแบกจันทร์เสี้ยวไว้เหนือหัว สูงบดบังแสงจากเสาไฟริมทางที่ยังกระพริบติด ๆ ดับ ๆ เสียมิดชิด ลานทั้งลานตกอยู่ใต้ความมืดมัวแสง ความเงียบงันกรีดร้องก้องหู บรรยากาศของลานเสี้ยวจันทร์ชวนให้เขารู้สึกขนลุกขนพอง เสียจนอยากจะหันหลังเดินกลับออกไปให้รู้แล้วรู้รอด กระนั้นเด็กหนุ่มยังฝืนทนเดินลึกเข้าไป ผ่านสนามเด็กเล่นร้างนี้ไปก็จะถึงสถานที่ซึ่งเป็นจุดหมาย

                เด็กหนุ่มเหลียวมองไปรอบตัวฉับพลันขนก็ลุกขึ้นเกรียว ชิงช้าเก่าสนิมเกรอะแกว่งขึ้นส่งเสียงดังครืดคราดเสียดแทงโสตประสาท พร้อมด้วยร่างหนึ่งกำลังยืนอยู่ข้าง ๆ มันกำลังจ้องเขม็งมายังเขา แม้หน้ากากกันแก๊สพิษจะปกปิดสายตาคู่นั้นไว้ แต่เขาก็รับรู้ได้ถึงแรงอาฆาตพยาบาทที่ส่งผ่านออกมา ชายใต้หน้ากากเริ่มออกวิ่งตรงดิ่งมายังเขาด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มออกวิ่งเต็มฝีเท้าหนีลึกเข้าไปสู่จุดหมาย

                รั้วเหล็กสีดำขึ้นแซมด้วยเถาไม้เลื้อยสีเขียวเข้มเริ่มปรากฏให้เห็นตรงหน้า เขามองเห็นหลังคาเหล็กสีดำสนิททรงแหลมสูงปรี๊ดของคฤหาสน์สามชั้นเรือนใหญ่ ตั้งสูงเด่นเป็นสง่าอยู่เบื้องหลังหมู่ดาวบนฟ้าสีหมึก เขาไล้สายตามองช่องลมรูปไม้กางเขนคว่ำซึ่งทั้งเล็กและแคบบนผนังคฤหาสน์เรียงยาวเป็นตับ จนดูเหมือนคฤหาสน์ทั้งหลังทำขึ้นจากกระดาษฉลุลวดลาย

                เด็กหนุ่มใจหายวูบเมื่อวิ่งสะดุดพื้นต่างระดับจนถลาล้มลง เขาร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดอยู่บนพื้นถนน พลางใช้เสื้อซับรอยเลือดออกจากแผลหัวเข่าถลอก ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ทว่ายังไม่ทันไรอุ้งมือแข็งปานกรงเล็บก็คว้าเข้าที่แขน เด็กหนุ่มร้องครวญทันทีเมื่อมนุษย์หน้ากากจิกกรงเล็บแน่นเข้าไปในเนื้อที่ต้นแขน เขารวบรวมความกล้าเอื้อมมือไปกระชากหน้ากากกันแก๊สพิษนั้นออก ปากกรีดร้องเสียงดังลั่นตรอกมืดร้างคน ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกโพลงด้วยความตะลึงงันเมื่อเห็นโฉมหน้าใต้หน้ากาก

                “ทะทะทำไม… นะนี่มันเรื่องอะไรขึ้นกันแน่...” เสียงร้องแหลมดังออกจากริมฝีปากของฌอง แสงจากเสาไฟส่องทางดับวูบลง ก่อนจะกระพริบติดอีกครั้ง ร่างทั้งสองกลับหายลับไปเสียแล้ว เหลือทิ้งไว้แต่เพียงความเงียบงันที่หน้าคฤหาสน์แกรนด์โกสต์

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in