การโดดเรียนวิชาสมุนไพรศาสตร์นั้นง่ายเสียยิ่งกว่าเคี้ยวเมล็ดธัญพืชในมื้อกลางวันชั้นเรียนเริ่มไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง อาจารย์ซินธ์ก็ปล่อยให้นักเรียนทุกคนออกเดินสำรวจสวนกว้างในเรือนกระจกเขากับซิดจ์รีบคว้าโอกาสนี้วิ่งหลบหนีออกมาจากฝูงนักเรียนโดยระวังไม่ให้คนที่เหลือรู้ตัว
พี่แซมจะช่วยเขาได้มากน้อยแค่ไหนและด้วยวิธีการใดความคิดลอยฟุ้งในห้วงคิดของเขาไม่ต่างจากเมฆฝนขมุกขมัวบนท้องฟ้าเหนือทางเดินเหล็กสีทองคำลัดสู่เหมืองร่วงโรยทอดยาวอยู่หลังรั้วเหล็กสีทองอร่ามเสียงฝีเท้าสองคู่กระทบพื้นเหล็กส่งเสียงดังเป็นจังหวะกึก ๆ สะท้อนทั่วทางเดินก่อนจะชะลอ และเงียบลงราวกับว่าฝีเท้าของทั้งสองเป็นเพียงแค่เสียงสะท้อนอันกังวาลของฝนหยาดแรกที่เริ่มโรยเม็ด
รุ่นพี่เบอมิวด์เดินเลี้ยวมาตรงหัวมุมรูปปั้นหญิงชราเหล็กไกลออกไปพอสมควรถัดจากเขาคือเด็กผมม่วงคนเดิมเดินขนาบข้างอยู่ด้วยเห็นเช่นนั้นแล้วลูคจึงรีบคว้าคอเสื้อซิดจ์และเอี้ยวตัวหลบเข้ามาอยู่ระหว่างซอกหินติดกับดอกไม้สีเขียวไข่กาทรวดทรงกระดิ่งคว่ำขึ้นรกเรื้ออยู่ใกล้กับเพิงเก่าๆ ริมน้ำ
รุ่นพี่ทั้งสองเดินมาหยุดอยู่หน้าเพิงลูคสังเกตเห็นเบอมิวด์อ้าปากจะพูดบางอย่างขึ้นมาทว่ารุ่นพี่กลับเงียบปากของเขาลงเสียดื้อ ๆเมื่อใครผู้หนึ่งเดินพรวดออกมาจากเพิงเก่าริมน้ำอาจารย์โจชัวเดินไม่รู้อิโหน่อิเหน่ผ่านหน้าทั้งสองไปในมือของอาจารย์หนุ่มเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำสวนลูคเดาไม่ออกเลยว่าอาจารย์จะต้องการเครื่องมือพวกนั้นไปเพื่ออะไร คิดไม่ทันสำเร็จเบอมิวด์ก็ปริปากพูดบางสิ่งออกมาทันทีที่อาจารย์โจชัวเดินลับสายตาไปที่มุมรูปปั้นเหล็ก
สองคู่ซี้รูดซิบปากเสียสนิทเพียงแค่ประสานสายตากันความอยากรู้อยากเห็นวาวโรจน์อยู่ในตาคู่สีฟ้าครามของซิดจ์
เด็กผมม่วงเริ่มมีท่าทีผิดแปลกไปเขาสูดอากาศเข้าจมูกเสียงดังฟืดฟาด คล้ายว่าได้กลิ่นของสิ่งแปลกปลอมบางอย่างก่อนจะหันขวับจองเขม็งมายังพงไม้ริมเพิงที่ลูคกับซิดจ์ซ่อนตัวอยู่
ซิดจ์หันมองเขาด้วยแววตาเลิ่กลั่กเมื่อน็อกซ์ย่างเท้าเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
ทั้งสองตกลงกันวางปมปริศนาที่เพิ่งได้ยินมาเมื่อครู่พักไว้ก่อนและเริ่มออกเดินทางหาตัวพี่แซมกันต่อ เดินไปได้ครู่หนึ่ง ก็ต้องหยุดฝีเท้าลงอีกครั้ง
ลูคหันมองซิดจ์หวังจะขอคำแก้ตัวที่ดูฟังขึ้นมากไปกว่าบอกอาจารย์ไปตรงๆ ว่าพวกเขาโดดเรียน ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าปั้นยากของซิดจ์ เขาก็นึกคำแก้ตัวออก
ลูคก้มมองสิ่งของบนฝ่ามือเห็นกำไลลูกหินสีใสแวววาวเป็นมันเมื่อสะท้อนกับพื้นเหล็กสีทองอร่ามเขารีบสวมกำไลหินพลางคิดในใจว่าทำไมอาจารย์โจชัวถึงต้องพูดอะไรแปลก ๆที่เหมือนคำแช่งให้ตายแบบนั้นกับเขาด้วยก่อนที่เขาจะเริ่มออกเดินต่อเมื่อเพื่อนตัวดีกระชากแขนเขาอย่างแรง
ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ทั้งสองก็มาถึงยังสุดทางเดิน เหมืองร่วงโรยซ่อนตัวอยู่หลังม่านน้ำตกขนาดใหญ่ลูคจ้องมองลงไปยังพื้นน้ำเชี่ยวใต้สะพานกำลังส่งเสียงดังซู่ซ่ามือก็ปัดละอองน้ำเย็นที่ฟุ้งกระจายมาโดนแขนพลางคิดสงสัยในใจว่าเท่าที่ผ่านมาเคยเกิดอุบัติเหตุเด็กนักเรียนตกลงเสียชีวิตบ้างไหม
เบื้องหลังสายน้ำตกคือทัศนียภาพหน้าผาสูงชันแลดูอันตรายเกินกว่าจะใช้เป็นสถานที่เรียนหนังสือเขาเห็นกลุ่มเด็กโตหลากหลายคนกำลังจับกลุ่มกันทำกิจกรรมอยู่บนพื้นเหล็กยกสูงติดริมผายาวออกไปไกลลิบตา เสียงระเบิดและเสียงตอกหินดังขึ้นอยู่เนือง ๆตลอดระยะทางที่พวกเขาเดินบนทางเดินเหล็กยกสูง
เวลาล่วงเลยถึงพลบค่ำเหมืองร่วงโรยเงียบกริบราวป่าช้าเพราะบรรดาเด็กปีสามกลับออกจากเหมืองกันไปหมดแล้วเหลือเพียงแค่สองหนุ่มปีหนึ่งกำลังนั่งพักแข้งพักขาอยู่หน้าปากทางเข้า
ทางเดินลัดพร่ามัวด้วยแสงสลัวของไฟริมทางอาจเป็นเพราะเมฆฝนที่กำลังบดบังแสงสว่างอันน้อยนิดของจันทร์เสี้ยว ทั้งสองเดินไปได้พักหนึ่งก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นเมื่อฝนห่าใหญ่เทซู่ใส่ศีรษะของพวกเขาพร้อมกับไฟริมทางต่างพากันดับพรึ่บลงพร้อมกันหมดทุกดวงส่งผลให้ทั่วทางเดินมืดมัวเสียจนลูคมองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเอง
เสียงสายฝนและเสียงอึ่งอ่างร้องดังระงมกลางความมืดทั่วริมทะเลสาบสองหนุ่มพยายามเดินคลำทางไปต่อโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าพวกเขากำลังออกนอกเส้นทางฝ่าความมืดสนิทอย่างไร้จุดหมาย
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่แสงไฟริมทางก็กลับมาส่องสว่างอีกครั้ง แทนที่จะอยู่บนทางเดินลัดลูคพบว่าพวกเขากลับโผล่มาอยู่กลางปลักโคลนขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยทิวไม้หนาทึบยังไม่ทันจะหันหลังเดินกลับ กลิ่นสาบเหม็นน่าสะอิดสะเอียนก็คลุ้งโชยเข้าเตะจมูกเด็กหนุ่มทั้งสองหันไปรอบ ๆ เพื่อมองหาต้นตอของกลิ่นเจ้าเพื่อนตัวแสบบีบแขนเขาอย่างแรงเมื่อเห็นบางสิ่งอยู่ตรงพงไม้ไกลออกไป
ทว่าดินโคลนดูดความเร็วของเขาไปจนเกือบหมดเสียงฝีเท้าของเจ้าสัตว์ประหลาดดังสวบสาบแหวกพงหญ้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆจนลูคคิดว่ามันคงอยู่ห่างจากพวกเขาออกไปเพียงไม่กี่เมตร
ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วปานฟ้าแลบลูคหัวใจหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อได้ยินเสียงซิดจ์กรีดร้องดังก้องด้วยความเจ็บปวดสัตว์ร้ายซึ่งวิ่งตามมาถึงพวกเขาแล้วได้ฝังกรงเล็บอันคบกริบลงบนแผ่นหลังของเจ้าเพื่อนตัวแสบจนเสื้อขาดรุ่งริ่งทิ้งรอยแผลลากยาวถึงบั้นเอวไว้ให้ดูต่างหน้า
แม้เขาจะสติเตลิดด้วยความหวาดกลัวแต่ลูคก็ยังคงจับมือเพื่อนของเขาไว้แน่นด้วยสติเสี้ยวสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในหัวลูคพยายามลากซิดจ์ออกห่างจากสัตว์ร้ายให้ไกลที่สุดแม้เขาจะรู้ดีว่าความพยายามของตนไม่มีวันสำเร็จได้แต่แล้วเขาก็กลับไปสติแตกกระเจิงอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นจากด้านหลังของสัตว์ประหลาดเขาได้ยินเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของมันดังขึ้นตามมาอย่างน่าสยดสยอง
ลูคสัมผัสได้ว่ามีมือของใครคนหนึ่งกระชากเขาอย่างแรงจนเกือบล้มหน้าคะมำไปข้างหน้าเด็กหนุ่มร่างสูงเจ้าของปอยผมสีเขียวนีออนกำลังวิ่งลากเขาหน้าตั้งกลับไปยังทางเดินลัดซึ่งส่องสว่างอยู่ริบหรี่ด้วยแสงไฟริมทางแม้ว่าสัตว์ร้ายจะไม่ได้วิ่งตามพวกเขามาอีกต่อไปแล้วแต่ทั้งสามก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งอย่างไม่คิดยั้งฝีเท้าลงเลยแม้แต่น้อย
ป้ายรอรถบัสไปหอพักของเด็กปีสามเงียบเชียบวังเวงจนน่ากลัวระหว่างรอรถบัสมาจอดเทียบป้ายพี่แซมบอกว่าได้ยินเสียงร้องของซิดจ์ขณะเดินมาที่ทางลัดกลับจากเหมืองหนาวเหน็บของนักเรียนปีสี่เพราะเขาจำเป็นต้องอยู่เก็บรายละเอียดบุษราคัมเพื่อใช้ทำโครงงานพิเศษวิชาถอดความโลหะของอาจารย์โจชัวที่ต้องส่งภายในคาบเช้าวันรุ่งขึ้น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in