เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ญี่ปุ่น ฉบับ เด็กฝึกงาน 2016Chalat Phumphiraratthaya
01 โอกาสให้ไขว่คว้า
  • ถ้าพูดถึงการไปต่างประเทศ แน่นอน สกิลด้านการใช้ภาษามันโคตรสำคัญ สำคัญขนาดอาจเรียกได้ว่าเป็นตัวชี้ชะตาชีวิตได้เลยทีเดียว เพราะหากพลาดพลั้งทำอะไรบางอย่างไปด้วยความเข้าใจผิดๆ แล้ว ความชิบหายจะมาเยือนตอนไหนก็ได้ทันที

    ตลอดการเรียนตั้งแต่เล็กยันโตผมได้เกรดนิยมวิชาภาษาอังกฤษมาโดยตลอด คุยกับใครเค้าก็ไม่รู้เรื่อง ยิ่งพูดถึงความกล้าที่จะคุยกับต่างชาตินั้นแทบไม่มี สิ่งที่ทำให้ผมผ่านมาได้ถึงทุกวันนี้ คือสกิลทำข้อสอบ แถ และกายังไงให้ได้คะแนนเยอะที่สุด

    ผมจะบอกเคล็ดลับให้ก็ได้ ก่อนอื่น ให้อ่านโจทย์อย่างละเอียดมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อ่านออกเสียงได้ก็ยิ่งดี เพราะจะทำให้เราพลาดน้อยลง จากนั้น ผมขอสมมุติว่าโจทย์มันมี 10 พยางค์ ให้เราเตรียมปากกาของเราขึ้นมา และค่อยๆ เอาปากกาจิ้มไปที่ตัวเลือกข้อที่ 1 ก่อน ขั้นตอนต่อมา ให้จิ้มตัวเลือกนับวนไป 10 ตัวเลือกตามจำนวนพยางค์ ก็นั่นแหละ…คำตอบสุดท้ายของข้อนั้น

    ตลอดเวลาที่รอคอยคำตอบรับจากการสมัคร ก็ทำให้ผมเสียโอกาสไปหลายอย่าง ผมไม่ได้สมัครบริษัทในไทยที่ไหนเลย เนื่องจากเริ่มมีข่าวมาแล้วว่า ใครที่เลือกสมัครไปฝึกงานที่ญี่ปุ่นนั้น จะมีสิทธิ์ได้ไปทุกคน แต่จะเป็นที่ไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะโควต้ามันเยอะ แล้วผมก็ดันเชื่อซะด้วยสิ ทั้งเชื่อ ทั้งขี้เกียจ ก็เลยไม่ได้กระตือรือร้นหรือรู้สึกเดือดร้อนอะไรทั้งนั้น

    ผ่านไปพักใหญ่ ๆ ผลการสมัครมันก็ยังไม่ออกซักที ณ ตอนนั้นผมเริ่มจะอยู่ไม่สุขซักเท่าไหร่ มันทำให้ผมต้องเดินไปตามผลเองที่ศูนย์ติดต่อประสานงานเลย อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ระดับภาษาอังกฤษของผมอ่อนมาก...

    แม่ง...คนไทยหายไปไหนหมดวะ

    คนในศูนย์ประสานงานที่โดยปกติแล้วจะมีทั้งคนไทยและคนต่างชาติประจำอยู่ ตอนที่ผมไปเพื่อตามเรื่อง ดันเหลือแค่คนเดียวคือคนต่างชาติ มันทำให้ผมโคตรตื่นเต้น ใจนึงก็อยากจะรอคนไทย อีกใจก็ไม่อยากรอผลแบบไม่ได้รู้ความคืบหน้าเลย

    “Excuse me...”

    ใจผมเต้นแรงยิ่งกว่าต้องออกไปพรีเซ็นต์อะไรหน้าห้องเรียน ผมเพิ่งจะพูดประโยคเปิดตัวไปให้ชาวต่างชาติรู้ ว่าผมจะมาคุยอะไรด้วย ทั้งๆ ที่ไม่เคยคุยกับชาวต่างชาติแบบจริงๆ จังๆ มาก่อนเลยซักครั้งในชีวิต

    “I want to know about ... @#%)#@”

    การพูดคุยภาษาปะกิตเริ่มต้นขึ้น โดยที่มีผมคอยคั่นด้วยประโยคเดิมซ้ำๆ อยู่เสมอ

    “Again Please...”

    สำเนียงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของคนฟิลิปปินส์ ได้ยินตั้งแต่มัธยมยันมหาลัยก็ยังไม่ชิน แต่ละคนก็พูดโทนเสียงไม่เหมือนกันอีก ความรู้สึกในตอนนี้มันเหมือนกับช่วงที่พรีเซ็นต์งานเสร็จแล้วแต่กำลังโดนอาจารย์ยิงคำถามอยู่

    ผมพูด ‘อะเกนพลีส’ ไปจนนับครั้งไม่ได้ ในใจชาวต่างชาติคนนั้นคงคิดว่า ‘ไอ้เด็กนี่อะเหรอจะไปต่างประเทศ’ ผมกลัวว่าการที่มาปรึกษาในครั้งนี้จะทำให้โดนตัดสิทธิ์หรือคะแนนลดเหลือเกิน ไม่รู้คิดถูกหรือคิดผิดที่มา เพราะสุดท้าย…กูก็ฟังคำตอบไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่

    “Thank you very much...”
    บ๊ายบาย ลาก่อน

    เฮ้อ…
    กูรอผลทางเมลล์ก็ได้วะ

    ..................


    ตรื๊ดดดดดด ตรื๊ดด... มือถือผมสั่นแจ้งเตือนเมลล์เข้า

    เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ผมก็ได้รับอีเมลล์ตอบกลับอย่างที่หวังเอาไว้ หวังจะเข้าใจมากขึ้นว่าวันก่อนผมไปคุยอะไรกับเจ้าหน้าที่ชาวฟิลิปปินส์มาบ้าง

    เนื้อหาในอีเมลล์บอกว่าให้ทำการพิมพ์ใบสมัครอีกครั้งให้สวยงาม จะได้ส่งต่อไปให้สถานที่ฝึกงานที่ญี่ปุ่นโดยตรงเลย แค่นี้ผมก็ตื่นเต้นแล้ว ทางนู้นเค้าจะได้เห็นใบสมัครของผมแล้วนะ ผมคิด...

    คิดผิด...

    หลังจากส่งใบสมัครไปอีกรอบ แล้วก็รอผลว่าจะได้ไปที่ไหน นานมาก นานจนเพื่อนที่สมัครฝึกงานในไทย ได้ที่ฝึกงานเกือบครบทุกคนแล้ว... 

    สิ่งที่ทำให้ผมใจแข็งมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ก็คือคำพูดปลอบใจจากส่วนกลางที่ว่า

    “ไม่ต้องห่วง ได้ไปทุกคนอยู่แล้ว ใจเย็นน..เย็นนน
    “แค่รอฟังว่า จะได้ไปทำอะไร มหาลัยอะไร รอแค่นั้นจริงๆ”

    ใจมันเริ่มอาการเคลิ้มตามคำพูดประโลมใจ ทำให้ความไม่รู้ร้อนรู้หนาวมันเข้ามาเคลือบเอาไว้ ความร้อนใจที่มีเลยเริ่มจืดจาง สมองก็เลยสั่งการตาม รออีกซักหน่อยก็แล้วกัน

    คือกูรอจนเพื่อนที่ได้ไปฝึกงานต่างประเทศเหมือนกันรู้สถานที่ฝึกงานกันหมดแล้ว ไม่มีใครไม่รู้แล้ว รู้จนไปทำพาสปอร์ตกันหมดแล้วจริงๆ...

    ‘แล้วกูล่ะ...’
    คำถามหนึ่งเกิดขึ้นในใจผม

    ผมรีบติดต่อไปยังส่วนกลางทันทีด้วยความร้อนรน แล้วเริ่มถามคำถามที่ต้องการคำตอบอย่างเร่งด่วนด้วยน้ำเสียงโมโนโทนอย่างสงบว่า

    “พี่ครับ ผมได้ไปมหาลัยไหนเหรอครับ ผมชื่อ … ”

    “เดี๋ยวเช็คให้แป๊ปนึงนะคะ” เสียงแห่งความหวังสอดรับกลับมาทันทีที่ผมถามไป ราวกับเป็นเสียงตอบรับอัตโนมัติที่ตั้งเอาไว้ให้พูดประโยคนี้เวลามีใครมาถามคำถามนี้

    “ครับ...”

    เจ้าหน้าที่หาอยู่สักพัก ปล่อยให้ตัวผมลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ โทรศัพท์ในมือถูกกดไปจนแนบหู ถ้าโทรศัพท์มันเล็กกว่านี้มันคงหลุดไปในรูหูแล้วล่ะ

    ...
    ...

    “เอ่อ ไม่มีชื่อค่ะ ชื่อนี้น่าจะตกหล่น พอดีคนมันเยอะ เดี๋ยวทิ้งชื่อ นามสกุล ละก็เบอร์โทรติดต่อกลับไว้นะ เดี๋ยวพี่ตามเรื่องให้”

    “ครับ”

    ผมตอบขอบคุณสำหรับคำตอบครับ... 
    อันนี้ผมไม่ได้พูดออกไป… 

    ชื่อกู
    ตกหล่น..!
    โว๊ยยยยยยยยยยยยยย

    “ไม่ต้องเป็นห่วง ได้ไปอยู่แล้วค่ะ”
    เสียงนั้นพูดเสริมขึ้นมาราวกับรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

    ใจของผมตอนนี้นี่หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว อยากจะก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาก็ก้มไม่ไหว... กระแสความคิดไหลเข้ามาอย่างรุนแรง เรื่องไม่มีที่ฝึกงาน ทั้งเรื่องที่สมัครที่นี่ไปที่เดียว ทั้งเรื่องที่ยังไม่ได้ที่ฝึกงานอยู่คนเดียวท่ามกลางเพื่อนร่วมชั้นเรียน…

    “ครับ...” 
    ผมตอบไปได้เพียงแค่นั้น

    “แล้วจะรู้ผลอีกทีเมื่อไหร่อะครับ”
    ผมถามต่อ

    “เดี๋ยวถ้ามีความคืบหน้าจะติดต่อกลับไปนะคะ”
    เค้าตอบ

    “ครับ...”
    สภาพจิตใจผมตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเวลาที่เล่นบอลแล้วดันเตะเข้าประตูตัวเอง เหมือนมีแสงอยู่ที่ปลายทางแต่แสงนั้นอยู่ๆ มันก็หายไปเฉยๆ ยังไงยังงั้น

    สิ่งที่ผมทำตอนนี้คือ ได้แต่รอ รอวันที่เค้าจะตอบกลับมา และรออย่างใจเย็น เพราะเค้ารับปากว่าจะได้ไปแน่นอน หากจะหาที่ฝึกงานในไทย ก็คงเหลือตัวเลือกให้เลือกน้อยลงมากแล้ว ถ้ามันไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องทำอะไรสักอย่าง...โดยเริ่มต้นที่ ‘ทำใจ’ ก่อนเป็นอย่างแรก

    รอไปหลายวัน ก็ได้รับการติดต่อกลับมาจากเจ้าหน้าที่คนเดิม ซึ่งมันก็ถือว่าคุ้มค่าที่รอเลยจริงๆ ผมซึ้งใจจนน้ำตาแทบไหล

    “ชื่อ ... ใช่ไหมคะ ?”

    “ใช่ครับ”
    ผมรีบตอบกลับไปอย่างตื่นเต้น

    “เอ่ออ…รบกวนส่งเอกสารมาให้อีกทีได้มั้ยคะ พอดีว่าหาของเก่าไม่เจอ”

    ...

    “สะดวกส่งมั้ยค่ะ ?”

    ...
    ...

    “ครับ...”

    โว๊ย…
    กูจะได้ไปมั้ยเนี่ยยยยยยย..!

    ปีนี้เป็นสงกรานต์ที่ผมอยู่ไม่สุขเลย น้ำเย็นที่สาดเข้ามาที่ท้ายรถกระบะที่ผมนั่งอยู่ไม่ได้ช่วยให้จิตใจของผมเย็นลงสักนิด ยังคงมีแต่ความกังวลเนื่องมาจากยังไม่มีที่ฝึกงานที่แน่นอนเหมือนใครคนอื่นเค้า อารมณ์เหมือนตอนจบ ม.6 แล้วจะเรียนต่อมหาลัย แต่เพื่อนรอบตัวดันมีที่เรียนต่อหมดแล้ว ส่วนตัวเรายังล่องลอยไม่มีที่ไป

    “ดีแล้วที่น้องมาตามเรื่อง ตอนนี้อาจารย์ที่ดูแลรู้เรื่องแล้ว เค้ากำลังบินไปญี่ปุ่น...”

    อย่างน้อยก็มีความคืบหน้ามาบ้าง คำตอบจากส่วนกลางในครั้งนี้มันช่วยให้ผมสงบใจได้ ก็อาจารย์เค้าอุส่าห์ลงทุนรีบไปหาที่ฝึกงานให้ผม ซึ่งก็เหลือเพียงคนเดียว ผมก็ได้แต่ภาวนาให้มันไม่มีอะไรผิดพลาดอีกก็พอ

    จากนั้นไม่นาน ในที่สุดผมก็ได้รู้ว่าตัวเองยังพอมีบุญกับเค้าอยู่บ้าง ผมได้เข้าไปอยู่ในรายชื่อคนฝึกงานเรียบร้อยแล้ว ผมโคตรตื่นเต้น ดีใจเหมือนสอบติดมหาลัยอีกครั้งหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกของผมที่จะได้จากบ้านไปไกลๆ เป็นครั้งแรกที่จะขึ้นเครื่องบิน และเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ไปต่างประเทศ ที่สำคัญ มันเป็นเวลาที่ยาวนานถึง 2 เดือน และที่สำคัญกว่านั้นอีก ก็คือ…กูไปคนเดียว

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in