ปีที่แล้วมีโอกาสไป Dismaland สวน "ไม่สนุก" ของ Banksy กลับมาได้เขียนสกู๊ปลง Elle Men แต่มันมีความยาวเกินไป จึงถูกตัดออกไป 50% ครับ วันนี้เอามาลงเต็มๆ ครับผม
=====
Banksy’s Playground
My day at Dismaland
1
“Dude, you sure look too damn happy.”
พนักงานรักษาความปลอดภัยหญิงร่างบึ้กบอกผมด้วยสำเนียงอังกฤษ ระหว่างนั้น เธอก็โบกเครื่องมือที่ทำจากกระดาษลูกฟูกไปมา คล้ายกับพยายามจะตรวจว่าผมพกอะไรที่อันตรายไว้กับตัวหรือไม่
“...Sorry, what?” ผมตอบเธอกลับไป อย่างยิ้มๆ และงงๆ
“DON’T SMILE.” เธอดุ “I said you look too damn happy. Try to look sadder.” แล้วชี้หน้าผมให้เศร้าลงหน่อย
“And tell him to button up his shirt, too.” พนักงานชายข้างหลังออกคำสั่งเพิ่มเติม
พนักงานหญิงพยักหน้า หันมาทางผม “Yeah, button up your shirt, up to your neck.”
“...Okay.” ผมทำตามอย่างว่าง่าย ทำหน้าบึ้งตึงเท่าที่กล้ามเนื้อจะสามารถ ค่อยๆ ติดกระดุมเสื้อทีละเม็ด จนถึงคอ ดูไปก็คงเหมือนตัวตลกโง่ๆ เมื่อทำตามทุกอย่างแล้ว ผมจึงได้รับอนุญาตให้เดินผ่านด่านตรวจ
หนุ่มพนักงานต้อนรับใส่เสื้อกั๊กสีชมพูทับเสื้อยืดสีดำ สวมหูกลมๆ สองข้างคล้ายตัวละครดังจากดิสนีย์ หน้าตาเขามู่ทู่ราวกับจะกระโดดลงไปให้รถไฟทับได้ทุกเมื่อ เมื่อเขาเห็นผม เขาก็กลอกตา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ
“Welcome to Dismaland.”
.
.
2.
คงเหมือนคนอื่นๆ, ผมรู้ข่าวของ Dismaland จากอินเทอร์เนต, รู้มาว่านี่เป็นผลงานล่าสุดของ Banksy ศิลปินกราฟิตี้ชื่อก้องโลก (ก้องมาตั้งแต่สมัยที่ผมยังเรียนอยู่มัธยมน่ะครับ) นอกจาก Dismaland จะเป็นผลงานชิ้นล่าสุดแล้ว นี่ยังน่าจะเป็นผลงานที่ทะเยอทะยานมากที่สุดของ Banksy ด้วยเช่นกัน มันเป็นโปรเจกต์ชิ้นใหญ่ยักษ์ที่ Banksy พยายามจะสร้าง ‘สวนสนุกที่ไม่สนุก’ ที่ผู้คนสามารถเข้ามาร่วมแชร์ ‘ความไม่สนุก’ ด้วยกันได้จริงๆ
วันที่ผมดูวิดีโอโปรโมต Dismaland บน YouTube ผมไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้มา, ก็มันอยู่ไกลตั้งเมือง Bristol, อังกฤษ ในขณะที่ตอนนั้นผมก็ยังนั่งทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ, ไทยแลนด์ อย่างจ๋องๆ อยู่นี่นา - แต่โชคชะตาก็จับพลัดจับผลูให้ผมได้มา เมื่อแผนการเดินทางมาลอนดอนประจวบเหมาะกับเวลาที่ Dismaland กำลังจัด ‘การแสดง’ อยู่พอดี บวกกับการที่มีคนรู้จักของผมที่ ‘โชคดีเป็นบ้า’ จองตั๋วผ่านอินเทอร์เนตได้ทัน
ตั๋วเข้าชม Dismaland นั้นมีราคาถูกกว่าตั๋วเข้าสวนสนุกทั่วไปหลายเท่า มันมีราคาเพียง 3 ปอนด์หรือประมาณ 165 บาทเท่านั้นเอง (ถูกกว่าสวนสนุกไทยอีก!) เมื่อรวมกับค่าธรรมเนียมการจองผ่านอินเทอร์เนตอีกสองปอนด์ก็ยังนับว่าถูกมาก - แต่ความยากของการได้มานั้นถูกจัดไว้ที่ระดับสูงสุด บนเว็บไซต์ Dismaland จะเปิดให้จองตั๋วของสัปดาห์ถัดไปเป็นรอบๆ แล้วพอเริ่มเปิดจองแต่ละรอบ เว็บก็ล่มเร็วมากยิ่งกว่าการจองตั๋วคอนเสิร์ท Maroon 5 การที่คนรู้จักของผมนั่งเบื่อๆ อยู่กับบ้าน กดรีเฟรชดูเล่นๆ แล้วจองสำเร็จได้เลยทันทีโดยไม่ได้ใช้ความกระเสือกระสนพยายามอะไรมาก จึงเป็นโชคที่พระเจ้าประทานมาอย่างแท้จริง
ฟ้าวันนี้ครึ้ม - ฟ้าของลอนดอนก็ครึ้มมาหลายวันแล้ว และที่นอกเมือง Bristol (ขับรถมาห่างจากลอนดอนประมาณ 3 ชั่วโมง) ฟ้าก็มีสภาพไม่ต่างกัน ฝนดูเหมือนจะตกลงมาได้ทุกเมื่อ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ทำให้ความยาวของคิวของผู้ท่ีมารอซื้อตั๋วนอก Dismaland ลดลงแต่อย่างใด พวกเขาคงโชคร้ายที่จองผ่านอินเทอร์เนตไม่สำเร็จ กะด้วยสายตาคร่าวๆ แล้ววันนี้น่าจะมีผู้โชคร้ายมารอเข้าคิวกันไม่ต่ำกว่าหกเจ็ดร้อยคน
เนื่องจากซื้อตั๋วผ่านอินเทอร์เนตมาเรียบร้อยแล้ว พวกเราจึงถือบัตรทองคำเหมือนกับตั๋วโรงงานช็อคโกแล็ตของวิลลี่ วองก้า วิ่งร่าผ่านเลนแยกนำหน้าทุกคนที่กำลังต่อคิวอยู่เข้าไปยังประตูทางเข้า Dismaland ได้ทันที ระหว่างที่วิ่งผ่านคนที่กำลังต่อคิวตากอากาศหนาวอยู่นั้นผมก็รู้สึกถึงสายตาอิจฉาที่ส่งมาแผดเผาแผ่นหลังไปด้วย
แต่ช่างเถอะ
อย่างที่บอกไปนะครับ Dismaland เป็นโปรเจกต์การสร้างสวนสนุกที่ไม่สนุกของ Banksy, ในการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่ง Banksy พูดว่า ‘I think theme parks should have bigger theme.’ (ผมคิดว่าสวนสนุกควรให้มากกว่าแค่ความสนุก) และ Dismaland ก็เป็นผลลัพธ์ของความคิดในครั้งนั้น
มันไม่ใช่ ‘Amusement Park’ (สวนสนุก) แต่มันเป็น ‘Bemusement Park’ (สวนที่ทำให้พิศวงงงงวย)
ภายใน Dismaland นอกจากผลงานของตัว Banksy เองแล้ว ยังมีผลงานของศิลปินทั่วโลกอีก 58 คนแสดงอยู่ด้วย นี่จึงเป็นการรวบรวมผลงานศิลปะป๊อป-ขบถ-แหกกรอบ-ร่วมสมัยครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง ผลงาน-เครื่องเล่นทั้งหมดในสวนไม่สนุกขนาด 2.5 เอเคอร์ (6.3 ไร่) นี้ถูกจัดวางอยู่บนพื้นที่ชายหาดของเมืองเล็กๆ ชื่อ Weston-super-Mare ที่ตั้งอยู่ไกลจากตัวเมือง Bristol ไปทางตะวันตกประมาณ 25 ไมล์
มันเป็นนิทรรศการสั้นๆ ที่จัดขึ้นเพียง 36 วันเท่านั้น ก่อนจะปิดตัวลงในวันที่ 27 กันยายน และผมก็ดีใจที่ได้มา
.
.
3
เมื่อผ่านด่านตรวจ (ปลอมๆ) เข้ามาได้ ตัวปราสาทใหญ่ยักษ์ก็รอต้อนรับเราอยู่กลางสวน มันเป็นปราสาทรูปทรงนิทาน เหมือนปราสาทที่พร้อมจะมีเจ้าหญิงเจ้าชายอาศัยอยู่ภายในและมีความสุขด้วยกันไปตลอดชีวิต แต่เมื่อดูให้ดีอีกครั้ง รูปลักษณ์ของปราสาทที่อยู่ข้างหน้าเราทรุดโทรม ผุพัง มืดมนมืดมัวราวกับเป็นลูกนอกสมรสของดิสนีย์กับฝันร้าย ผนังของปราสาทหลุดร่อนออกทางส่วนเผยให้เห็นโครงเหล็กดุๆ ข้างใน
หน้าปราสาทมีรูปปั้นนางเงือกน้อยวางไว้ แต่ก็อีกนั่นแหละครับ มันไม่ใช่เงือกน้อยปกติ แต่มันเป็นรูปปั้นเงือกน้อยที่เหมือนกับเกิดขึ้นมาจากความผิดพลาดของคอมพิวเตอร์ รูปทรงของเธอบูดเบี้ยวเทซ้ายเทขวาเป็นโทรทัศน์ภาพล้ม
ทั้งปราสาท ทั้งนางเงือกน้อยบอกความคิดหลักของ Dismaland กับเราได้ทันที มันตั้งใจจะเป็นสวนสนุกมุมกลับ ที่ใช้องค์ประกอบของความเป็นสวนสนุกแบบคลาสสิกมาบิด ทอน กร่อนรูปหรือพลิกคว่ำหงายเพื่อตอบสนองแมสเสจบางอย่าง
ตัวอย่างเช่น - ไม่ไกลจากทางเข้าก็มีซุ้มการแสดงหุ่นโชว์เล็กๆ ตั้งอยู่ แต่มันไม่ใช่หุ่นโชว์ที่เล่านิทานก่อนนอนปกติ มันกลับเล่าเรื่องราวอันเลวร้ายของระบอบทุนนิยม ตรงข้ามจากมันก็มีหุ่นเชิดบนฉากที่ประกอบด้วยขยะล้วนๆ มีรถเข็นซูเปอร์มาร์เก็ตวางคว่ำอยู่ตรงนั้น และกองเหล็กวางอยู่อีกด้าน
ที่สระน้ำหน้าปราสาทผุ ก็มีรถตำรวจจอดพุ่งลงไปกลางสระ น้ำเขียวๆ ทะลักเข้าไปในตัวรถ มีตะไคร่ขึ้นเต็มคัน
ซุ้มขายของฝากที่คนต่อแถวกันยาวอยู่มุมหนึ่ง ก็มีป้ายโปสเตอร์แปะไว้ว่าถ้าไม่มีเงินซื้อของเล่นหรือของฝากให้ลูก ก็สามารถมากู้เงินที่ซุ้มนี้ได้ แต่ต้องจ่ายดอกเบี้ยมหาโหดเป็นพันเปอร์เซ็นต์นะ / ม้าหมุนแบบคาร์นิวัลตรงนั้นดูผิวเผินก็ปกติดี แต่เมื่อสังเกตจะเห็นว่าม้าตัวหนึ่งบนลานกำลังถูกเชือดด้วยชายใส่ชุดโค้ตสีขาวหลังป้ายกระดาษที่เขียนว่า ‘ลาซานย่า’ / ซุ้มเรือบังคับก็ไม่ใช่เรือบังคับแบบปกติ แต่เมื่อหยอดเหรียญหนึ่งปอนด์ลงไป คุณจะได้บังคับเรือที่เต็มไปด้วยผู้อพยพเต็มลำวนไปวนมาในอ่างแคบๆ แล้วเมื่อคุณไม่ทันระวังตัว พนักงานก็จะดึงตัวคุณไปกระซิบว่า ‘พวกเขาพยายามจะแอบเข้ามาในประเทศเรา’
ขนลุกดีไหมล่ะครับ
นอกจากซุ้มเล่นสนุก (?) ต่างๆ แล้ว ใน Dismaland ยังมี Art Gallery อีกสามแห่งตั้งไว้ภายในด้วย - Art Gallery เหล่านี้เป็นส่วนที่ผมชอบและใช้เวลามากที่สุดในงาน
ภายในอาคารหนึ่งมีงาน ‘History of Pain’ ของ Damien Hearst ศิลปินชาวอังกฤษชื่อดังแสดงไว้ มันเป็นลูกบอลชายหาดที่ลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่กลางอากาศด้วยผลจากแรงลมที่เป่าขึ้นมาจากด้านล่าง แต่ถ้าลูกบอลชายหาดลูกนี้มีความรู้สึก และมีตา มันคงกลัวมาก เพราะเมื่อมันมองลงไป จะเห็นคมมีดนับสิบรอปัก ฉีก ทึ้งมันทันทีที่มันตกลงมา อีกมุมแสดงงานของ LUSH กราฟิตี้สุดกวนชาวออสเตรเลีย เป็นรูปหุ่นจำลองตัวเล็กๆ กำลัง ‘ลบ’ กราฟิตี้จากผนังทิ้ง ผลงานของ Shadi Alzaqzouq ศิลปินชาวปาเลสไตน์ที่ถ่ายภาพซับเจกต์ที่ประหลาดและผิดไปจากความคาดหมายอย่างชาวมุสลิม - ที่เป็นพังก์
เราเดินไปต่อแถวสำหรับเข้าชมปราสาทผุๆ กลางงานด้วยความอยากรู้ว่าในปราสาทนั้นมีอะไรและทำไมคนถึงสนใจกันนัก เรายืนต่อแถวราวๆ สิบนาทีก็ถึงตา พนักงานกวดพวกเราให้เข้าไปเป็นคู่ ต้อนให้ยืนติดผนังด้านหนึ่ง มองไปทางซ้าย ให้ยิ้ม เพื่อถ่ายรูป เราทำตามไม่ยากเย็นนัก ก็ถูกปล่อยให้เข้าไปชมข้างในโดยอิสระ
แสงแฟลชวาบเข้ามากระทบจนตาพร่า
ผมหรี่ตาสักพัก - ปรับสายตาให้เข้ากับแสงกระพริบได้จึงเห็นว่าแสงแฟลชที่เห็นนั้นมาจากกล้องของหุ่นนักข่าวขนาดเท่าคนจริงที่กำลังรุมกันถ่ายรูปอะไรบางอย่างอยู่ เมื่อเดินเข้าไปใกล้จึงเห็นว่าพวกเขากำลังถ่ายรูปรถฟักทองคันงามของซินเดอเดรล่า แต่เป็นรถคันงามที่พลิกคว่ำประสบอุบัติเหตุ ม้าจูงรถลากนอนคอหักอยู่ด้านหนึ่ง และตัวซินเดอเดรล่าเองก็นอนเสียชีวิตเทออกมาจากหน้าต่างของรถม้าอย่างหมดรูป
“เปรียบเทียบกับเจ้าหญิงไดอาน่าไง” เพื่อนผมกระซิบ ผมพยักหน้า
เมื่อเดินออกมาจากห้องมืดที่เต็มไปด้วยแสงแฟลช พนักงานก็ปรี่เข้ามาถามว่าจะซื้อรูปที่ระลึกไหม ชี้ไปที่แผงคอมพิวเตอร์ด้านหลัง
มันเป็นรูประลึกที่ตัดต่อพวกเรา - ตอนยิ้มแฉ่งที่ทางเข้า - เข้ากับรูปเจ้าหญิงไดอา - เอ๊ย - ซินเดอเดรล่าประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ ให้เป็นรูปพวกเราอยู่หลังหมู่หุ่นนักข่าว ยืนยิ้มโง่ๆ อยู่ตรงนั้น
ป้ายราคารูปติดไว้ว่า 5 ปอนด์
ผมซื้อ
.
.
4
เมื่อถูกตั้งคำถามว่า ‘มีอะไรกับดิสนีย์นักหนาถึงกับต้องสร้าง Dismaland ขึ้นมา’ - Banksy ก็บอกว่าเขาไม่ได้เกลียดอะไรดิสนีย์หรอก
‘ผมไม่ใช่ฮิปสเตอร์ ผมก็เลยไม่ได้ตั้งแง่กับอะไรแค่เพียงเพราะว่ามันโด่งดังหรือมีชื่อเสียง’
‘Dismaland ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับดิสนีย์เลย มันแค่เป็นกรอบการทำงานที่บอกว่า โอเค เรายอมรับนะว่าการสร้างงานศิลปะก็คือธุรกิจความบันเทิงประเภทหนึ่ง และเราก็เข้าใจดี พร้อมที่จะเกี่ยวข้องกับมันก็เท่านั้น ผมคิดว่างานดิสนีย์บางอันก็เจ๋งมาก อย่างช่วงเพลง Let It Go ในหนังเรื่อง Frozen ที่แสดงให้เห็นเส้นทางของตัวละครจากตอนเริ่มต้นเพลงถึงตัวโน้ตสุดท้ายนี่คลาสสิกสุดๆ’
ผมอยากจะแย้ง Banksy ว่า - แต่ในเว็บไซต์ของ Dismaland ก็แอบจิก Disney ไว้เล็กๆ ว่า ‘ห้ามนำของมีคม กระป๋องสเปรย์ หรือฝ่ายกฎหมายของดิสนีย์เข้ามาใน Dismaland นะ’
และไอ้วรรค ‘ผมไม่ได้เป็นฮิปสเตอร์ผมเลยไม่ตั้งแง่กับอะไรเพียงเพราะมันโด่งดัง’ เนี่ย Banksy ก็มาพูดขัดกับตัวเอง เมื่อให้สัมภาษณ์ในหัวข้อที่เกี่ยวข้อง Damien Hirst
‘ถ้าคุณไม่ชอบวงการศิลปะทางการ ทำไมคุณถึงชวน Damien Hirst ซึ่งเป็นศิลปินที่โคตรจะแมส โคตรจะดัง เข้ามาในงานของคุณล่ะ’ ผู้สัมภาษณ์ถาม
‘จริงๆ ผมก็ไม่อยากได้ Damien Hirst หรอก ผมไม่ได้อยากได้การรับรองหรือภาระที่จะมาพร้อมกับชื่อของเขา แต่เมื่อคุณเป็นคนจัดงานศิลปะชายหาด แล้วคุณดันไปรู้ว่ามีงานศิลปะอันหนึ่งที่เป็นลูกบอลชายหาด ลอยอยู่เหนือใบมีดห้าสิบอันเนี่ย คุณก็คงต้องเอามันมารวมไว้ในงานแล้วล่ะ ผมจะบอกนะว่าในงานมีศิลปินดีๆ ตั้งเยอะแยะและมันคงน่าผิดหวังแย่ถ้าศิลปินที่โดดเด่นที่สุดกลายเป็น Damien Hirst - แต่พอเห็นชิ้นงาน คุณก็ต้องยอมรับมันอยู่ดี ตัวงานเองใหญ่กว่าตัวศิลปินด้วยซ้ำ’
.
.
5
Dismaland พยายามกัด จิก ทึ้ง ทุบให้เรามองความจริงด้วยสายตาแบบใหม่
Banksy บอกว่า Dismaland ไม่ใช่สวนสนุกที่บิดเบี้ยวและเขาก็จะไม่เรียกมันว่า Twisted เพราะเขาคิดว่าสวนสนุกจริงๆ นั้นบิดเบี้ยวยิ่งกว่า Dismaland เสียอีก สวนสนุกที่ต้องบังคับให้พนักงานยิ้ม มีความสุข ร่าเริงตลอดเวลา ไม่บิดเบี้ยวกว่าสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาหรอกหรือ ผมเห็นด้วยกับเขาในข้อนี้ แต่ผมก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า Dismaland เป็นสวน (ไม่) สนุกที่่ค่อนข้างกระจัดกระจายซ้ายขวาจนเกินกว่าจะเรียกว่า Theme Park ได้ - และในใจกลางของมันก็มีความ ‘บิดเบี้ยว’ บางแบบไม่ต่างกันอยู่
Theme ของ Dismaland โดยรวมคือการเป็น ‘ขบฎ’ ต่อสู้ ต่อต้านกับขนบ กับธรรมเนียม กับองค์กรหรือองค์การ (Anti-establishment) แบบที่ Banksy เป็นมาโดยตลอด งานแทบทุกชิ้นที่แสดงในสวนแบกรับอุดมการณ์แบบนี้อยู่ไม่ต่างกันนัก แต่เมื่อคุณเข้าชมนิทรรศการขนาด 2.5 เอเคอร์ ที่งานทุกชิ้นภายในเต็มไปด้วยธีมของการต่อต้าน ต่อสู้ ขัดแย้งกับกระแสหลัก และงานทุกชิ้นก็ไม่ทำอะไรไปมากกว่าการดึง ทุบ ตี ให้คุณหันมาสนใจ แต่ไม่เคยบอกอะไรไปมากกว่านั้น คุณก็คงอดที่จะรู้สึกถึงความว่างเปล่าข้างในไม่ได้
Dismaland ไม่ได้บอกให้พนักงานทำท่ามีความสุขตลอดเวลา แต่ด้วยธีมที่คลุมไว้ มันก็ราวกับจะบอกให้พนักงานทำท่ามีความทุกข์ตลอดเวลา - ‘แสดงบทบาท’ ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ตลอดเวลา - ซึ่งนั่นก็เป็นการ ‘แสดง’ เป็นการ ‘บิดเบี้ยว’ แบบหนึ่งที่ Banksy อาจไม่ยอมรับ
ความบิดเบี้ยวนี้ถูกกระตุ้นให้ระลึกขึ้นมาเสมอ เมื่อคุณเดินเข้าไปสั่งอาหาร (พิซซ่า) หรือเครื่องดื่ม หรือซื้อของฝาก ของที่ระลึกจากบูธต่างๆ พนักงานที่อยู่ตรงนั้นก็ทำท่าปกติ ‘เป็นคนปกติ’ ไม่ทำหน้าเบื่อโลก ชิงชัง โกรธขึ้งบึ้งตึงอะไร เมื่อคุณเผชิญกับความจริงอย่างนั้น คุณก็เหมือนกับถูกอาบด้วยแสงแห่งความจริงที่ว่า ที่ผ่านมาเป็นการแสดงทั้งสิ้น
นักวิจารณ์ศิลปะหลายคนบอกว่าพวกเขาผิดหวังเมื่อได้เห็น Dismaland พวกเขาคิดว่า Banksy มีความสามารถที่จะพยุงสวน (ไม่) สนุกแห่งนี้ได้ดีกว่านี้ แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นกลับเป็นสวนสนุกที่เต็มไปด้วยมุขตลกแบบชั้นเดียว (Political One-liner) ที่บางมุข บางมุมที่งานมันพยายามฉุกให้คุณได้คิด ก็เก่าไปแล้วเสียด้วยซ้ำ Banksy ไม่เคยเปลี่ยนหรือขยับเขยื้อนงานของตัวเองให้มีความลึกมากขึ้นเลย ในขณะที่บทสนทนาจริงๆ ในสังคมมันเดินหน้าไปไกลกว่าจุดที่เขาสื่อสารมากแล้ว
มีนักวิจารณ์คนหนึ่ง พูดแรงถึงขนาดที่บอกว่า Dismaland เป็นแค่การรวมศิลปะห่วยๆ มาวางไว้บนชายหาด ก็แค่นั้น
แรงเป็นบ้านะครับ
Banksy โต้กลับคำวิจารณ์พวกนี้โดยการบอกว่า ‘นักวิจารณ์ศิลปะมักไม่ชอบงานพวกนี้ เพราะว่างานแบบนี้ไม่ต้องการการรับรองหรือการแปลความจากพวกเขา - ใน Dismaland - พวกเขาเลยไม่มีอะไรให้ทำ ผมไม่เห็นด้วยกับการที่จะบอกว่างานศิลปะชิ้นหนึ่งมันแย่เพียงเพราะว่ามันเข้าใจง่าย ก็เหมือนกับเพลงนั่นแหละ คุณคงไม่สามารถบอกให้ทุกคนมาฟังแต่โอเปร่าเพราะว่ามันเป็น ‘ดนตรีที่แท้จริง’ ได้หรอกใช่ไหม ผมคิดว่าควรมีพื้นที่สำหรับศิลปะที่เสียงดัง ดุดันและง่ายๆ บ้าง ถ้าศิลปะชิ้นหนึ่งจะดูเหมือนแค่คำสบถของวัยรุ่นแล้วมันผิดอะไรล่ะ?’
.
.
6
ผมไม่เห็นด้วยกับคำวิจารณ์ที่บอกว่า Dismaland เป็นการแค่รวมศิลปะห่วยๆ มาวางบนชายหาด
ในสายตาของผม ผมสนุกกับการได้ดูชิ้นงานของศิลปินหลายๆ คน จากมุมมองที่แตกต่าง ที่ทำให้ได้สังเกตสังกา ได้หยุด ชะงักเพื่อมองมันให้นานขึ้นอีกหน่อย ผมขอบคุณ Banksy ที่อุตส่าห์จัด Dismaland ขึ้นมาเพื่อให้พวกเราได้รับโอกาส ‘สนุก’ ในแบบนี้
ในฐานะนิทรรศการศิลปะแล้ว ผมคิดว่า Dismaland ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง มันเป็นการนำศิลปะลงมาเล่นสนุก ให้ทุกคนมามีส่วนร่วม มามีความสุข (ในบางแบบ) กับมันได้ หลักฐานประจักษ์อยู่บนใบหน้ายิ้มๆ (ที่ถึงแม้จะถูกห้าม ก็ยังยิ้ม) ของนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยม Dismaland ที่ปรากฏอยู่ในรูปถ่าย
แต่ในฐานะเคร่ืองมือที่ก่อให้เกิดบทสนทนาอันจริงจังเพื่อแก้ไขปัญหาที่ Banksy พยายามสื่อสารออกมา - ผมยังสงสัยว่ามันประสบความสำเร็จ - ในฐานะนั้น - จริงหรือเปล่า
มันเป็นคู่ขัดแย้งที่หาจุดร่วมหรือทางลงเอยได้ยาก - Banksy เป็นขบฎที่ต่อต้านสถาบันทุกรูปแบบ แต่ในยุคนี้เราก็ต้องยอมรับว่า Banksy ก็เป็น ‘สถาบัน’ หนึ่งกลายๆ - ผู้คนมาเยี่ยม Dismaland ก็เพราะชื่อเสียงในตัวเขา เพราะเชื่อมั่นในเครดิตของเขา สื่อต่างๆ (ที่เขามักต่อต้าน) ก็ให้พื้นที่กับสวนสนุกของเขาอย่างล้นทะลักจนมันประสบความสำเร็จในแง่จำนวนผู้เข้าชมอย่างงดงาม
บางทีผมก็สงสัย - สงสัยว่า Banksy จะต่อต้านสถาบันได้อย่างไร เมื่อเขาเป็นสถาบันเสียเอง - เมื่อสื่อที่ให้การสนับสนุนเขาก็เป็นสถาบันเสียเอง - ผมไม่รู้คำตอบ ผมได้แต่สงสัย ในขณะที่ถือรูปที่ระลึกราคาห้าปอนด์ รูปที่ต่อต้าน ขบฏต่อวัฒนธรรมสื่อและการเสพสื่อรูปนั้นอยู่ในมือ ระหว่างทางกลับลอนดอน
Banksy
Banksy เป็นศิลปินกราฟิตี้ที่เติบโตจากวงการศิลปะใต้ดินแถบเมือง Bristol อังกฤษ ผลงานกราฟิตี้ที่ใช้เทคนิคแบบ Stencil ของเขามักใช้อารมณ์ขันแบบตลกร้ายเพื่อสื่อสารวาระทางการเมือง งานของเขาได้รับการรวบรวมเพื่อจัดแสดงอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 2002 เขาเริ่มถูกจับตามองในวงการศิลปะมากขึ้นเมื่อผลงานของเขาได้รับการประมูลโดยศิลปินดังอย่าง Christina Aguilera ในปี 2006 และก็ได้รับการตอบรับด้วยดีจากศิลปินนักแสดงและผู้มีชื่อเสียงคนอื่นๆ สารคดีชีวประวัติของ Banksy ชื่อ Exit Through The Gift Shop ฉายเป็นครั้งแรกในงานเทศกาลหนังซันแดนซ์ในปี 2010
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in