วันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2560
เช้าวันอังคารที่ควรจะเป็นวันปกติที่ได้ไปโรงเรียนกลับกลายเป็นเช้าวันแรกของสองเดือนมานีี้ที่รู้ตัวเองว่าจะมุ่งไปทางไหน ทำอะไร ใช่วันนี้เราจะไปหาหมอ จิตแพทย์ เนื่องจากสองวันที่ผ่านมาอาการของเรามันเริ่มกำเริบขึ้นมากถึงขั้นควบคุมหน้ากากที่ตัวเองสวมไม่อยู่ แต่ก็ยังชั่งใจว่า เรานะควรไปหาจริงๆหรอ เรากำลังแสดงละครอยู่หรือเปล่า เรากำลังเฟค หรือตอนนี้เรากำลังอ่อนแอเกินไปหรือเปล่า?แต่สุดท้ายเมื่อคิดถึงแสงสว่างที่ฉายออกมาในความมืดนั้น เราก็ไม่ลังเลที่จะยื่นมือออกไปหาแสงเหล่านั้น
เราอยู่ตัวคนเดียวมาเดือนกว่าๆราวสองเดือนก็ว่าได้ ทำให้มีเวลากับตัวเองเวลาที่จะฟุ้งซ่านคิดแต่เรื่องในอดีตและเรื่องของตัวเอง เราออกเดินทางพร้อมกับเพื่อนที่สำคัญกับเราที่สุดในวันที่เราไม่มีใครเข้าใจเธอก็ไม่มองว่า สิ่งที่เราเป็น เป็นเรื่องขำๆที่แค่ทำสมาธิและทำตัวให้ร่าเริงมันก็จะหายไป เราโชคดีที่มีคนมองเห็นว่า การขอความช่วยเหลือจากเราเป็นเรื่องที่เธอควรยื่นมือมาช่วย
เราเดินทางไปโรงพยาบาล A แต่กลับเดินร้องไห้ออกมา เพราะอายุไม่ถึงประกอบกับแค่เจ้าหน้าที่ถามถึง พ่อแม่ หรือ อาศัยอยู่กับใคร และพูดว่าไม่สามารถตรวจวันนี้ได้ เพราะต้องนัดล่วงหน้า ทำให้เหมือนแสงสว่างที่เราวาดไว้ดับไปในพริบตา ทำให้เดินออกมาจากโรงพยาบาลพร้อมน้ำตา
เราคิดว่าถ้าเราเป็นภาระสังคมขนาดนี้มันคงถึงเวลาที่ตัวเองควรซื้อยาอะไรสักอย่างและกินเข้าไปจะได้หายไปจากที่นี้สักที แต่ในใจกลับกลัวเหลือเกิน สุดท้ายก็ยังยืนกรานที่จะหาโรงพยาบาลแถวนั้นแล้วเราก็เจอโรงพยาบาลที่รับเด็กไม่ถึง 18 อย่างเราเข้ารับการรักษา
เรานั่งรถไปโดยที่เวลาตอนนั้นราวๆ 11 โมง ในใจได้แต่คิดว่าหมอเลิกตอน 12 โมง เราคงไม่ทันและไม่มีวันจะมาอีกแล้วถ้าไม่ได้รับการักษาครั้งนี้ ก็จะขอเวลาหยุดเรียน เก็บตัว เพราะไม่ไหวกับทุกสิ่งที่แบกรับไว้อีกต่อไปแล้ว
แต่ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เราทัน เราได้รับบัตรคิวที่ 7 เราโดนซักถามประวัติก่อนจะเข้าไปหาจิตแพทย์ ไม่รู้เพราะอะไรน้ำตาที่มีก็ไหลออกมาอีกครั้งแค่ถามถึงเรื่องราวชีวิตและประวัติส่วนตัว แพทย์ใจดีมากค่อยๆพูดด้วยความเข้าใจเรา ไม่ถามด้วยความรุนแรงสุดโต่งไปอย่างเช่น เคยอยากฆ่าตัวตายไหม ? เหมือนโรงพยาบาลแรกที่ไปมา
เมื่อถามประวัติเสร็จก็มีถึงเวลาเข้าถึงการตรวจ เราเดินเข้าไปไหว้หมอโดยที่หมอนั้น พูดด้วยน้ำเสียงแลกเรียกชื่อเรา ก่อนจะมานั้นเราได้นึกถึงว่า จิตแพทย์ จะมีวิธีทำให้เราปริปากได้ยังไงกันแต่นั้นละพอไปถึง คุณหมอแค่ถามว่า
" หมอได้ทราบประวัติแล้ว หนูพอจะมีเรื่องอะไรที่พอเล่าให้หมอฟังและอยากให้ช่วยไหม ? "
น้ำตาเราก็ไหลออกมาอีกครั้งครั้งนี้สะอื้นแรงมากร้องไห้จนตกใจตัวเองค่อยๆเล่าชีวิตและความเจ็บปวดออกมา ทุกอย่างพรั่งพรูออกมา แต่ครั้งนี้ที่ไม่เหมือนทุกครั้งคือ มีคุณหมอคอยเยียวยาบาดแผลด้วยคำพูด เราเริ่มรู้สึกดีที่มีคนเข้าใจเรามากขนาดนี้
คุณหมอบอก " หนูเก่งมากเลย หมอไม่ได้แกล้งชมที่อดทนมาได้ขนาดนี้ หนูคิดถูกแล้วที่จะมาหาหมอที่นี้มาเล่าให้หมอฟัง "
ทำให้เรารู้สึกไม่เป็นภาระและเราก็คุยกับหมอไปเรื่อยๆจนเลยเวลาทำงานหมอไป 15 นาที หมอบอกว่า
" หนูจะให้เวลารักษาตัวเอง 1-2 เดือนได้ไหม? "
เรานิ่งไปพักนึงไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นหนักขนาดนั้น เพราะถึงแม้จะมาถึงขั้นนี้เราก็รู้สึกตัวเองอ่อนแออยู่ดี แต่อีกด้านนึงเราเริ่มรู้สึกแล้วว่าเราไม่เคยรักตัวเองเลย เราควรจะเริ่มต้นไหม จากตอนนี้ที่มีคนยื่นมือมาช่วย
เราถามว่ายังไง หมอก็บอกว่า ต้องกินยาตามที่หมอบอกนะ มาหาหมอทุกเดือน ในใจเราอยากจะปฏิเสธเพราะไม่ได้บอกแม่ไว้เลยว่ามาหาหมอเนื่องจากเขาไม่เข้าใจเรา คิดว่าเราคิดมากไปเอง แต่สุดท้ายเราตอบตกลง
" อะไรก็ได้ให้หนูไม่เป็นแบบนี้ " เราตอบไป
เราได้ยารักษาโรคซึมเศร้าและยานอนหลับ ตลอดการรักษาที่เราชอบมากๆเกี่ยวกับหมอคนนี้คือ เขาไม่เคยพูดออกมาเลยว่า เราป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เขาปฏิบัติกับเราราวเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่สามารถแตกสลายได้ และเจ็บปวดได้
เรากลับบ้านมาพร้อมความโล่งในหัวรู้สึกสบายใจ
แม่ก็ส่งข้อความมา และเราก็เริ่มร้องไห้ ทั้งแม่และเราเริ่มร้องไห้ต่างฝ่างต่างพยายามโทษตัวเอง
ตอนนี้เรารู้สึกแย่ที่เราเป็นแบบนี้ แต่เราจะรับหายและกลับมารักตัวเองให้มากที่สุด
แต่มันต้องใช้เวลา และไม่รู้ว่ามันจะนานเท่าไหร แต่วันนี้เราก็ได้เริ่มมันแล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in