เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าจากตัวฉันChawin Lerdsiwapon
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันลดน้ำหนักผิดวิธี
  •   "เมื่อไหร่จะผอม" "เมื่อไหร่จะดูดี"

      เป็นประโยคในสมัยก่อนที่เราพูดกับตัวเองบ่อยมาก แต่ในระหว่างที่เราพูด เราก็ยังหยิบขนมเข้าปากไม่หยุดและไม่คิดที่ทำอะไรเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นนอกจากการที่เราบ่นกับตัวเองในแต่ละวันราวกับเรื่องนี้จะไม่มีทางสิ้นสุด

       ขอเล่าจุดเริ่มต้นก่อนเลยว่า ตอนเด็กๆเราไม่ได้อ้วนเลย หุ่นปกติดีเหมือนเด็กที่กำลังโตตามวัยทั่วๆไป
    ซ้ำร้ายในตอนนั้นเรายังไปล้อเพื่อนว่า อ้วน อยู่เลย ซึ่งจริงๆเราไม่ควรไปพูดอย่างนั้นกับเพื่อนเลย จนกระทั่งเราโดนคำที่เราเคยว่าเพื่อนไปเข้าตัวเองบ้าง ในตอนที่อยู่ชั้นป.4 จำได้เลยว่าตอนนั้นที่บ้านพาไปกินร้านส้มตำบ่อยมาก แต่ใครจะรู้ว่าร้านส้มตำร้านเดียวจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เราน้ำหนักพุ่งพล่านมาโดยไม่รู้ตัว ที่เราน้ำหนักขึ้นไม่ใช่เพราะว่าทานส้มตำหรือยำอะไรนะ แต่เป็นจากเมนูนี้!!!



    คอหมูย่างน้ำจิ้มแจ่วพร้อมข้าวเหนียว

      อ่านจนมาถึงตอนนี้หลายๆคนก็อาจจะงงว่า "อะไรกัน ก็แค่คอหมูย่างกับข้าวเหนียวเอง" ใช่แล้ว  แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เข้ามาอ่านสงสัยอยู่คนเดียว ตัวเราในตอนนั้นเราก็ยังงงเองเลยว่าทำไมกินเมนูนี้แล้วอ้วน คือตอนที่เรากินไป เรารู้สึกว่าแปปเดียว รู้ตัวอีกทีก็ใส่เสื้อผ้าไซส์เดิมไม่ได้แล้ว จนเรามานั่งคิดกับตัวเราดีๆก็ได้ความว่า เรากินทีกิน2จานใหญ่เลย ทั้งคอหมูย่างที่มีมันเยิ้มๆและข้าวเหนียวที่นุ่มหวาน2กระติ๊บ พอกลับบ้านไปกินแล้วก็นอนเลย วนๆไป บางวันก็กินเลย์ห่อใหญ่หรือพวกขนมนมเนยก่อนกินข้าวมื้อใหญ่ จนมาเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเปลี่ยนไป  แต่ก็อย่างว่านะ ตอนเด็กๆเรายังไม่ได้สนใจรูปร่างหน้าตากันมากนัก พอเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นก็เลยกลายเป็นปัญหาที่ทำให้เรากังวลและไม่มั่นใจในการแต่งตัวหรือการทำอะไรบางอย่าง เช่น ไม่กล้าว่ายน้ำตั้งแต่ประถมยันขึ้นมัธยมเพียงเพราะกลัวเพื่อนล้อว่าอ้วนหรือรูปร่างไม่ดี ตอนนั้นกลายเป็นเด็กที่ขาดความมั่นใจไปเลย ไม่กล้าที่จะทำอะไร จะเต้นจะแต่งตัว

       แต่ใดๆก็แล้วแต่เราก็ยังไม่คิดที่จะวางแผนในการลดน้ำหนัก ยังคงทำกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิม กินทุกอย่างที่อยากกินไม่ได้สนใจอะไร จนมาเข้าสู่ช่วง ม.2ที่เราเริ่มใส่ใจตัวเองจริงๆละ ตอนนั้นง่ายๆได้ว่าก็ถ้าเราอดข้าวเที่ยงกินแต่น้ำไปก็น่าจะผอมได้นะ ส่วนผลลัพท์ที่ได้ก็คือหุ่นลดลงไปจริง(ลดไปเล็กน้อย) แต่ช่วงระหว่างนั้นเหมือนเราอยู่ๆก็งดข้าวเที่ยงเลยมันทำให้แบบทรมาณมากช่วงนั้น บางทีก็เรียนแล้วรู้สึกว่าไม่เต็มที่ เหนื่อยง่าย ง่วงในตอนช่วงบ่ายเกือบทุกคาบ แต่โชคดีที่เราไหวตัวทัน เราทำไปได้แค่เทอมเดียวแล้วก็มาวางแผนใหม่   นั่งหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต   เราก็กลับพบว่าเราเกือบจะโดนอาการโยโย่เอฟเฟคแล้ว

    "คือ ภาวะที่น้ำหนักตัวเด้งขึ้น ๆ ลง ๆ และมักจบลงด้วยน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นจนมากกว่าก่อนเริ่มลดน้ำหนัก"

     หลังจากนั้นก็กลายเป็นบทเรียนที่ว่าจะไม่อดข้าวเพื่อลดน้ำหนักแล้ว เพราะถึงน้ำหนักจะลดลงมาก็จริง แต่เราก็กินข้าวเย็นเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ ตั้งแต่ตอนนั้นเราเลยสัญญากับตัวเองใหม่ว่า จะไม่ใช่วิธีนี้แล้ว แล้วหันไปออกกำลังกายดีกว่า ถึงจะลดช้าแต่วันละนิดวันละหน่อยก็น่าจะลดได้ ซึ่งถึงเราจะเริ่มออกกำลังกายก็จริง แต่เราไม่ได้คุมอาหารเลย ซึ่งการคุมอาหารเรามองว่าเป็นจุดสำคัญที่สุดแล้ว แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้สังเกต พอขึ้นม.4เราก็ตัดสินใจที่จะสมัครฟิตเนส เพราะในช่วงที่เราหัดออกกำลังกายเอง เราออกท่าไม่ถูก จนพอมาเล่นที่ฟิตเนสก็จะมีพวกเทรนเนอร์มาสอน ซึ่งเหมือนเราออกกำลังกายผิดวิธีมาโดยตลอด ก็ว่าทำไมปวดหรือเจ็บตัว ซึ่งเราว่าการที่เรามาเล่นฟิตเนสนี่ทำให้หุ่นเรากระชับขึ้นจริงๆนะ เพราะตอนม.3เรายังจำได้ว่า หุ่นเรายังย้วยๆอยู่เลย เราค่อนข้างพอใจกับผลที่ได้รับมานะ ทำให้เรามีแรงบันดาลใจในการออกกำลังกายมากขึ้น นอกจากเทรนเนอร์จะสอนเรื่องการออกกำลังกายให้ถูกวิธีแล้วเขายังสอนว่าถ้าอยากลดไวขึ้นก็ให้คุมอาหารด้วย ซึ่งพอเราเริ่มทำควบคู่กับการออกกำลังกายบอกเลยว่าดีมาก

    ภาพประกอบจากเพจ Jones Salad (เป็นเพจที่ให้สาระและความรู้เกี่ยวกับอาหารการกินและการออกกำลังกายที่ดีมาก เราแนะนำ)

        แต่เราบอกเลยนะช่วงแรกยากมากกก(ก.ไก่ล้านตัว) คือปกติ เราอยากกินอะไรเราก็ไม่ได้คิดอะไรมากใช่ไหม แต่พอเราต้องมาลดน้ำหนัก เราก็ต้องอดทานของที่อร่อยๆพวกนั้นไป พิซซ่าเอย ไก่ทอดเอย น้ำอัดลมก็ต้องพยายามห้าม ของหวานอีก แต่ก็เหมือนเราตั้งเป้าไว้ว่า จะลดให้ได้50 กก. เราก็พยายามลดแล้วแต่มันก็ได้แค่ 55-57 กก. ตอนนั้นคือท้อมากเหมือนเรางดของที่เราอยากกินก็แล้ว ออกกำลังกายก็แล้ว แต่ทำไมเรายังลดไม่ได้เลย ช่วงนั้นก็แอบเครียดนะ จนเรามาพิจารณาตัวเองใหม่อีกทีว่า จะมองข้ามเรื่องตัวเลขแล้วให้มองแค่ความพึงพอใจกับหุ่นตัวเองพอ คือเราจะไม่ชั่งน้ำหนักแล้ว เพราะทุกครั้งที่เราชั่งมันก็จะได้น้ำหนักที่เราไม่พอใจแล้วเราก็จะท้อแท้กับการลดน้ำหนัก เราเลยโฟกัสแค่ความพึงพอใจตอนส่องกระจกและเรามีความสุขที่จะออกกำลังกายเท่านั้น เราจะไม่ห้ามของกินที่เราอยากกินอีกต่อไป เพียงแต่เราต้องควบคุมปริมาณที่จะกินแล้วก็คำนวณให้ว่าถ้าเรากินของทอดตอนมื้อเที่ยงไปแล้ว ตอนเย็นก็อย่ากินของทอดเยอะ ซึ่งเราพอใจกับวิธีนี้มาก เพราะเราไม่ต้องมานั่งเครียดกับตัวเลขหรือคุมอาหารอะไรพวกนั้นแล้ว แค่โฟกัสว่าตัวเองมีความสุขแล้วก็พึงพอใจกับตัวเองแค่นั้นก็พอแล้วไม่ต้องสนใจอะไรใคร

      เราอยากขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังคิดอยากจะลดน้ำหนักหรือเริ่มลดน้ำหนักนะ  แต่เราก็อยากจะบอกว่าแค่ คุมอาหาร+ออกกำลังกาย แค่นี้ทุกคนก็สามารถได้รูปร่างที่ชอบได้แล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราอยากให้ทุกคนมีความมั่นใจในตัวเองแล้วก็ความต่อเนื่อง และสังเกตว่าเราจะไม่ใช่คำว่า ผอม เพราะเราไม่อยากให้ทุกคนมามองแค่ว่า แค่ผอมก็หล่อก็สวยแล้ว แต่เราจะใช้คำว่า การมีรูปร่างที่ดี แทน ซึ่งคำว่าการมีรูปร่างที่ดีของเราก็คือยังไม่ได้ผอมนะ ขาก็ยังใหญ่อยู่บ้าง มีไขมันตามแขน แต่แค่นี้เราก็พึงพอใจกับรูปร่างตัวเองแล้ว แล้วเรายังภูมิใจที่เราเรียกว่ารูปร่างที่ดีแล้วด้วย สุดท้ายแล้วทุกคนอย่าคิดว่าอ้วนหรือน้ำหนักเยอะแล้วจะไม่ดูดี ไม่มีคนมาสนใจ เราอยากให้ทุกคนสนใจที่ความรู้สึกของตัวเองมากกว่าคำพูดของคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวของเราเอง เชื่อเถอะว่าทุกคนมีเสน่ห์และความพิเศษในแต่ละคนอยู่ รอแค่ว่าสักวันหนึ่งเราจะมองเห็นความพิเศษของตัวเองแล้วก็ภูมิใจในเสน่ห์แบบเราสักที

    "แค่เรานั้นมีความสุขกับตัวเองไม่ว่าจะเป็นเรื่องหรือเรื่องใหญ่ก็พอแล้ว"


    เรื่องเล่าจากตัวเรา
    6/7/2563



       





      


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in