ฝ่ามืออุ่นเปียกชุ่มด้วยน้ำตาเลื่อนลงลูบเปลือกตาที่เปิดกว้างของร่างกายที่ไร้วิญญาณ หญิงวัยห้าสิบจะหกสิบร่ำไห้ออกมา โผกอดลูกสาวคนโตสายตาเหม่อลอยมองอย่างโหยหาไปที่ลูกชายคนกลางให้เข้ามาร่วมวงกอด
"มันเร็วเกินไป มันเร็วเกินไป" เป็นประโยคเดียวที่หญิงสูงวัยพูดซ้ำวนไปมาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งเป็นห้องกลางบ้าน ห้องที่เคยมีเสียงหัวเราะแฮะๆที่ฟังดูไร้สาระเมื่อออกมาจากใบหน้าติ๊งต๊องนั้น มุกแป้กที่ปล่อยออกมาชวนเงียบได้ไม่เท่าตอนนี้ น้องสาวคนเล็กได้จากไปแล้วตลอดกาล
"แม่อย่าร้องเลยนะ ปล่อยไปเถอะ เราทำอะไรไม่ได้แล้ว" สาวผู้เป็นเสาหลักของบ้านพูดปลอบแม่ที่กอดร่างไร้วิญญาณนั้น
"แม่ไม่เข้าใจเลย ทำไมถึงเลือกทางนี้ ไม่มีสัญญาณอะไรเลย...เมื่อวานนี้...เมื่อวาน!น้องยังยิ้มและคุยกับเราอยู่เลย"
(ไม่มีสัญญาณใดใดเลยจริงๆ)
เจ้าหน้าที่เข้ามาจัดการเคลื่อนย้ายศพออกไป เสียงร้องไห้ไล่ตามหลังเรื่อยๆจนสุดท้ายเป็นเพียงเสียงกระซิกจากที่ห่างไกล ตำรวจเข้ามายื่นเอกสารให้หญิงสูงวัย แต่ตอนนี้ตาเธอตาพร่ามัวเกินกว่าจะอ่านอะไรได้ พี่สาวคนโตจึงผละตัวออกมาจัดการเอกสารแทน
"แม่..." ลูกชายคนเดียวจับไปที่ไหล่อันสั่นทึมของมารดา พยายามนึกหาคำพูดมากมายมาปลอบให้กำลังใจแม่ แต่แล้วก็เหมือนมีก้อนเนื้อจุกแน่นอยู่ที่ลำคอ ไม่มีคำใดเล็ดลอดออกมาได้ พี่สาวพยักหน้าให้กับเจ้าหน้าที่และตำรวจ ดูเหมือนทุกอย่างจะง่ายดายเสมอเหมือนอยู่ในความดูแลของเธอ หลังจากที่ตำรวจออกจากบ้านไปพร้อมร่างศพของน้องสาวคนเล็ก เธอหันกลับเข้าบ้านปิดประตูล็อคตามปกตินิสัยของคนในบ้าน ไม่ตอบรับแขกใดใด ก่อนบานประตูจะปิดสนิท พี่สาวยิ้มมารยาทให้แก่เพื่อนบ้านที่ยกโขยงมาที่หน้าบ้าน เดินกลับมานั่งข้างแม่ ทุกอย่างเงียบสงัด เสียงเดียวที่แทรกตัวผ่านอากาศออกมาคือเสียงสะอื้นของหญิงสูงวัย หน้าของเธอตอนนี้เปียกชุ่ม รอยย่นที่หน้าผาก ข้างหางตา บ่งบอกวันเวลาที่ล่วงเลยมา ทั้งสามนั่งบนโซฟาตัวเก่าที่ครั้งหนึ่งน้องคนเล็ก ลูกคนเล็ก หรือคำเรียกอะไรก็ตามที่ใช้บอกถึงร่างศพนั้นเคยนอนเล่น อ่านหนังสือมากมาย หรือแม้แต่สร้างเสียงหัวเราะคิกคัก หรือทะเลาะกันจนร้องไห้ แต่ตอนนี้ไม่เหลือะไรแล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in