เพิ่งเดินทางกลับจากไอร์แลนด์มาครับ เป็นการเดินทางรีบๆ หน่อยคือใช้เวลาแค่ 7-8 วันเท่านั้น โดยส่วนตัวแล้วไม่เคยพิจารณา Ireland ในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวมาก่อนเลย แต่หลังจากได้ไปในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ ก็พบว่าไอร์แลนด์มีสิ่งที่น่าสนใจพอดูเลยครับ
1. เราเริ่มที่เมืองหลวงคือ Dublin ซึ่งให้ความรู้สึกอย่างกับ Edinburgh กับ London ผสมกัน แต่เป็นเมืองที่ทำให้เรารู้สึกง่ายๆ สบายๆ กว่า ผู้คนดูง่ายๆ กว่า จากที่มองผ่านๆ นะครับ
2. หลายๆ คนคงรู้อยู่แล้วว่าไอร์แลนด์นั้นสีเขียว สัญลักษณ์อย่างหนึ่งคือใบแชมร็อกหรือช่ออ่อนของโคลเวอร์ (ที่เป็นใบรูปหัวใจสามดวงติดกัน) ใบแชมร็อกนี่มีความหมายเป็นสัญลักษณ์ที่เซนต์แพทริกใช้แทน Holy Trinity ของศาสนาคริสต์
3. จากที่สังเกตก็พบว่าหลายๆ อย่างในไอร์แลนด์นั้นสีเขียวจริงๆ ตู้ไปรษณีย์ก็สีเขียว แมคโดนัลด์ก็สีเขียว (อันนี้ไม่รู้ว่าเพราะไม่เจอสีแดงเองหรือเปล่า) ร้านรวงต่างๆ ก็เน้นสีเขียวเป็นส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะในดับลิน) ที่ไอร์แลนด์เป็นสีเขียวนี่เขาบอกว่ามันเป็นมาตั้งแต่ปี 1640 แล้ว ตอนนั้นองค์กรคาธอลิกของไอร์แลนด์ใช้ธงรูปฮาร์ปสีเขียว ก็เลยเขียวกันเรื่อยมา
4. พอพูดถึงฮาร์ป สัญลักษณ์อีกอันของไอร์แลนด์คือฮาร์ปนั่นเองครับ ซ่ึงหลายๆ คนก็จะจำได้จากเบียร์กินเนส (Guinness) ว่าเป็นโลโก้ฮาร์ป ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย Trinity ก็จะมีฮาร์ปของจริงอันนี้ตั้งอยู่ให้ดูด้วย ทำไมถึงเป็นฮาร์ป? อันนี้ยากหน่อย เพราะเท่าที่หามาบอกว่าไม่พบเหตุผลแน่ชัดนัก แต่ฮาร์ปเป็นส่วนประกอบสำคัญของวัฒนธรรมไอริชมานานแล้ว อย่างราชาสูง (High King) ของไอร์แลนด์คนสุดท้าย ก็เป็นมือฮาร์ปตัวยงเลยนะฮาร์ป
5. ที่ดับลินเป็นแหล่งกำเนิดและแหล่งพำนักของนักเขียนดังๆ เยอะมาก อย่างคนที่ไอร์แลนด์นับถือไว้สูงสุดใจเลยคือเจมส์ จอยซ์ ผู้เขียนนิยายอ่านยาก (มาก) Ulysses ซึ่งในดับลินก็จะมี James Joyce Centre ในนี้จะรวมผลงานของจอยซ์อยู่ รวมไปถึงมีประตูบ้านหมายเลข 7 Eccles Street ซึ่งเป็นที่ที่ตัวเอกของ Ulysses คือ Leopold Bloom อาศัยอยู่กับมอลลี่ เมียของเขา ตั้งอยู่ด้วย (เป็นประตูจริงๆ ที่เขากู้มาก่อนบ้านตรงนั้นจะโดนทุบ)
6. พูดถึงจอยซ์ ตอนที่เราไปเป็นโอกาสดีมาก เพราะเราไปในวันที่เรียกว่า Bloomsday พอดี ซึ่งก็คือวันที่ฉลองจอยซ์ โดยจัดขึ้นทุกปีในวันที่ 16 มิถุนายน เพราะเป็นวันที่เหตุการณ์ใน Ulysses เกิดขึ้นนั่นเอง
7. โชคดีมากตรงที่ในวัน Bloomsday เราก็ได้มีโอกาสไปนั่ง Ulysses Express รถไฟฉลองจอยซ์ด้วย โดยคนก็จะมาร่วมเฉลิมฉลองโดยการร้องเพลงไปในขบวนรถไฟ, แต่งตัวเป็นคนจากยุคนั้นและอื่นๆ
8. นอกจากจอยซ์แล้วไอร์แลนด์ยังมีนักเขียนท่านอื่นๆ อีก เช่น Oscar Wilde, Jonathan Swift, W.B. Yeats, Bram Stoker คนเขียน Dracula (และอีกมากมาย) ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกรวมอยู่ใน Writer’s Museum ในดับลินด้วย
9. ทำไมไอร์แลนด์ถึงมีนักเขียนเยอะ อันนี้สอบถามคนในท้องที่ (เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องจอยซ์) มา ก็ไม่ได้เหตุผลที่ชัดเจนนัก เขาบอกว่า คนไอร์แลนด์เก่งอยู่สี่เรื่องคือ เรื่องดื่ม เรื่องเล่นดนตรี เรื่องสนทนา และเรื่องเขียน (ซึ่งก็ไม่ได้บอกว่าแล้วทำไมเขียนเก่งล่ะ!!)
10. พอกับเรื่องนักเขียนก่อน -- ข้าวของในไอร์แลนด์ไม่แพงมาก ไม่แพงมากในที่นี้คือถูกกว่าอังกฤษประมาณ 20-25% อาหารมื้อหนึ่งถ้ากินในร้านจะอยู่ที่ราวๆ 10 ยูโร หรือ 400 บาท ส่วนโค้กถ้าซื้อตามร้านสะดวกซื้อจะอยู่ที่ขวดเล็ก 60 บาท แต่ถ้าซื้อในซูเปอร์มาร์เก็ตก็จะถูกกว่านั้น
11. เวลาไปอังกฤษเราจะเดินเข้าร้านสะดวกซื้ออย่าง Sainbury’s หรือ Cooperative Food ส่วนในไอร์แลนด์ ยี่ห้อร้านสะดวกซื้อที่เห็นเยอะคือ Spar ซึ่งไม่ใช่ของไอร์แลนด์ แต่เป็นของดัชท์ (ตั้งในปี 1932 ในเนเธอร์แลนด์) ปัจจุบัน Spar ก็มีอยู่ใน 35 ประเทศทั่วโลก
12. สะพานตรงกลางเมืองดับลินที่เป็นสีขาวๆ ที่เห็นในรูป ชื่อว่าสะพาน Ha’ penny ซึ่งมาจาก Half Penny เพราะว่าเมื่อก่อนใครจะข้ามต้องเสียเงินครึ่งเพนนี ช่ือจริงๆ ของมันชื่อว่า Liffey Bridge คือสะพานข้ามแม่น้ำ Liffey ซึ่งเป็นแม่น้ำใจกลางเมืองนั่นแหละ แต่ไม่ค่อยมีใครเรียก เพราะมันก็มีสะพานข้ามแม่น้ำ Liffey หลายอัน
13. มหาวิทยาลัย Trinity College ในดับลิน มีห้องสมุดที่มีฮาร์ปอย่างที่บอกไปแล้ว ห้องสมุดแห่งนี้ยังมีห้องยาวๆ ที่เห็นในรูป ชื่อว่า The Long Room เป็นสถานที่ท่องเที่ยวด้วย หลายคนอาจจะคิดว่านี่เหมือนห้องสมุดในแฮร์รี่ พอตเตอร์ แต่จริงๆ แล้วจากที่หามาเหมือนว่าห้องสมุดที่ถ่ายแฮร์รี่จะอยู่ที่ Oxford แต่ห้องสมุด Long Room นี้เป็นแรงบันดาลใจให้ฉากหนึ่งในสตาร์วอร์ส์ภาคสองแทน (ฉากไหนไม่รู้)
14. ที่ท่องเที่ยวที่ตรึงตาเราที่สุดใน Ireland คือหน้าผาโมเฮอร์ (Cliffs of Moher) มันเป็นหน้าผาที่เรียงตัวกันเป็นชั้นๆ เหมาะกับการถ่ายรูปสุด หน้าผาแห่งนี้ยังเป็นจุดชมนกพัฟฟิน และเท่าที่เห็นในโบรชัวร์คือเป็นจุดเล่นเซิร์ฟด้วย อ้อ! หน้าผานี้ใช้ถ่าย Harry Potter and the Half-blood Prince ด้วยนะ - และถ้าใครยังจำได้ มันยังปรากฏในมิวสิกวิดีโอของ Westlife ในเพลง My Love ด้วย
15. เราได้ไปเยี่ยมเมืองอื่นๆ ในไอร์แลนด์ด้วยเช่นเมือง Sligo และ Galway พบว่ามีบรรยากาศน่าเดิน เหมาะกับนักท่องเที่ยวไม่แพ้กัน ผู้คนก็เป็นมิตรให้ความช่วยเหลือดีมาก
16. อีกอย่างที่ทำให้ไอร์แลนด์กำลังมาในตอนนี้คือมันเป็นจุดถ่าย Game of Thrones หลายฉาก (ทั้งไอร์แลนด์และไอร์แลนด์เหนือนะ) อย่างเช่นปราสาทริมน้ำที่เห็นในรูป ชื่อ Dunluce Castle ก็เป็นที่ถ่ายฉากปราสาท (ภายนอก) ของตระกูลเกรย์จอยในเรื่อง ซึ่งของจริงอาจจะไม่ได้อลังการเท่าที่เห็นในซีรีส์ (เพราะมันใช้ CG แต่งเสริมเข้าไปอีก) แต่ก็เจ๋งมากๆ อยู่ดี
17. ไอร์แลนด์เต็มไปด้วยปราสาทและฉากปรักหักพัง ที่ทำให้ระหว่างทางรู้สึกดีมากๆ คือเมื่อขับรถ (นั่งรถ) ไปตามชนบท นอกจากความเขียวชะอุ่ม ต้นไม้ วัว แกะ ที่ทำให้เพลิดเพลินตลอดทางแล้ว บางครั้งจะมีซากปราสาทเก่าๆ บ้านเก่าๆ อายุหลายร้อยปี ที่เขาไม่ทุบทิ้ง แต่รักษาไว้ให้เป็นแลนด์มาร์ก โผล่มาให้ตื่นเต้นกันบ่อยๆ ด้วย ชอบมาก
18. อีกที่ที่ไม่ควรพลาดถ้าไปไอร์แลนด์คือ Giant Causeway มันเป็นหาดหินชั้นบะซอลท์กว่า 40,000 ชิ้นประกอบกันซึ่งเป็นผลจากการปะทุของภูเขาไฟ ตรงหาดนี่มันมหัศจรรย์พันลึกมาก คือดูเกือบจะเหมือนสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยการเรียงหินก้อนหกเหลี่ยมมาประกอบกันเลย ดูไปก็คล้ายๆ กับบอร์ดเกมด้วย เพลินมาก
19. นอกจากไอร์แลนด์แล้วเรายังแวบไปไอร์แลนด์เหนือได้อีกหน่อย (ไม่มีจุดตรวจวีซ่า แต่เข้าใจว่าถึงมีก็ใช้วีซ่าอังกฤษ) ที่ไอร์แลนด์เหนือเราแวบไปสองจุด จุดแรกคือ The Dark Hedges ทางเดินที่มีต้นไม้มืดครึ้มในรูป ใช้เป็นที่ถ่าย Games Of Thrones อีกเหมือนกัน (ฉาก Kingsroad) โลเคชั่นจริงๆ มันตั้งอยู่ตรงข้ามสนามกอล์ฟ แล้วก็เป็นทางรถระยะสั้นๆ เท่านั้น แต่ก็สวยดีนะ
20. อีกจุดที่เราแวบไปคือ Belfast เมืองหลวงของไอร์แลนด์เหนือ ที่นี่เขาโปรโมตเรื่องเรือไททานิกมาก เพราะเป็นอู่ต่อเรือไททานิกในตอนนั้น กระทั่งมีพิพิธภัณฑ์ Titanic Belfast (ซึ่งตึกสวยล้ำมาก) เลยทีเดียว และชื่อร้านรวงใน Belfast ก็มีจำนวนมากที่เล่นล้อกับชื่อไททานิก ชื่อ Titanic Studios, Titan Express, หรือร้านอาหารไทย ยังชื่อ Thai-tanic (เอากับเขาสิ)
21. สรุปว่าไอร์แลนด์ก็เป็นจุดหมายหนึ่งที่ผู้ชอบความชิลล์ควรเดินทางไปสักครั้ง ถ้าจะเอาด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ไอร์แลนด์ก็มีนักเขียน มีดนตรี มีผับบาร์ให้เสพอย่างล้นเหลือ ในเมืองก็มีความเจริญพอที่คุณจะซื้ออะไรก็ได้ที่อยากได้ ป๊อปคัลเจอร์ก็มี นอกเมืองก็มีปราสาทและบ้านเก่าที่เขารักษาไว้อย่างดี กระจายอยู่ถ้วนทั่ว หรือถ้าจะเอาทางด้านธรรมชาติ โดยส่วนตัว ไอร์แลนด์ก็แพ้ไอซ์แลนด์และสก็อตแลนด์อยู่นิดหน่อย (ฮา) แต่ไอร์แลนด์ก็มีวิวแบบเฉพาะตัว มันเป็นความเรียบง่าย สบายๆ ที่จู่ๆ ก็จะมีนู่นนี่โผล่มาให้ตื่นตาตื่นใจเล่น
ถ้ามีโอกาส จึงอยากจะชวนไปกัน :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in