เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
WanderboyTeepagorn W.
New York (3)
  • นิวยอร์กสัปดาห์นึง



    1. อยู่นิวยอร์กมาสัปดาห์นึงแล้ว ในที่นี้ อยู่ คือ เที่ยว นั่นแหละ อย่างที่เคยบอกแล้วว่ามานิวยอร์กครั้งนี้ครั้งที่สาม ดังนั้นรวมๆ ก็คือเคยมาเดินไปเดินมาราวๆ เกือบเดือนครึ่ง (45 วัน) แล้วถ้านับทั้งชีวิต ซึ่งก็ยังนับเป็นเวลาที่น้อย หากนับว่าอยากรู้จักอะไรสักอย่าง

    2. ตอนมาครั้งแรกก็รู้สึกว่าเชี่ย เต็มไปด้วยกิจกรรมให้ทำ มิวเซียม ร้านหนังสือ ละครเวที ร้านอาหาร สวนสาธารณะ อควาเรียม แลนด์มาร์กต่างๆ เกาะต่างๆ รอบๆ แมนฮัตตัน ฯลฯ แม่งรู้สึกเหมือนเด็กในร้านขนมมาก คือโอ้โห ไม่รู้จะไปทางไหนก่อนดี มันมีอะไรให้ดูเยอะมากจริงๆ พอมาครั้งท่ีสองก็ยังมีให้เก็บอยู่อีกเยอะ ก็ต้องข้ามไปเที่ยวฝั่งบรูคลินบ้าง พอมาครั้งนี้ก็รู้สึกเหมือนมาเดินเล่นหน่อยๆ คืออย่างที่บอกว่ามาทำกิจกรรมหลักคือดูสแตนด์อัพฯ ซึ่งพอทำแล้วก็ชิลล์แล้ว ก็ไม่ได้มีแผนอะไรอย่างอื่นมากมาย

    3. ปัญหาของการมาเที่ยวนิวยอร์กคือ ไม่รู้จะซื้อของฝากอะไร จริงๆ นะ เพราะว่าจะซื้อขนมงั้นเหรอ ขนมส่วนใหญ่ (ถ้าไม่ได้เป็นแบรนด์โลคอลมากๆ ซึ่งกลายเป็นว่า เก็บยากไปอีก) ก็มีขายที่ไทยหมดแล้ว ไม่สามารถซื้อขนม pre-pack ไปให้คนทางบ้านได้ จะซื้อสินค้า พวกตรา New York ก็เป็นสินค้าที่จริงๆ แล้วมีขายทั่วโลกอีก หรือไม่อย่างนั้นก็ดูทัวริสต์มากๆ เช่น พวงกุญแจเทพีเสรีภาพ ดังนั้นคือซื้อของฝากยากมากๆ จริงๆ จนบัดนี้ก็ไม่รู้จะซื้ออะไรไปฝากคนที่ออฟฟิศดี ที่จะบาลานซ์ระหว่าง ราคา จำนวน ความโอเค ความดี อร่อย ความประทับใจ และอื่นๆ คือต้องทำชาร์ตไหมเพื่อเปรียบเทียบว่าจะซื้ออะไร

    4. มานี่เป็นไซเคิลคล้ายๆ เดิมทุกครั้งเลย คือสามวันแรกจะมีพลังในการเดินเหลือเชื่อ เคยมีครั้งนึงที่มาวันแรกเดินไป 24 กิโล คือเดินรอบเซ็นทรัลปาร์ค แล้วก็เดินจนไปสุดวอลล์สตรีทข้างล่าง แบทเทอรี่พาร์ค ไปดูเทพี แล้วเดินย้อนขึ้นมาอีก คือเดินเยอะมากแบบไม่สามารถเรียกได้ว่าอยู่ในขอบเขตที่มีสติอีกต่อไป หลังจากนั้นวันต่อมาเท้าก็เดี้ยงๆ ไปเลย มาครั้งนี้ก็เป็นแบบนี้อีก คือสามวันแรกเดินเยอะมากๆ จนน่ากลัว แล้ววันที่สี่ก็เข้าสู่ภาวะฮิคิโคโมริ แบบ กูทำกิจกรรมที่ควรทำในเจ็ดวันไปหมดแล้วในสามวัน ดังนั้นกูจะอยู่เฉยๆ (ซึ่งก็อยู่เฉยๆ จริงๆ คือล็อคตัวเองไว้ในห้องแล้วเดินไปกินอาหารจีน) แล้วพออยู่เฉยๆ ไปวันนึงก็กลับมามีพลังงานเหมือนเดิม แล้วก็เดินเยอะอีกเหมือนเดิม

    5. จริงๆ มาแบบนักท่องเที่ยว ดังนั้นรู้สึกอะไรก็จะรู้สึกแบบนักท่องเที่ยว ไม่สามารถเทียบชั้นกับคนที่อยู่นิวยอร์กจริงๆ หรือเคยอยู่นานๆ ได้อยู่แล้ว แต่ต่อไปนี้คือสิ่งที่รู้สึก

    6. รู้สึกว่าสิ่งที่ดีของนิวยอร์กคือการที่เราไม่สามารถดูรู้ว่าคนไหนเป็นคนท้องถิ่น คนไหนเป็นนักท่องเที่ยว (นิวยอร์กเกอร์บางคนก็บอกว่า กูดูออกโว้ย แต่เราว่าจริงๆ แล้วเขาดูไม่ออก นอกจากจะคุยกัน คือดูจากวิธีเดิน ดูจากท่าทางไม่ออกหรอก) เพราะว่าหน้าตาคนมันผสมปนเปกันไปหมด ไม่สามารถแยกได้ว่า อ๋อ หน้าฝรั่งคือคนที่นี่ หน้าเอเชียคือไม่ใช่ ไม่สามารถแยกแบบนั้นได้เลย และจะแยกจากการแต่งตัวก็ไม่ได้ ถ้าไม่ได้แต่งตัวแบบโหกูทัวริสต์มากๆ จริงๆ เช่น มีสติ๊กเกอร์แปะอยู่ที่ตัว มีกล้องห้อยสะพายถือแผนที่ฯลฯ แบบนี้จะดูไม่ออกเลย ซึ่งสนุกดี

    7. รู้สึกว่าคนแม่ง outspoken มาก คือจริงๆ คงเป็นกับอเมริกันทั้งหมด (*สเตอรีโอไทป์อเลิร์ต*) แต่เท่าที่อยู่เฉยๆ โดยไม่ได้ไปเหยียบตีนหรือไปชวนใครคุยเนี่ย ก็พบว่าโดนชวนคุยอย่างมากมาย (1) และพบว่ามีคนมากมายที่สื่อสารความไม่พอใจต่อคนอื่นอย่างตรงไปตรงมา (2) เช่นตอนที่ฉาย snowden live ตอนแรกหลังหนังฉายเสร็จ มันควรจะมี live stream ของสโนว์เดนมาจากมอสโคว แต่ที่โรงหนัง amc พนักงานมันไม่รู้เรื่อง มันก็ฉายจบแล้วไม่ทำอะไรต่อ คนก็รอดูไป นั่งไปอย่างนั้น จนคนเริ่มโห่ๆๆ แล้วก็โทรคุยกันเสียงดังให้คนอื่นรู้ว่าฉันกำลังโทรคุยกับผู้จัดการแล้วนะ ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็ "เราไปขอรีฟันด์กันเถอะ" "ใช่ๆ พวกเราต้องร่วมมือร่วมใจกันนะ ทำอย่างนี้ไม่แฟร์" "หรือว่านี่คือมุกของสโนว์เดน" (ชาวบ้านคนที่เหลือหัวเราะ) "เอาล่ะพวกเราจะทำยังไงกับ amc กันดี" ฯลฯ คือหมู่บ้านประชากรโลกมากๆ พวกมึงช่างร่วมใจ หรืออีกหลายครั้งคือเห็นคนทะเลาะกันในรถใต้ดิน เช่น เหยียบเท้ากัน แล้วโอ้โห ทะเลาะกันรุนแรงมากชี้หน้าด่ากันแบบไม่เหลือพื้นที่ให้คนอื่นหลบตาเลย

    8. ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าคนเย็นมาก คือจะมีความระแวดระวังตัวอยู่เยอะ อย่างในรถใต้ดินวันก่อนมีคนมาแสดงเต้นฮิปฮอปผาดโผน โหนเสาแบบอื้อหือ อเมริกันกอตทาเล้นต์มาก แต่คนก็ไม่หือไม่อือ ไม่อะไรเลย รีแอคชั่นเป็นศูนย์ มีคนปรบมือหนึ่งคนถ้วน จากคนที่แพคเต็มคัน คน 70% ไม่เงยหน้ามามองเสียด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับตอนที่มีรถหวอวิ่งไปจอดข้างๆ madison square garden มีรถ hostage negotiation ไปจอด ก็มีฝรั่งมุงแค่ประมาณยี่สิบคน นอกจากนั้นเขาก็เดินใช้ชีวิตของตัวเองไป คือรู้สึกว่าพลังแห่งการเสือกค่อนข้างต่ำมาก

    9. ซึ่งอาจจะไปสัมพันธ์กับพลังงานบางอย่างที่เรารู้สึก (เป็นริวจิตสัมผัส) คือเรารู้สึกว่าถ้าเดินออกไปข้างนอก ตามท้องถนน นิวยอร์กจะเป็นที่ที่มีพลังงานสูงมาก แบบขับเคลื่อนตลอดเวลา มึงเดินสิ เดิน เดินไปข้างหน้า เดิน เดิน แล้วเดินเร็วๆ ด้วย ฉึบฉับด้วย ไม่ชิลล์ อย่าสโตรลล์ แต่พอเข้าไปในพื้นที่ปิดหน่อย อย่างเช่นร้านกาแฟ ร้านอาหาร พลังงานจะกลับด้าน คือจะ ช้า ช้า ช้า ค่อยๆ กิน ค่อยๆ นั่ง ค่อยๆ เลือก คือพลังงานระหว่างข้างในกับข้างนอกมันตัดกันฉูดฉาดมาก สำหรับเรา (ถ้าเป็นฟาสต์ฟู้ดเราจะรู้สึกว่าเหมือนอยู่ 'ข้างนอก' คือถึงจะอยู่ในตึก แต่ก็มีความ เอ้า รีบแดก รีบไปสิ)

    10. เด็กๆ พลังเยอะมากจนน่ากลัว เหมือนทุกคน sugar rush อยู่ คือเราไปนั่งทำงานในเซ็นทรัลพาร์ค แล้วเด็กผู้หญิงประมาณ 3-4 คน จะเล่นคล้ายๆ กัน คือเล่นวิ่งตีลังกา แล้วกรี๊ด แล้วการตีลังกาในที่นี้คือตีแบบ 360 เทิร์นอะ คือเดี๋ยวๆๆ ทำไมพวกมึงต้องเปียงยาง แล้วหลังจากตีลังกาแล้วก็โพสแบบยิมนาสติกมากๆ แล้วไม่ได้เป็นแค่คนเดียว แต่เป็นกันหลายคนมาก นี่คือการเล่นแบบซิมเปิลของที่นี่เหรอ ไม่เข้าใจ

    11. จริงๆ การใช้ชีวิตที่นี่ก็ราคาไม่ถูก แต่ก็ไม่ถือว่าแพง คือมีทางเลือกในการใช้ชีวิตด้วยต้นทุนที่ต่ำตลอดเวลา เราจะรู้สึกว่าโดยเฉลี่ยก็เหมือนใช้ชีวิตในห้าง แบบพารากอน กินข้าวมื้อละ 500-700 บาท เบียร์ก็ราคาเท่าๆ ไทย แต่ถ้าต้องการจะประหยัดก็กินแมคกินเวนดี้ไป ก็ราคาเหมือนๆ ที่ไทยนั่นแหละ ไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้น ตั๋วรถใต้ดินก็ถือว่าถูก (30 เหรียญเจ็ดวัน ตกวันละ 100 กว่าบาท) สิ่งที่ดีของที่นี่คือทางเลือกนี่แหละ เคยอ่านหนังสือที่ไหนไม่รู้เจอว่า แค่ชนิดของของที่ขายในนิวยอร์กก็มีมากกว่าจำนวนสปีชีส์ที่มีการบันทึกไว้แล้ว

    12. มาครั้งนี้รวมเวลาทั้งหมดแค่เก้าวัน ซึ่งหลายคนทักว่าทำไมมาแค่นี้ มาน้อยมาก เทียบกับเวลาบิน (บิน 24 ชั่วโมง คูณสอง) แต่ก็รู้สึกว่าถ้ามากกว่านี้ก็คงเบื่อมากแล้ว เพราะวันหลังๆ ก็ไม่ได้ทำอะไรพิเศษ ก็นั่งกินกาแฟ ดูหนังสือไปแค่นั้น แต่คิดว่าจะกลับมาอีกทุกๆ สองสามปี เพื่อดูละครเรื่องใหม่ๆ หรืออะไรก็ว่าไป :-D

    13. คิดว่าที่ตื่นเต้นกับนิวยอร์กน้อยลงมีปัจจัยอยู่สองสามอย่าง อย่างแรกคือเพราะเคยมาแล้ว ดังนั้นก็จะตื่นเต้นอะไรอีกวะ ก็ไม่ตื่นเต้นแล้วปะ อย่างที่สองคือเพราะว่าโตขึ้น เลยทำให้ตื่นเต้นกับอะไรแบบนี้น้อยแล้ว (เคยเห็นสิ่งอย่างต่อไปนี้มาแล้ว ดังนั้นไม่ต้องเรียนรู้อะไรใหม่ ก็ไม่ตื่นเต้น) แต่อย่างที่สามเป็นปัจจัยภายนอก คือความเชื่อมกันไปกันมาของโลก มันทำให้นิวยอร์กกลายเป็นที่ที่เราเคยเห็นแล้ว แม้เราจะไม่เคยออกจากประเทศมาตุภูมิเลยก็ตาม เช่น ร้านกาแฟแบบนี้ เราก็เคยเห็นแล้ว เพราะว่าวัฒนธรรมร้านกาแฟมันก็ครอบ aesthetic ของร้านกาแฟไปหมดทั้งโลก หรือว่าร้านหนังสือแบบนี้ก็เห็นแล้ว หรือสินค้าต่างๆ อย่าง uniqlo h&m ฯลฯ ก็ไม่จำเป็นต้องมาซื้อที่นี่แล้ว (นอกจากเหตุผลเช่นว่า ถูกกว่า มีคอลเลคชั่นบางอย่างที่ยังฟุ้งไปไม่ถึงบ้านในตอนนี้) ดังนั้นด้วยเหตุผลหลังสุดมันก็เลยทำให้รู้สึกว่าบางร้านบางย่านของที่นี่ จะถูกย้ายไปไว้ที่กรุงเทพฯ ก็ไม่ได้แปลกขนาดนั้น (เป็นความเสมือนกันของเมืองหลวงมั้ง)

    14. อ้อ ที่นี่เป็นเมืองที่ "ฟัง" สนุกมาก เพราะคนที่รู้สองภาษาจะสามารถฟังชาวบ้านคุยกันในภาษาอังกฤษ แล้วมานินทากันเองในภาษาอื่นได้ (ซึ่งเลว -- แต่นั่นแหละ) แต่เรารู้สึกว่าฝรั่งมันมีความสามารถในการเล่าเรื่องอะ แบบเราสามารถ dip in dip out จากคำพูดของเขาได้โดยที่ไม่ต้องรู้แบคกราวนด์มาก่อนได้ แล้วก็ยังสามารถฟังแบบเหมือนรู้เรื่องไปด้วยส่วนนึง ซึ่งหลายครั้ง ไม่ต้องตั้งใจฟัง ก็ลอยมาเข้าหูเอง จึงไม่ค่อยแปลกเลยที่จะมีเพจอย่าง human of new york เพราะถ้าถามหน่อยอะ เขาก็เล่าเป็นฉากๆ กันออกมาทั้งนั้น (ทั้งนี้ไม่ได้บอกว่าแบรนดอนที่ทำเพจไม่เก่งนะ เก่งสิ เก่งที่ขุดเรื่องแบบนั้นออกมาได้ แต่ประเด็นที่จะบอกก็คือว่าพวกเขาแทบทุกคนมีความเป็น storyteller กันอยู่แล้วทั้งนั้นเท่านั้นเอง)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in