เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Sujira in Aksornsujira_lr
การพลิกผัน ทางเลือก และการตัดสินใจ
  • ตอนเข้าคณะมาทีแรกเราคิดว่าหลายคนก็คงมีเอกที่อยากเข้าอยู่ในใจแล้ว และก็คงมีบางคนที่ได้เรียนรู้ ได้ค้นพบอะไรใหม่ ๆ เลยเปลี่ยนใจไปจากเอกเดิมก็ได้… 


    แต่ก็ไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเราเอง…


    ตอนเราเข้าคณะนี้มาเรามีเอกในใจ 2 เอก คือภาษาญี่ปุ่นกับอีกเอกนึง (ขอยังไม่บอกตอนนี้ก็แล้วกัน) แต่ที่บ้านเราอยากให้เรียนญี่ปุ่นต่อ ประกอบกับตอนนั้นเราก็บอกกับตัวเองว่า “เราคงไม่เหมาะกับอีกเอกที่อยากเข้าหรอก…” ก็เลยไม่ได้ลงวิชาเข้าเอกนั้นไว้เลย มุ่งหน้าจะเข้าเอกภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียวแม้จะไม่รู้เลยว่าเราอยากทำงานอะไร อยากไปต่อในสายนี้จริง ๆ หรือเปล่า ได้แต่คิดว่า “มันคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว” 



    เทอมแรกก็ผ่านไปด้วยดี ถึงจะงานเยอะมาก ๆ การเรียนในเอกก็กดดันมาก ทุกคนเก่งมากจริง ๆ เราเองที่ไม่ได้เก่งขนาดนั้นก็ต้องพยายามถีบตัวเองขึ้นมา พยายามตามเพื่อนและอาจารย์ให้ทัน ลำบากมาก เหนื่อยมากเลย บางวันก็ร้องไห้กับมัน บางวันก็คิดจะยอมแพ้ เราดิ่งมาก ๆ แต่ยังดีที่มีเพื่อน ๆ คอยให้กำลังใจ ตอนนั้นยังได้ไปเรียนที่คณะบ้าง ได้เจอเพื่อน ได้ออกไปหาอะไรกินหลังเลิกเรียนก็เลยพอจะลืมความเครียดไปได้บ้าง ตอนนั้นก็คิดว่า “เราก็คงอยู่เอกนี้ต่อไปแหละ”



    จนเทอม 2 สถานการณ์โควิดเริ่มแย่ลงอีกครั้ง คราวนี้เรียนออนไลน์ 100% เลย และนี่คือจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงทั้งหมด



    เราเริ่มคิดว่าจะเข้าเอกอื่นก็ตอนช่วงคริสต์มาสของปี 2563 ตอนนั้นเราคิดว่าเราอยากไปต่อกับการเรียนภาษาญี่ปุ่นในฐานะวิชาเอกจริง ๆ หรือเปล่า และเราคิดจะทำงานที่เกี่ยวกับภาษานี้หรือต้องใช้ภาษานี้ไหม  คำตอบคือ “ไม่” และ “ไม่ขนาดนั้น” 



    ที่ผ่านมาเราเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยความสนุกมาตลอด เราดีใจเวลาเราฟังเพลงออก หรืออ่านมังงะต้นฉบับรู้เรื่อง ชอบเวลาเราลองแปลอะไรที่เราเห็นด้วยตัวเราเอง ตอนนั้นมันมีความสุขยิ่งกว่าตอนรู้ว่าสอบ JLPT ผ่านอีก

    แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว เราไม่สนุกกับมันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งที่เพื่อน ๆ ก็ช่วยเหลือเราดี อาจารย์ก็ใจดี รับฟังเรา แต่เราไม่ได้รู้สึกมีความสุขกับภาษานี้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว



    ถ้าวันนั้นต้องเรียนญี่ปุ่นตื่นเช้ามาเราจะหม่นหมองมาก กินข้าวไม่ลงเลย เวลาจะเข้า Zoom เราจะมวนท้องทุกครั้ง บางทีเรียน ๆ อยู่ก็อยากอาเจียน พอจบคาบก็ปิดคอมไปนอนร้องไห้ เป็นแบบนี้ทุกอาทิตย์ สภาพจิตใจเราแย่ลงเรื่อย ๆ กลายเป็นว่าพอเราเครียดกับวิชานี้วิชาเดียว เราก็ไม่สนุกกับการเรียนวิชาไหนเลย 



    ตอนนั้นคิดว่าไม่ได้แล้ว ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเราจะแย่เอา ตอนนั้นเลยคิดจะลดรายวิชานี้ขึ้นมา  เป็นเรื่องใหญ่มากนะ 5555 แต่ก่อนเราจะคิดแบบนั้นเราก็คุยกับตัวเองมานานแล้ว เราไม่ใช่คนที่จะตัดสินใจเปลี่ยนแผนอะไรฉับพลันโดยไม่คิดหาแผนสำรอง ตอนที่ความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัวเราก็คิดแผนสองไว้แล้วว่าจะเข้าเอกภาษาอังกฤษแทน ตอนนี้เลยเหลือแค่ตัดสินใจว่าจะกดลดวิชาเลยดีไหม ใจนึงก็อยากเรียนต่อเพราะจะได้เก็บเป็นเจนแลงแล้วก็จะได้อยู่กับเพื่อน ๆ ต่ออีกนิด แต่อีกใจก็คิดว่าไม่ไหว ถ้าอยู่ต่อเราคงทำทุกวิชาพังไปด้วย (ความจริงปัญหานี้จะไม่เกิดถ้าเราปล่อยวางความเครียดได้ แต่พอดีเราทำไม่ได้เอง แหะๆ) สุดท้ายเราก็กดลดวิชาไปจริง ๆ วันนั้นเราร้องไห้หนักมาก รู้สึกถึงความพ่ายแพ้ต่อตัวเอง เหมือนร่วงลงจากตึกสูง ๆ เหมือนถูกผลักออกมายืนข้างถนนในคืนอากาศหนาวแล้วต้องหาทางเอาชีวิตรอดเอง ก่อนหน้านี้เราคิดมาตลอดว่า “นี่แหละ ใช่ที่สุดแล้ว” จนวันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนไม่ทันตั้งตัว วันนั้นเรายังมีความสุขกับมันแต่ตอนนี้เราไม่รู้สึกแบบนั้นแล้ว… เราเลยตกใจแหละมั้ง



    อาจเป็นเพราะเราไม่เก่งเองด้วยแหละมันเลยมาถึงจุดนี้ (ฮาาา) แต่เราคิดว่าเราฝืนตัวเองมากเลย เมื่อก่อนเราวิ่งไปตามจังหวะที่เราไหว ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องกังวล พอตอนนี้เราต้องมาวิ่งมาราธอน วิ่งโดยไม่หยุดพัก มันก็ต้องเหนื่อยแน่ ๆ ล่ะ ประกอบกับเราเองก็ให้ภาษานี้เป็นประตูสู่ความบันเทิงและสิ่งที่เราสนใจ หรือพูดตรง ๆ คือเราเรียนเพื่อเอาไว้เสพสื่อ ฟังเพลง อ่านมังงะ เล่นเกมอย่างเดียว เราคิดแค่นั้น เราเลยไม่รู้ว่าจะฝืนเรียนต่อไปทำไมล่ะมั้ง แต่การลดวิชาคราวนั้นก็ทำให้สภาพจิตใจเราดีขึ้นจริง ๆ นะ หลังจากนั้นเรามีเวลาทบทวนวิชาอื่น ๆ มากขึ้น เราไม่เครียดเท่าเมื่อก่อน เราเรียนอย่างมีความสุขมาก พูดได้เลยว่าเราก่อนกับหลังลดวิชานั้นเหมือนเป็นคนละคน เรามีความสุขมากจริง ๆ และสุดท้ายผลการเรียนก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจ  ถึงความจริงไม่อยากกดดันตัวเองมากแต่เพราะเทอมนั้นมีแต่วิชาที่ชอบ พอเราทำออกมาได้ดีก็ดีใจมาก ๆ เลย :) 



    คิดว่ามันจะจบแค่นี้ พอเถอะ พอแล้ว การดริฟต์เอกครั้งนี้กินพลังงานฉันมามากพอแล้ว… แต่มันไม่จบแค่นั้น…



    จำเอกที่เราอยากเข้าตอนแรกได้ไหม  ตอนแรกที่เก็บกระเป๋าเดินออกจากการเป็นเทรนนีเอกญี่ปุ่น(เรากับเพื่อนชอบใช้คำนี้ตอนอยู่ปี1) ก่อนจะไปเลือกเอกอังกฤษ ใจเราก็คิดจะเข้าอีกเอกที่พูดถึงอยู่หรอก แต่ตอนนั้นมันเทอม 2 แล้ว เราลงวิชาเพิ่มไม่ได้แล้ว คำตอบของเราเลยเป็นเอกอังกฤษไป (ถึงจะไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไรต่อดีแต่คิดว่าเราคงหาทางต่อได้เองนั่นแหละ)



    แต่แล้ววันนึงก่อนที่จะเลือกเอกเพื่อนเราคนนึงทักมาบอกว่าเอกที่เราอยากเข้าตอนแรกน่ะสามารถขอเข้าดดยไม่ต้องลงวิชาบังคับเอกได้ ยื่นเข้าเอกไปก่อนแล้วค่อยมาตามเก็บวิชาก็ได้… เอกนั้นคือเอกศิลปการละคร และตอนนั้นเองที่เราลังเลอีกครั้ง 55555



    ถ้าจะลองอธิบายแบบง่าย ๆ (รึเปล่านะ) เอกละครเหมือนเอกที่เราอยากรู้จักเขาตั้งแต่แรกที่เราเข้าคณะมา แต่ตอนนั้นที่บ้านอยากให้เราเข้าเอกญี่ปุ่น+เราคิดว่าเราคงไม่เหมาะกับเอกนั้นหรอก(ต่อให้เราอยากเข้ามาตั้งแต่ก่อนสอบเข้าก็ตาม) เราเลยต้องไปกับเอกญี่ปุ่นแต่ก็ไปไม่รอดแล้วก็คิดว่าหมดหนทางไปเอกละครแล้วเลยหันไปซบเอกอังกฤษแทน กำลังจะเข้าเอกอังกฤษแล้วแต่เอกละครก็กลับมาอยู่ในลิสต์ตัวเลือกของเราอีกครั้ง  นั่นแหละ ตอนนั้นลังเลเลย (เปิดเพลงรักสามเส้าได้อะ555) 



    ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ใจไม่สงบที่สุดในชีวิต เรานั่งคุยกับตัวเองทุกวัน หาอ่านรีวิวเอกทั้งสองเอก ขอคำปรึกษาจากเพื่อนทุกคนที่คิดว่าจะช่วยเราได้ อีเมลไปหาอาจารย์เพื่อขอคำแนะนำ กลับมานั่งคุยกับตัวเอง นั่งวางแผนทุกอย่างในหัว ทำทุกอย่างเพื่อที่จะหาคำตอบให้ตัวเอง คิดถึงอนาคตข้างหน้าอีก 3 ปี… 5 ปี… 10 ปี… แต่แน่นอน… เราหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ เราลองคิดว่าถ้าเราเลือกเอกนึงไปในอนาคตเราจะเป็นยังไง จะทำอะไรต่อ เราทำแบบนี้กับทั้ง 2 เอก แต่ก็ไม่ช่วยอะไรเลย เราอาจจะหาคำตอบคร่าว ๆ ให้ตัวเองได้แต่เราไม่มีทางมั่นใจได้หรอกว่าอนาคตจะเป็นยังไง (แค่ในช่วงเวลา 1 เทอม ความรู้สึกของเราที่มีต่อการเรียนภาษาญี่ปุ่นยังเปลี่ยนไปเลย) 

    สุดท้ายเราก็เลยเลือกเอกอังกฤษไปเพราะเราอุตส่าห์พยายามเพื่อให้ได้เข้าเอกนี้มาแล้ว “แต่” มีเงื่อนไขว่าถ้าเรียนไปเทอมนึงแล้วพบว่ายังอยากเรียนละครอยู่เราก็พร้อมย้ายเอกทันที…




    และใช่ เราย้ายจริง 5555555555555




    แต่มันไม่ใช่การย้ายด้วยน้ำตาแห่งความทรมานแบบครั้งแรกนะ เรามีความสุขกับเอกอังกฤษแม้ว่าเราจะกดดันตัวเองไม่แพ้กับตอนเรียนญี่ปุ่นเลยแต่ภาพรวมมันดีกว่ามาก เราไม่ได้เครียดจนร้องไห้แล้ว(แค่เกือบ…) งานอาจจะเยอะแต่เรา enjoy จริง ๆ  อยู่เอกนี้เราได้พัฒนาตัวเองเยอะมาก รู้สึกว่าตัวเองเก่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ภูมิใจในตัวเองมากขึ้นจริง ๆ คะแนนเราอาจจะแตะมีนพอดี เรียนพอถูไถแต่ก็เป็นอะไรที่เราสนุกกับมัน เราได้เห็นตัวเองพัฒนาทีละนิด ๆ อาจจะยังไม่เท่าคนอื่นแต่เรารักตัวเองเวอร์ชั่นนี้มาก 

    พอเรียนมาสักพักถึงรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร สุดท้ายก็หาคำตอบและวางแผนอนาคตคร่าว ๆ ให้ตัวเองได้แล้ว แน่นอนว่าสักช่วงเวลาหนึ่งในอนาคตมันอาจจะเปลี่ยนไปอีกแหละ แต่อย่างน้อยตอนนี้เราก็รู้แน่ชัดแล้วว่าเราต้องการอะไร เรามีความสุขกับอะไร  กว่าจะได้คำตอบก็ใช้เวลาไป 1 เทอมเลย นานจัง แต่ก็ดีที่หาเจอ :)




    ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้คงคิดว่า “ทำไมยัยคนนี้คิดอะไรเยอะจัง”  “ทำไมมันคิดอะไรยุ่งยากจัง”  “คิดเยอะไปไหม”  “ขี้ลังเลจัง”  



    …จริง 5555 ยอมรับว่าเราเป็นคนคิดอะไรเยอะมาก คิดอะไรในหัวตลอดเวลา เราเป็นคนขี้กังวลแหละ และเรากลัวความรู้สึก regret มาก ๆ 

    ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเราแทบจะไม่รู้สึก regret อะไรเลย ด้วยความเป็นคนขี้กังวลและคิดมาก เราจะคิดหาทุกความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้นและเราจะเลือกทางที่ดีที่สุดสำหรับตัวเราตลอด ไม่ว่าจะเลือกสายการเรียนตอนม.ปลาย เลือกคณะตอนมหาวิทยาลัย หรืออะไรก็ตามในชีวิต เรารู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเราและเราแทบจะ “ไม่เคย” รู้สึกเสียดายกับทางเลือกของเราเลย



    เราใช้ชีวิตในเซฟโซนมาตลอด เรารู้ว่าอะไรทำให้เรารู้สึกปลอดภัย เรารู้ว่าทำแบบนี้แล้วโอกาสล้มเหลวมันจะน้อยที่สุด เราพยายามใช้ชีวิตแบบที่เราวางแผน พยายามให้ทุกอย่างมันไร้ที่ติ (ความจริงก็ไม่ขนาดว่าต้องสมบูรณ์แบบ 100% เพราะเราจะประเมินตัวเองก่อนว่าทำได้แค่ไหน และถ้าเราหวัง 90% เราต้องได้– และเราก็ได้มาตลอด) 



    แต่พอวันนึงที่เราต้องออกจากเซฟโซน (ในที่นี้คือการลดวิชาญี่ปุ่น) เราโหวงมากเพราะเราคิดมาตลอดว่าเราจะเข้าเอกนี้ “เอกนี้คือเอกที่เราทำได้ อาจไม่ดีมากแต่ก็ไม่แย่ มันน่าจะโอเคที่สุดแล้วสิ…” แต่พอเราต้องออกมามันก็ตกใจไม่น้อย ทีนี้พอเราต้องมาเลือกระหว่างเอกอังกฤษที่เป็นแผนสำรองกับเอกละครที่เป็นความฝันแรกมันก็พาเรามาอยู่ในจุดที่เรา insecure กับทางเลือกของเรา เรากลัวว่าเราจะเสียใจกับทางเลือกนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยเจอเลย… เราแทบไม่เคยรู้สึก regret เราแทบไม่เคยรู้สึก insecure เราคิดว่าเราสามารถควบคุมสิ่งที่เราจะเลือกได้และเราจะได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นเลย เราอาจเสียใจกับสิ่งที่เราเลือก เราอาจเลือกผิด เราอาจทำพลาด เราควบคุมอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เราคาดเดาผลลัพธ์ไม่ได้  ยอมรับว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มันสั่นคลอนความมั่นใจของเรามาก เราเหมือนคนที่มั่นใจกับทางเลือกของตัวเองมาตลอด รู้ว่าจะได้ผลลัพธ์แบบไหนแต่ตอนนี้เรากลับไม่รู้อะไรเลย เหมือนตกลงจากตึกสูงแล้วกระแทกพื้นอย่างแรง

    แต่สุดท้ายเราก็ผ่านมาได้นะ ช่วงแรก ๆ ก็ยังมึน ๆ อยู่ แต่ก็ต้องขอบคุณเพื่อนคนนึงที่ช่วยเราไว้ ช่วงที่เรากำลังสับสนเราได้คุยกับเพื่อนแล้วเพื่อนช่วยเราไว้ได้เยอะเลย  ตอนนี้เราก็ตั้งใจว่าจะเรียนอะไรที่ตัวเองมีความสุขนั่นแหละ พยายามจะไม่กังวลกับอนาคตมากเกินไปแล้ว ไม่อยากจริงจังกับการหาคำตอบให้อนาคตมากเกินไปจนทำให้ตัวเองลืมความสุขในปัจจุบันไปเลย  เอาเป็นว่าพอถึงเวลานั้นก็คงหาทางให้ตัวเองได้แหละเนอะ!!



    แล้วก็…มีคนบอกว่าเราล้มเหลว เราไม่หนักแน่นพอที่จะทำตามแผนแรก พอใช้แผนสองก็ล่มแผนตัวเองอีก 

    มุมนึงมันก็ใช่เนอะ 5555555555 ใน 1 ปีเราเปลี่ยนเป้าหมายไปเยอะจริง แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เราก็คงทำแบบเดิมแหละ อาจจะดูล้มเหลวแต่สำหรับเรา เราไม่มองว่ามันคือความล้มเหลวเลย เหมือนเราเรียนรู้อะไรบางอย่างแล้วค้นพบว่า “ไม่ สิ่งนี้มันไม่ใช่สำหรับฉันอีกแล้ว”  “อันนี้ก็ดี แต่ฉันชอบอีกอันมากกว่า”  เหมือนเรารู้ว่าตัวเองต้องการอะไรแล้วเราก็พยายามปรับทางของตัวเองให้เข้ากับมันแค่นั้นแหละ ถามว่ากลัวไหม? ก็กลัว แต่ก็จะไม่เสียใจที่เลือกแบบนี้หรอกนะ!! 



    รู้สึกชีวิตมหาลัยที่ผ่านมามีแต่อะไรพีค ๆ สำหรับเรา ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเปลี่ยนใจจากเอกญี่ปุ่น ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องกรอกเอกสารขอย้ายเอก ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองต้องมานั่งกังวลเรื่องการตัดสินใจของตัวเอง  เจอหนักจังปีนี้ 555555 


    ตอนที่เราเขียนอยู่นี่ก็จะครบ 1 ปีที่เราเริ่มคิดว่าจะไม่เข้าเอกญี่ปุ่นแล้วนะ เวลาผ่านไปเร็วมาก ถ้าตัวเองปีที่แล้วมาเจอตัวเองปีนี้คงตกใจเพราะไม่คิดว่าจะมาถึงจุดนี้ แต่ก็… ได้เจออะไรแปลกใหม่ดี ไม่รู้จากนี้จะเป็นยังไงแต่ก็ขอให้ตัวเองได้ทำสิ่งที่ต้องการแล้วกัน


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in