2:3
     ผลการแข่งขันปรากฏชัดแจ้งแก่ผมเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ณ จุดๆนี้ของประกาศเลยว่า คณะวิศวะแข่งบอลแพ้คณะวิทย์ด้วยคะแนนสองต่อสาม! และที่แพ้ก็เพราะเวลามันเผือกหมดพอดีตอนผมยิงลูกเข้าโกล์ลพอดีไง นกทั้งปีทั้งชาติก็ผมเนี่ยแหละ!
     ป่านนี้ไม่รู้ว่าไอ่รุ่นพี่นั้นกับลู่หานไปกันถึงไหนบ้างแล้วก็ไม่รู้ ผมจำใจยอมทำตามข้อตกลงที่รับปากก่อนการแข่งขันไว้ว่าถ้าแพ้เมื่อไหร่จะเลิกเป็นไม้กันหมาให้ลู่หาน
     หลังการแข่งแพ้ผมก็ไม่ได้ไปคณะศิลปกรรมอย่างที่เคยทำ น้องแบมแบมแฟนไอ่มาร์คที่มาแวะเวียนที่วิศวะบ้างก็ถามผมว่าหมู่นี้ไม่เห็นค่อยไปหารุ่นพี่สาวที่คณะเลย ใจผมนี่อยากจะตะโกนออกไปมากว่า ‘กูก็อยากไปหาจะตายอยู่แล้วเว้ย!’ ก็ได้แค่คิดนั่นแหละแต่ทำไม่ได้หรอก
     “มึงไม่ควรนั่งทำหน้าเหมือนคนขี้ไม่ออกมาสามวันนะเพื่อน” ไอ่หมอตบบ่าผมปุๆ “คนนกอย่างมึงยังไงก็นกอยู่วันยังค่ำ”
     “ถ้าจะปลอบกูแบบนี้นะไอ่หมอ ไปไกลๆบาทากูเลยนะมึง” ผมว่ามันก่อนจะกลับไปนั่งอมทุกข์ต่อ ผมมองไปทางไหนก็เห็นเพื่อนมีแฟนกันหมด แล้วผมล่ะ? ต้องนกอย่างเดียวดายต่อไป นกอย่างที่ไอ่แทยงเคยบอกไว้จริงๆด้วย
     “งั้นคืนนี้พาไอ่ฮุนไปย้อมใจกัน กูจะเลี้ยงเองแล้วมึงจะนะหมอ” ไอ่จงแดเอ่ยขึ้น
     “คำพูดเหมือนจะดีนะไอ่จงแด ไอ่บ้า!” ผมปล่อยให้มันสองคนตบตีกันไปส่วนตัวเองเดินออกมาจากโรงอาหารของคณะ สายตาเหลือบเห็นใครคนหนึ่งกำลังปั่นจักรยานอยู่บนถนน เหมือนมีอะไรดลใจให้ผมจ้องมองที่เธอและเธอเองก็มองมาที่ผมเช่นกัน ไม่มีรอยยิ้มที่ผมเคยได้รับมาตลอดหกเดือนที่ผ่านมา เรื่องราวในครั้งนั้นย้อนกลับมาหาผมอีกครั้ง ลู่หานไม่ยิ้ม ไม่คุย แม้แต่มองยังไม่มีเลย ความสัมพันธ์ของเรามันน่าอึดอัดตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครบอกได้แม้แต่ตัวผมเอง 
     รถจักรยานปั่นไปไกลแล้วแต่ผมไม่สามารถละสายตาไปจากเธอได้ ผมยอมให้เธอเข้ามาต่อว่าดีกว่าหลบหน้าผม และเพราะว่าลู่หานเก็บความรู้สึกเก่งไว้ภายใต้รอยยิ้มสดใสเสมอ ผมเลยไม่เคยดูออกเลยสักครั้งว่าเธอกำลังรู้สึกอย่างไร
     “ยืนมองอยู่แบบนี้คงจะได้พูดกันอ่ะ” แฟนหมอเดินเข้ามาตบหลังผมดังอั่กจนผมจุกข้าวที่กำลังทานมาใหม่ๆ คยองซูยืนมองอยู่เช่นเดียวกับผมมาได้สักพักแล้ว
     “กูต้องทำตามที่รับปากไว้”
     “คือกูก็เข้าใจนะเว้ยว่าสัญญาต้องเป็นสัญญา แต่ถ้ามึงกับลู่หานเอาแต่แข่งกันหลบแบบนี้มันก็ไม่โอป่ะว่ะ ขนาดกูเป็นคนกลางกูยังอึดอัดแทนพวกมึงเลย”
     “...”
     “ในฐานะที่กูคือหนึ่งในดอกไม้ในหมู่ชายเถื่อน กูขอสั่งให้มึงเลิกหลบหน้าลู่หานแล้วไปปรับความเข้าใจกันซะ”
     นาฬิกาข้อมือของผมกำลังบอกว่าตอนนี้เวลาสี่โมงตรง ผมนั่งเหี่ยวอยู่ที่หน้าคณะวิจิตรศิลป์อย่างรอคอย ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาแถวนั่นก็ดูสนใจผมเหลือเกิน ทำไมน่ะหรอ? ผมแม่งเสือกใส่เสื้อชอปอยู่คนเดียว ไม่แปลกหรอกถ้าใครจะมอง
     ผมนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่บ่ายสองโมง เป็นเวลาสองชั่วโมงที่ดูยาวนานเหมือนสองปี แสงแดดยามเย็นเริ่มส่องมาทางที่ผมนั่งอยู่ ร่างกายของผมมันเมื่อยล้าเกินกว่าจะขยับตัวหนีแสงอาทิตย์ ใครต่อใครบอกว่ามันอบอุ่น แต่ผมกลับคิดว่ามันยิ่งทำให้ผมร้อนรุ่มในใจ
     เสียงดังจอแจเริ่มดังขึ้นเมื่อเหล่านักศึกษาชั้นปีที่สามกำลังทยอยกันออกมาจากคลาสเรียน สายตาของผมเริ่มมองหาคนที่คอยมาเกือบสองชั่วโมง ผมเห็นเธอพร้อมกับแว่นทรงกลมบนกรอบหน้าเล็กๆ ลู่หานคนนี้เป็นคนที่ผมรู้จักในสมัยที่ขึ้นมอปลายมาใหม่ๆ น่าแปลกที่ผมยังจำภาพเธอได้ไม่ลืม
     “ลู่หาน!/น้องลู่หานครับ!” มีอีกเสียงตะโกนแทรกผมเข้ามา รุ่นพี่ป๋อหรันวิ่งเหยาะๆไปทางที่ลู่หานกำลังยืนอยู่พร้อมดอกไม้ในมือ ลู่หานยิ้มนิดๆก่อนจะรับดอกไม้มา ผมไม่รู้ว่าเขาทั้งสองพูดอะไรแต่ท่าทางน่าจะสนุกไม่น้อย ผมเลือกที่จะเดินออกมาจากที่ตรงนั้น
ผมมันไม่มีสิทธิ์มาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วนี่...
     ผมเดินคอตกมารอรถราง สักพักรถก็มา ผมเดินสวนคนที่กำลังลงมาอย่างไม่สนว่าจะชนหรือไม่ชนใคร ตอนนี้ผมรู้สึกไม่โอเคเอามากๆ
     ผมกลับมาถึงหอพักตอนสี่โมงกว่า สองเท้าของผมมุ่งหน้าไปที่ห้องพัก ผมอยากนอนให้วันเวลาผ่านไปเร็วๆ พอถึงเตียงผมก็ทิ้งตัวลงนอน เรื่องงานขอทิ้งไว้ด้านหลังก่อน เมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกดีขึ้นผมจะไปทำมันอย่างแน่นอน
     ความรู้สึกหน่วงๆในอกนี่มันเรียกว่าเจ็บปวดได้รึเปล่า ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่น้ำสีใสไหลอาบสองข้างแก้มของผม ผมรู้ตัวแล้วว่าผมไม่ควรทำอะไรบ้าๆมาตั้งแต่ต้น ผมควรจะหยุดมัน.. หยุดความรักที่ผมมีต่อเพื่อนคนหนึ่ง ความคิดมันสวนทางกับความรู้สึก ผมไม่กล้าล้ำขอบเขตของคำว่าเพื่อนที่ลู่หานมีให้กับผม วันนี้ผมตั้งใจจะไปสารภาพว่าผมรักเธอมากแค่ไหน แต่สุดท้ายผมก็ถอยกลับมายืนในจุดที่ตัวเองเคยยืน ผมกลัวว่าถ้าบอกไปแล้วผมอาจจะเสียเธอไปและอีกอย่างเธอเองก็มีคนที่ชอบอยู่แล้วด้วย คนอย่างผมสู้อะไรไม่ได้เลยสักนิด
สายตาของผมเริ่มพร่ามัวจากน้ำตาที่เอ่อล้น ผมหลับตาลงก่อนจะจมดิ่งลงไปในห้วงของความมืด
     หลังจากสอบครั้งสุดท้ายของภาคชั้นปีที่สาม ผมสะพายกระเป๋ามายืนรอรถที่ขนส่ง ผมจะกลับบ้านไปเยี่ยมหาแม่และกะจะอยู่ที่นั่นสักอาทิตย์ พอรถมาถึงผมก็ขึ้นไปนั่งแถวริมกระจก ข้างๆผมเป็นคุณปู่วัยหกปีที่แต่งด้วยโคตรเท่ ผมช่วยยกกระเป๋าของท่านไว้ที่ชั้นวางสัมภาระ 
     “ขอบใจมากนะนักศึกษา”
     “ครับ? ไม่เป็นไรครับลุง” ผมแปลกใจนิดหน่อยที่ลุงคนนี้เรียกผมว่านักศึกษาทั้งๆที่ผมไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษาเลยแต่อย่างใด ท่านยิ้มให้กับผมก่อนจะกล่าวสิ่งที่ทำให้ผมหายสงสัย
     “ฉันเป็นอธิการบดีของคณะศิลปกรรมน่ะ เธอไม่รู้จักฉันก็คงไม่แปลกหรอก”
     “แล้วลุง.. เอ่อ..อาจารย์รู้ได้ไงครับว่าผม...”
     “ฉันเห็นเธอมาที่คณะบ่อยๆ มาหาใครหรอ?”
     “เพื่อนครับ” 
     “เพื่อนที่เธอกำลังคิดไม่ซื่อใช่มั้ยล่ะ? ฉันก็พอจะดูออก”
     “ครับ” ผมตอบไปตรงๆ 
     “ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะพูดหรือทำอะไรไป ฉันก็เคยนะตอนสมัยหนุ่มๆเท่าเธอนี่แหละ คิดแล้วก็คิดถึงจริงๆ” อาจารย์ยิ้ม
     “ทำไมหรอครับ?”
     “ตอนแรกฉันก็เผื่อใจไว้บางแล้วถ้าต้องสารภาพความรู้สึกออกไป และมันก็เป็นไปอย่างที่ฉันคิด เธอไม่ได้ตอบตกลงอะไรเลยนอกจากจะยื่นแผ่นกระดาษเล็กๆส่งให้”
     “ในนั้นมีสมการเลขที่ฉันไม่เคยทำได้ ฉันเลยต้องให้เพื่อนต่างคณะมาช่วยแก้ให้ เธอรู้มั้ยว่ามันแก้ออกมาได้อะไร”
     “เบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนที่ฉันแอบชอบมาโดยตลอด เธอเองก็รู้ใช่มั้ยว่าสมัยนั้นโทรศัพท์ยังไม่ได้แพร่หลายขนาดนี้ มันวิเศษมากเลยนะรู้มั้ย” 
     “อาจารย์น่าอิจฉาจังเลยนะครับ”
     “เธอเองก็น่าอิจฉาไม่ต่างกับฉันหรอก” ท่านยิ้มก่อนจะหยิบเอาหนังสือเล่มเล็กในกระเป๋าออกมาเปิดอ่าน ผมไม่ได้เซ้าซี้อะไรท่านต่อแม้จะไม่เข้าใจประโยคล่าสุดที่ท่านเอ่ยออกมาก็ตามเถอะ เราต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัวของเราแต่ละคน 
ถึงจุดหมายของอธิการบดีที่กำลังจะปลดเกษียณ(ท่านบอกผมก่อนลงจากรถ) ผมไม่ยักกะรู้ว่าท่านเองก็เป็นคนที่อยู่แถวนี้ รถโดยสารไม่ประจำทางจอดๆหยุดๆมาตลอดจนมาถึงบ้านของผม ร้านดอกไม้เต็มไปด้วยผู้คนที่มากกว่าปกติ ผมเดินฝ่าวงล้อมของบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่เข้าบ้าน ผมตรงไปหาแม่ที่กำลังก้มๆเงยๆของของด้วยความคิดถึง
     หมับ!
     “ถาเถรยายชี”
     “คิดถึงแม่จังเลย”
     “ตาฮุน! แม่ตกอกตกใจหมด” แม่ตีแขนผมดังเพี๊ยะจนคนที่อยู่ในร้านมองกันเป็นตาเดียวด้วยความเอ็นดู
     “เซอร์ไพร์สไงครับ แล้วนี่กำลังทำอะไรอยู่อ่ะ คนเยอะเชียว”
     “ก็งานแต่งลูกสาวป้าข้างบ้านเค้า เค้ามาจ้างแม่จัดก็เลยยุ่งๆ”
     “ถึงว่าทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์ผม”
     “มาเหนื่อยๆก็ไปนอนพักเถอะลูก เจ้าอ้วนมันนอนเฝ้าหน้าห้องลูกทุกวันเลยนะ อย่าลืมไปเดูมันด้วยล่ะ” แม่ว่าก่อนจะขอตัวไปทำงานต่อ ผมแบกกระเป๋าเดินขึ้นชั้นสองไปที่ห้องนอนของผม มีหมานอนตายอืดขวางประตูด้วยแหละ เจ้าอ้วนที่น่ารักของผมไง
     “อ้วน” พอมันได้ยินเสียงผมเท่านั้นแหละ เจ้าสุนัขพันธุ์ปั๊กก็ลืมตาขึ้นและลุกมาอ้อนผมทันที ผมลูบหัวมันสองสามทีก่อนจะเปิดประตูห้องเข้าไป 
     ห้องสะอาดเรียบร้อยกว่าตอนที่ผมอยู่ซะอีกเพราะแม่ขึ้นมาทำความสะอาดให้อาทิตย์ละหน ผมล้มตัวนอนลงบนที่นอนลายสก๊อต มองเพดานที่ว่างเปล่าก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเคยเก็บหนังสือการ์ตูนสมัยเด็กไว้อยู่ ผมเด้งลุกจากเตียงตรงไปยังตู้หนังสือ พอเปิดตู้เท่านั้นแหละ กลิ่นของหนังสือเก่าก็ลอยมาปะทะเต็มๆ สองมือของผมค้นหาหนังสือที่ว่าก่อนจะเจอมันในตู้ด้านในสุด แต่ตอนที่ผมกำลังจะเอามันออกมาก็มีกล่องกระดาษสีน้ำตาลร่วงลงมา
     ของที่อยู่ในกล่องกระเด็นออกมา มีเสื้อนักเรียนที่เต็มไปด้วยสีเมจิก รูปถ่ายในวันจบการศึกษาตอนป.หก ม.สาม ม.หก รูปที่ห้องของผมถ่ายร่วมกับคณะครูของม.สามกับม.หกและของเล่นตอนสมัยอยู่ประถม มีของเล่นบางอย่างที่มันสะดุดตาจนผมต้องหยิบขึ้นมาดู 
     โซ่สีน้ำเงินสว่างคือของเล่นของผู้หญิงที่ผมได้รับมาจากลู่หาน มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เพื่อนผู้หญิงในห้องเอาโซ่มาเล่นกัน ผมเคยลองไปเล่นด้วยแล้วก็แพ้ไปทุกรอบ ลู่หานเลยให้ผมมาเป็นไว้เป็นของนำโชคเวลาเล่น ผมไม่เคยเห็นว่ามันจะนำโชคตรงไหนเลย 
     ผมเลิกสนใจสิ่งของพวกนั้น ผมเก็บมันไว้ที่เดิมที่มันควรจะอยู่ ลึกสุดในตู้ใบนี้เหมือนกับอะไรบางอย่างที่ผมเลือกเก็บไว้ลึกสุดใจ
     หนังสือการ์ตูนกองใหญ่ที่มัดรวมกันไว้ด้วยเชือกฟางถูกตัดออกก่อนที่ผมจะหยิบเล่มแรกออกมาอ่าน
เวลาผ่านไปจนแสงภายในห้องเริ่มมืดลง ผมวางการ์ตูนเล่มที่สิบกางไว้ก่อนจะลุกออกไปที่ระเบียบ มีตึกรามบ้านช่องเพิ่มขึ้นมาเหมือนดอกเห็ด ผมจำได้ว่าเมื่อตอนผมอยู่ม.หก พื้นที่รกร้างหลังบ้านยังไม่มีใครมาซื้อเลยแต่ตอนนี้กลับมีบ้านนำสมัยหลังใหม่สร้างเสร็จแล้วซะงั้น เวลานี่ผ่านไปเร็วจริงๆนะ
     “เซฮุน! แม่ไปช่วยงานแต่งข้างบ้านนะ ลูกออกไปหาอะไรกินเองนะ” แม่ตะโกนขึ้นมาจากชั้นล่าง
     “ค้าบบ” ผมขานรับ ตอนนี้ผมไม่มีกะจิตกะใจออกไปหาข้าวกินตอนสี่โมงกว่าหรอก ผมเปิดไฟในห้องสว่างขึ้นก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งพิงข้างเตียงและหยิบเอาหนังสือที่กางทิ้งไว้ขึ้นมาอ่านต่อ
     Rrrrr
     เสียงรบกวนดังขึ้นอีกครั้งในไม่กี่นาทีต่อมา ตาของผมยังจดจ้องกับหนังสือในขณะที่มือควานหาตัวส่งเสียงในกระเป๋า ผมกดรับก่อนจะกรอกเสียงลงไป
     “สวัสดีครับ เซฮุนพูดสายครับ”
     (เชี่ยฮุน มึงหาไปไหนเนี่ย กูไปหามึงที่ห้องก็ไม่อยู่ โทร.ไปก็ไม่รับ)  เป็นจงแดที่โทร.หาหาผม เสียงของเขาร้อนรนมากจนผมแปลกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น
     “กลับบ้าน มึงมีอะไรวะ?”
     (เปล่า เห็นช่วงนี้มึงดูซึมๆไป พวกกูก็เลยเป็นห่วง)
     “กูโอเคดี พวกมึงไม่ต้องห่วง”
     (ได้ยินเสียงมึงก็โอเค กูนึกว่ามึงจะเฮิร์ตหนักไปแขวนคอตายใกล้ต้นมะเขือแล้วซะอีก)
     “ขอบใจมากนะเว้ยที่เป็นห่วง กูมาอยู่บ้านสักอาทิตย์แล้วก็กลับ อยากได้อะไรมั้ย?”
     (มึงนี่ก็ถามอะไรแปลกๆ ไอ่ห่านี่)
     “ด่ากูเฉย”
     (พวกกูไม่เอาอะไรหรอก แค่นี้นะเว้ย)
     “เออ ไว้เจอกัน”
     ติ๊ด!
     เพื่อนสนิทวางสายไปแล้ว ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ผมตั้งใจว่าจะอ่านการ์ตูนอีกห้าเล่มที่เหลือให้จบก่อนจะออกไปหาข้าวกิน เสียงดนตรีจากบ้านงานเริ่มดังขึ้นจนทำลายความตั้งใจของผมไปซะหมด นั้นทำให้ผมต้องออกจากบ้านมาเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวตลาด ผมเดินไปแบบไร้จุดหมายก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ร้านขายน้ำปั่น
     “รับอะไรดีจ้ะ” เสียงใสแจ๋วของแม่ค้ามันคุ้นๆจนผมต้องเงยหน้ามอง
     “มีอา! มีอาใช่มั้ย?”
     “อ้าว! ไอ่ฮุนห้องหนึ่ง มาไงไปไงเนี่ย” เธอถามขึ้น เป็นเวลาสามปีกว่าแล้วครับที่ไม่ได้เจอเพื่อนเก่าสมัยเรียน โซมีอาเป็นเด็กแผนศิลป์ ผมรู้จักเธอได้เพราะเคยเป็นตัวแทนทำอะไรสักอย่างเนี่ยแหละ ผมก็จำไม่ค่อยได้แล้ว ผมก็ไม่คิดว่าจะมาเจอเธอได้ที่นี่
     “มึงนั่งๆ มาช่วยกูเรียกลูกค้าสาวๆเลย หล่อขึ้นเยอะจนกูแทบจำไม่ได้”
     “มึงก็เว่อร์ไป” ผมว่า ไม่นานก็มีลูกค้าสาวๆที่เป็นนักเรียนมากันเต็มแผงลอยมันเลยครับ ดีกรีอดีตเดือนวิศวะขนาดนี้ใครๆก็ต้องมอง อันนี้ผมไม่ได้พูดเพ้อเจ้อนะ
     น้ำปั่นแก้วยี่สิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มีอาเลยอาสาจะพาผมไปเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวตอบแทนเพราะตอนนี้ก็เริ่มดึกแล้ว ผมช่วยมันเก็บของใส่รถพ่วงโดยมันเป็นคนขี่และให้ผมซ้อน
     หมดกัน ดีกรีเดือนวิศวะของผม!
     ชายสี่หมี่เกี๊ยวคือร้านที่ผมและมีอามาฝากท้องในตอนดึก เราสองคนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง เมื่อก๋วยเตี๋ยวหอมๆมาเสิร์ฟเราก็หยุดคุยและนั่งใช้ตะเกียบคีบเส้นใส่ปากอย่างเดียว ผมกินไปสองชามแหนะ
     “แดกเยอะไปละมึง” มีอาพูดขึ้นหลังจากที่เราออกมาจากร้านแล้ว ผมทำหน้าเฉยๆไม่ได้โต้ตอบอะไร ปกติก็กินแค่ชามเดียวแหละแต่วันนี้ไม่รู้ว่าเป็รเพราะอะไรถึงทำให้ผมซัดไปถึงสองชาม
     “ได้ข่าวว่าไอ่จงอินมีแฟนแล้วหรอ?” มีอาถามขึ้น ผมพยักหน้าไปตามความจริง มีอามีสีหน้าเศร้าลงไปแต่ก็ยังยิ้มออกมาได้
     “กูนึกว่ามึงจะ..”
     “ถ้าเลิกชอบได้ก็ทำไปนานแล้ว แต่กูก็โอเคนะ” มีอายิ้ม “แล้วมึงกับคนที่ชื่อลู่หานล่ะ เป็นถึงขั้นไหนกันแล้ว”
     “ก็แค่เพื่อนนี่แหละ”
     “มึงพูดแบบนี้หมายความว่าไง?”
     “ก็เป็นได้แค่นั้นแหละ ดีไม่ดีกูอาจจะไม่ได้เป็นอะไรกับเค้าเลยก็ได้”
     “มึงชอบคิดเองเออเองตลอดอ่ะ ถามเค้ารึยัง”
     “ก็...ไม่ได้ถาม”
     “เห็นมั้ย มึงควรไปถามเค้า”
     “มึงก็เหมือนกันเถอะ อย่ามาสอนกูหน่อยเลย” 
     “แต่กูก็เคยบอกแล้วป่ะวะ ไม่เหมือนมึงหรอก ทั้งๆที่มีโอกาสตั้งมากตั้งมายขนาดนั้นแต่กลับไม่ทำห่าอะไรเลย”
     “เจ็บสัส”
     “กูจะคอยสมน้ำหน้าในวันที่เค้าสะบั้นรักมึง!” พูดจบมันก็ขี่รถจากไปทิ้งผมไว้ที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ผมเลยจำเป็นต้องเดินกลับบ้านอย่างเดียวดาย 
     พอเดินเข้ามาในซอยเข้าบ้าน เสียงดนตรีดังจนมาถึงปากซอยเลยทีเดียว ป่านนี้คนในงานไม่หูแตกกันแล้วรึไง แถมอีกอย่างนะ ผมจะได้หลับตอนกี่โมงกัน
     ผมไขกุญแจบ้านก่อนจะเข้าไป แม่ยังไม่กลับและผมต้องอยู่คนเดียว ผมพาตัวเองขึ้นไปบนห้อง เจ้าอ้วนนอนสบายอยู่ที่พรมเช็ดเท้า พอมันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างก็จะเงยหน้ามองและหลับต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน 
     ผมเดินเข้าไปในห้องมืดๆ มีเพียงแสงไปจากไฟถนนเท่านั้น เสียงจากบ้านงานยังดังอย่างต่อเนื่องและหยุดลงเมื่อเสียงพิธีกรเริ่มพูดขึ้น มันไม่ได้มีสาระอะไรเท่าไหร่ ผมนอนลงบนเตียงและฟังเสียงที่แว่วมาตามลม
     ‘เจ้าบ่าวพบรักกับเจ้าสาวได้ยังไงคะ’
     ‘ผมเจอเธอสมัยเรียนมหาวิทยาลัยครับ ตอนแรกก็เป็นแค่เพื่อนแหละครับ ไปๆมาๆก็รักกันซะงั้น’
     ‘แล้วเจ้าสาวหล่ะคะ’
     ‘อย่างที่เค้าพูดแหละค่ะ เค้าเพิ่งมาบอกฉันก่อนเราสองคนจะเรียนจบ ว่าเค้ารักฉัน’ 
     ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเป็นส่วนเกินทั้งๆที่ก็อยู่บ้านแค่คนเดียวนะ
				 
			
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in