เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เอลล่าผู้ต้องมนตราPurin
Chapter EIGHT


  • ผมเป็นเด็กตัวเล็ก เขาเป็นเด็กตัวสูง

    "มานี่สิ ฉันจะแสดงอะไรให้ดู"

    เขากวักมือเรียก ผมวิ่งไปหาอย่างค่อนข้างเชื่องช้า แต่เขาก็มักจะรออยู่เสมอ

    "นี่" เด็กชายยื่นกริชเงินวาววับให้ผมดู ขนาดมันค่อนข้างจะใหญ่ไปหน่อยสำหรับเด็กสิบขวบ แต่เขาก็สามารถถือมันได้อย่างเหมาะมือ

    เด็กชายส่งกริชมาให้ผม

    "ขว้างมันสิ" เขาบอก

    "ขว้างไปไหน?"

    "ขว้างไปไหนก็ได้"

    ผมย่นคิ้วอย่างลังเล "แน่ใจเหรอ?"

    "ขว้างไปเถอะน่า" เด็กชายยิ้ม ผมจึงยอมขว้างมันออกไปอย่างเสียมิได้ กริชลอยหวือ และร่วงลงไปในบ่อน้ำ

    "โอ้..." ตอนนั้นผมคิดว่าซวยแน่แล้ว แต่เด็กชายยื่นมือไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น

    "กลับมาหาฉัน!" เขาเปล่งวาจาเต็มเสียง ฉับพลันนั้นเองกริชก็ลอยละลิ่วไต่ขึ้นจากบ่อกลับเข้ามาอยู่ในมือเขาอย่างน่าอัศจรรย์

    "ว้าว!" ผมทำตาโต ส่งผลให้เด็กชายยิ้มอย่างภูมิใจ

    "มันเป็นกริชวิเศษ" เขาอวด "มันจะกลับมาหาเจ้าของเสมอ พ่อให้ฉันไว้เป็นเครื่องราง พ่อบอกว่าหากใช้มันไปในทางชั่วร้าย กริชจะเปลี่ยนเราให้กลายเป็นปิศาจ"

    ผมนิ่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ตื่นเต้นไปกับอำนาจของอาวุธวิเศษ ก่อนจะเอียงคอเล็กน้อยเชิงสงสัย

    "แล้วถ้าเราใช้มันไปในทางที่ดีล่ะ?" ผมถาม

    เด็กชายทำหน้าครุ่นคิด "มันใช้ไปในทางที่ดีได้ด้วยหรือ?"

    "ไม่รู้สิ" ผมสั่นหน้า "อาจจะได้"

    เด็กชายยักไหล่ เสียบกริชเข้าสายรัดเอว "ถึงตอนนั้นเดี๋ยวเราก็รู้เองแหละ"

    ทันใดนั้นมีเสียงตะโกนดังมาจากทางฝั่งถนน เรียกเด็กชายให้กลับไปหา 

    "ฉันต้องไปแล้ว" เขาบอก "คืนนี้อย่าลืมนะ"

    "แต่---"

    เสียงเรียกดังแทรกอีกครั้ง

    "นายสัญญาแล้วนะ!" แล้วเขาก็วิ่งแผล็วออกไป

    คืนนี้มีงานแสดงละครในหมู่บ้าน

    เด็กๆ ถูกห้ามไม่ให้ออกไปเล่นซน เนื่องจากเป็นงานเลี้ยงฉลองของผู้ใหญ่ ผมไม่ค่อยเข้าใจนักว่างานเลี้ยงของผู้ใหญ่เป็นอย่างไร แม้แต่ตอนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม

    "ทางนี้" เด็กชายกระซิบเรียก "นายมาช้าจัง"

    "ขอโทษ แม่ฉันไม่ยอมเข้านอนสักที ฉันก็เลยออกมาไม่ได้"

    "ช่างเถอะ" เขาตัดบทอย่างไม่ใคร่จะจริงจังนัก "มาเร็ว การแสดงจะเริ่มแล้ว"

    เราสองคนวิ่งลัดเลาะไปตามบ้านเรือน ฝ่าไปในดงความมืด จุดหมายคือแสงไฟกลุ่มใหญ่ด้านหน้าซึ่งมีคาราวานตั้งอยู่

    "โอ้ย ไม่นะ เขาจะแสดงจบแล้ว" เด็กชายแอบย่องไปหลังพุ่มไม้ ผมย่องตาม มองเลยกลุ่มคนที่กำลังกระดกของเหลวรสขมที่มีฟองไปยังเวทีเตี้ยๆ ซึ่งสร้างจากลังเหล้าต่อกันแล้วปูทับด้วยกระดาน ประดับดอกไม้แห้ง และมีผ้าผืนใหญ่สีแดงทึมเป็นฉากหลัง

    ละครดำเนินไปจนเกือบจะถึงตอนจบแล้ว

    "ตายเสียเถอะนังปิศาจร้าย!" เสียงของนักแสดงชายบนเวทีดังก้องบริเวณ ผู้คนโห่เชียร์ยินดีเมื่อถึงฉากที่เขาตัดหัวเมดูซ่าออกจากลำคอ

    "โอ้ ท่านนักรบ" นักแสดงหญิงในชุดผ้าคลุมสีขาววิ่งถลาเข้ามากอดผู้กล้าบนเวที "ท่านช่วยข้าไว้! ข้ารักท่าน" นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

    "โอ้ ข้าก็รักท่านเช่นกัน เจ้าหญิง"

    ชายหนุ่มประคองใบหน้าของหญิงสาวไว้ ประสานสายตาชื่นมื่น ก่อนจะประทับริมฝีปากของเขาลงบนกลีบนุ่มของอีกฝ่ายอย่างดูดดื่ม เสียงปรบมือเกรียวกราวและเสียงผิวปากวี้ดวิ้วดังตามมาเป็นระลอก 

    "นั่นเขาทำอะไนกันน่ะ" ผมถาม หรี่ตาสู้แสงเทียน

    "เขาจูบกัน" เด็กชายตอบ

    "ทำไมล่ะ?" ผมถามอีก

    "เพราะเขาบอกว่าเขารักกันและกันไง" เด็กชายกระซิบ

    "อ้อ..." ผมพยักหน้า 

    ในขณะที่นักแสดงทุกคนออกมายืนโค้งคำนับผู้ชม ทันใดนั้นก็มีคนหันมาทางเรา

    "นั่นใครน่ะ!"

    "หนีเร็ว!" เด็กชายดึงแขนผมแล้วออกวิ่ง เราวิ่งเร็วจี๋เท้าที่ขาเล็กๆ ของเราจะพากันไปได้ เราหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง ทั้งตื่นเต้น ทั้งเหนื่อยหอบ จนเรามาเอกเขนกล้มลงที่ริมน้ำพุใกล้โบถส์

    "ขอโทษนะ เลยได้ดูไปนิดเดียวเอง" ผมพูด 

    "ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยฉันก็ได้เห็นฉากตัดหัวเมดูซ่า" เด็กชายตอบ เอื้อมมือไปบนฟ้าคล้ายหมายจะคว้าดวงจันทร์

    "รู้ไหม...โตขึ้นฉันจะเป็นอัศวิน" เขาบอก น้ำเสียงมุ่งมั่นและจริงจัง ความมืดโดยรอบทำให้มองไม่ชัดนัก แต่ผมเห็นว่าเขากำลังยิ้ม

    "แต่...มันจะไม่อันตรายเหรอ?" ผมถาม 

    เด็กชายลุกขึ้นนั่ง "ก็ใช่ แต่นายรู้อะไรไหม" ผมลุกตาม เขาหันมายิ้มให้ ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลอันสดใสนั่นส่องประกาย เจิดจ้าเสียยิ่งกว่าดาวประดับที่กำลังลอยล่องอยู่บนม่านฟ้า

    "จงมีชีวิตอยู่อย่างกล้าหาญ และไม่ยอมแพ้ต่ออะไรทั้งสิ้น..."

    เขายิ้ม

    รอยยิ้มของเขาทำให้เกิดประกายบางอย่างในใจผม


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in