เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Sylver's StoriesPatrick Sylvester
เรื่องของพี่ชายผมคนหนึ่ง
  • สวัสดีครับ

              เมื่อซัก ๑๕ ปีมาแล้ว ผมเริ่มรู้จักรุ่นพี่มหาวิทยาลัยคนหนึ่ง เราไม่ได้เรียนไล่เลี่ยกันใกล้มาก ถึงขนาดเจอหน้ากันที่มหาวิทยาลัยหรอกครับ หากแต่มีญาติท่านหนึ่งรู้จักพี่เขามาก่อน แล้วท่านเห็นว่าเขาอยู่ในสายงาน ที่ผมสนใจชื่นชอบตั้งแต่เด็ก ประกอบกับตอนนั้นผมเพิ่งเข้าเรียน คณะเดียวกับที่เขาจบมาพอดี ญาติท่านนั้นก็เลยแนะนำให้เรารู้จักกันไว้ แม้หลังจากนั้น ผมจะมีโอกาสเจอเขาชนิดนับครั้งได้ ก็เพราะเขามีภารกิจรัดตัวมากขึ้นทุกที แต่ทุกครั้งต่างฝ่ายต่างก็ยังจำกันได้ และผมก็นับถือเขาเป็นพี่ชายคนหนึ่งมาตลอด

              พี่ชายคนนี้เริ่มเข้าทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง นับแต่เขาเรียนจบคณะที่ผมเคยเรียน อยู่กับที่นั่นยาวนานเป็นหลักสิบกว่าปีทีเดียว และมีความก้าวหน้าเป็นลำดับ ตั้งแต่พนักงานเล็กๆ ขึ้นไปจนถึงระดับหัวหน้างาน แล้วยังพ่วงไปทำกับกิจการใกล้เคียง ในกลุ่มเดียวกับของบริษัทนี้อีกด้วย ตลอดเวลาที่พี่เขาทำงานที่นั่น บริษัทก็ดูแลเป็นอย่างดีมาตลอด แม้เขาจะแอบเบี้ยวในงานอยู่บ้างก็ตาม

              อยู่มาวันหนึ่งก็มีบริษัทอีกแห่งติดต่อมา จะขอจ้างให้พี่เขาไปช่วยงานเป็นรายชิ้น ลักษณะแบบพาร์ตไทม์เสริมจากงานประจำ แม้ว่ารูปแบบจะไม่ได้ซ้ำกับงานเดิมก็ตาม แต่พี่เขาก็รู้ธรรมเนียมเป็นอย่างดีว่า จำเป็นต้องไปขออนุญาตกับเจ้านายก่อน ซึ่งฝ่ายผู้บริหารก็มิได้ขัดข้องแต่อย่างใด พี่เขาก็จัดคิวไปทำกับทางบริษัทอีกแห่ง เมื่อเสร็จงานทางนั้นแล้วก็เข้างานเดิมตามปกติ สับหลีกเวลากันได้อย่างไม่มีปัญหา ทั้งผลงานใหม่ก็เป็นที่ประทับใจอีกด้วย

    ทางบริษัทอีกแห่งนั้น ก็เลยเสนองานให้เพิ่ม แต่คราวหลังนี้ต่างออกไป เพราะเป็นรูปแบบเดียวกับงานเดิม พี่เขาเห็นว่าเคยขออนุญาตผู้บริหารไปแล้ว ก็เลยตกลงรับทำไปเลย แต่เมื่อฝ่ายเจ้านายทราบเรื่องนี้ กลับเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงเรียกเข้าไปพบแล้วตำหนิอย่างรุนแรง ตัวพี่เขาเองเชื่อว่าไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่ยอมถูกต่อว่าเสียหายขนาดนั้น (อาจมีปัญหาอย่างอื่นแฝงอยู่อีก แต่พี่เขาไม่ได้เล่าให้ผมฟัง)

    ก็เลยมีการโต้เถียงกันในห้อง หลังจากนั้นก็ตามด้วย “การลาออก” จากบริษัทเดิมของพี่เขา แม้สิ่งที่เกิดขึ้นหลังฉากคือมี “การบีบบังคับให้ลาออก” หรือจะเรียกว่า “การไล่ออก” เลยทีเดียวก็ว่าได้ แต่ที่แน่นอนเลยก็คือ ทุกสิ่งอย่างที่บอกไป มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันมาก อย่างกับฟ้าผ่าลงกลางหัวทีเดียว แม้ดูเหมือนโชคร้ายที่สุดในชีวิตขนาดนั้น แต่ก็ด้วยผลงานที่ผ่านมาของพี่เขา ล้วนแต่อยู่ในสายตาของนายจ้างหลายแห่ง เป็นที่รับรู้มาตลอดถึงคุณภาพคับแก้วนั่นเอง

    เมื่อตัดสินใจได้แล้ว พี่เขาก็เลือกเริ่มงานครั้งใหม่ โดยเปิดบริษัทของตัวเอง ตั้งต้นจากรับจ้างทำงานกะกลางวัน ให้บริษัทซึ่งเคยจ้างทำพาร์ตไทม์ และทำกับรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งในกะกลางคืน รวมแล้วก็ลุยงานแทบตลอดวัน ช่วงนั้นผมเคยถามว่า งานหนักเกินไปมั้ยพี่? เขาตอบทำนองว่า เพิ่งสร้างรังใหม่ก็ต้องขยันกว่าเดิม แม้ว่าจะเหลือเวลานอนแค่ไม่เท่าไหร่ แต่ก็โชคดีอยู่บ้างที่ว่า พี่เขาเป็นคนหลับง่าย นั่งรถก็นอนออมไปบ้าง พอมีเวลานิดหน่อยก็งีบได้บ้าง

    แต่การเปลี่ยนแปลงย่อมเป็นนิรันดร์ การทำงานร่วมกับรัฐวิสาหกิจย่อมไม่แน่นอน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในฝ่ายบริหาร นโยบายขององค์กรมีอันต้องพลิกผันไปด้วย รัฐวิสาหกิจแห่งนั้นจึงเลิกจ้างบริษัทพี่เขาไป ทว่ายังเป็นโชคดีที่บริษัทคู่ธุรกิจเดิมนั้น เถ้าแก่มีเชื้อสายจีนซึ่งมักใช้แนวทาง “เลี้ยงใจคน” เป็นอย่างดีในการทำงานตลอดมา กอปรกับพี่เขามีผลงานดีมาตลอด เถ้าแก่จึงเอ็นดูมากเป็นพิเศษ

    อุปสรรคยังไม่หมดไปเสียทีเดียว มีการตรวจสอบย้อนหลังไปแล้วอ้างว่า พบความไม่ชอบมาพากล ระหว่างที่รัฐวิสาหกิจแห่งนั้นจ้างบริษัทพี่เขาทำงานอยู่ ซึ่งที่จริงในทันทีเมื่อรู้ว่าเกิดความผิดพลาดขึ้น พี่เขาก็สั่งให้รีบจัดการแก้ไขเรียบร้อยแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีความพยายามเอาขึ้นไปสู่คดีความในชั้นศาล พี่เขาก็จ้างทนายความพร้อมต่อสู้คดีเต็มที่ ทว่าศาลกลับเชื่อถือฝ่ายตรวจสอบกับรัฐวิสาหกิจนั้นมากกว่า ก็เลยพิพากษาให้ อดีตบุคลากรของรัฐวิสาหกิจนั้น และฝ่ายบริษัทของพี่เขามีความผิด โดยศาลตัดสินให้ต้องรับโทษจำคุก ตามกฎหมายที่ใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจ แม้ว่าบริษัทกับตัวพี่เขาจะเป็นเอกชนก็ตามที

    อย่างไรก็ตาม นั่นยังไม่ใช่การชี้ขาดของศาลชั้นสูงสุด พี่เขาก็ย่อมต้องมีสิทธิอย่างเต็มที่ ในการต่อสู้คดีกันต่อไปจนถึงที่สุด แต่ก็มีกลุ่มผู้เสียประโยชน์ทั้งหลายออกมาบีบคั้น เรียกร้องให้พี่เขาหยุดทำงานไปก่อน จนกว่าศาลสูงสุดจะมีคำพิพากษาออกมา ถ้าไม่มีความผิดก็ค่อยทำงานต่อไป โดยอ้างถึงความรับผิดชอบ และจริยธรรมในการทำงาน (?) มากดดันสารพัด

    แต่พี่เขาไม่ได้สนใจกับเสียงให้ร้ายต่างๆ ยังคงก้มหน้าก้มตามุ่งมั่น ตั้งใจทำงานของตัวเองต่อไป ด้วยเพราะกลุ่มเหล่านั้น “เสียประโยชน์” จากผลงานซึ่งพี่เขาสั่งสมด้วยตนเองมาหลายสิบปี แม้แต่บริษัทซึ่งพี่เขาเริ่มงาน ตั้งแต่เพิ่งเรียนจบปริญญาตรี ก็ยังผสมโรงไล่เบี้ยเข้าไป ด้วยความคับแค้นฝังใจ คิดไปว่าพี่เขาทุบหม้อข้าวตัวเอง เมื่อไปรับงานทับไลน์กับทางบริษัท ตามทำนองที่ว่า “ลูกทรพี ต้องตีให้ตาย” (เมื่อมีแผลเปิดให้ตี)

    ส่วนตัวผมเอง รู้สึกเห็นใจพี่ชายคนนี้อย่างมาก แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรได้มากไปกว่า บอกกล่าวเล่าสู่ไปยังเพื่อนๆ เพื่อหวังว่าจะเปลี่ยนแปลง ให้สถานการณ์กลับดีขึ้นได้บ้าง แต่โปรดอย่าคิดไกลไปกว่าที่ผมเขียนเลยนะครับ

    ป.ล. ผมเพิ่งทราบเมื่อครู่นี้ว่า พี่เขาทนแรงกดดันแบบน่าเกลียด อย่างที่เล่าไปแล้วไม่ไหว จนกระทั่งขอพักงานชั่วคราวไปแล้ว ก็ต้องเสียใจกับพี่เขาด้วยจริงๆ ส่วนของเนื้อหาที่เล่ามานี้ เขียนขึ้นก่อนจะทราบเรื่อง การขอพักงานของพี่เขานะครับ.

    Patrick Sylvester
    ๐๓ มีนาคม ๒๕๕๙

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in