FanFic เรื่องนี้อิงจากภาพยนตร์ Elvis (2022) และได้แรงบันดาลใจจากภาพชุด 'The Kiss' Elvis Presley and Mysterious girl in 1956
_______________________
I can't walk out
Because I love you too much, baby
Why can't you see
What you're doing to me
When you don't believe a word I say?
SuspiciousMinds - Elvis Presley (1968)
จะตายอย่างถูกลืม หรือจะมีชีวิตเพื่อสร้างสิ่งยิ่งใหญ่
ลุงเจคเป็นญาติเพียงไม่กี่คนที่คุณมีในชีวิต ไม่มีใครอยากสุงสิงกับเขานักเพราะความเพี้ยนของอีกฝ่าย หลายคนบอกว่ามันเป็นผลกระทบจากอุบัติเหตุในอดีตที่ทำให้สมองไม่ค่อยดีนัก และมักจะละเมอเพ้อพกถึงเรื่องของการย้อนเวลาเสมอ
คุณเคยฟังเรื่องเล่าของอีกฝ่ายมาเป็นพันครั้ง ทั้งเรื่องที่ลุงเจคได้ไปดูคอนเสิร์ตครั้งแรกของเดอะบีเทิลล์ อยู่ในเหตุการณ์ตอนจอห์น เอฟ เคเนดี้ถูกฆ่า หรือการได้กุ๊กกิ๊กกับมาริลีน มอนโรววัยสาว ช่างเป็นเรื่องที่เพ้อเจ้อเสียไม่มี แต่คุณก็ทนฟังมาตลอด ไม่ใช่แค่ในฐานะของหลานสาวที่ดี แต่เพราะความสงสารที่มีต่อชายผู้โดดเดี่ยวขาดมิตรสหายคนนี้
ความดีของคุณส่งผลฉับพลันหลังจากการตายของลุงเจคไม่นานนัก มรดกจากลุงถูกส่งมอบให้คุณเพียงผู้เดียว อันได้แก่บ้านย่านชานเมืองเมมฟิสหลังใหญ่ และข้าวของทุกอย่างของอีกฝ่าย นอกจากนี้ยังมีจดหมายก่อนตายอีกหนึ่งฉบับที่ทนายประจำตัวของลุงเจคกำชับหนักหนาว่าให้คุณเปิดอ่านเมื่อเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้เท่านั้น
เหมือนแพนโดร่าที่ได้รับกล่องปริศนาจากซุส หรืออีฟตอนที่เฝ้ามองผลแอปเปิลในสวนอีเดน แรงกระตุ้นบางอย่างชักจูงคุณสู่บ้านหลังนั้น เช่นเดียวกับความลับที่ซุกซ่อนอยู่ในเนื้อความจดหมายที่คุณเปิดอ่านอย่างอดใจไม่ไหว
ความลับที่ว่าประตูห้องใต้ดินของบ้านลุงเจคคือประตูที่สามารถย้อนเวลาได้!
ลุงเจคเรียกประตูบานนั้นว่า ‘อาร์มสตรอง’ ตามชื่อของชายคนแรกที่เหยียบเท้าบนดวงจันทร์ มันสามารถพาอะไรก็ตามที่ผ่านเข้าไปย้อนไปสู่ยุค 1956 ได้
เขายืนยันว่าเรื่องทุกอย่างที่เขาเคยเล่าให้คุณฟังล้วนเป็นเรื่องจริง เขาใช้เวลากว่าครึ่งค่อนชีวิตสู่การผจญภัยในอดีตที่คงไม่มีใครในปัจจุบันเชื่อ แต่เพราะความไว้ใจที่มีต่อคุณ เขาจึงเลือกที่จะส่งมอบการค้นพบอันล้ำค่าแก่คุณเพียงผู้เดียว หวังให้คุณได้สืบสานเจตนารมณ์ของเขา ในจดหมายยังทิ้งท้ายด้วยประโยคอันคุ้นเคยไว้ว่า
จะตายอย่างถูกลืมหรือจะมีชีวิตเพื่อสร้างสิ่งยิ่งใหญ่
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินกว่าที่คุณจะทำใจยอมรับได้ คุณคิดไปด้วยซ้ำว่าลุงเจคเพี้ยนอย่างสมบูรณ์แบบไปแล้ว แต่กลายเป็นว่าลุงเจคพูดความจริงทุกอย่าง และคุณเพิ่งจะยอมรับก็ตอนที่คุณเดินพ้นบานประตู และพบว่าเมืองเมมฟิสที่คุณเกิดและเติบโตไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เดือนกรกฎาคม ปี 1956 หรืออีก 66 ปีให้หลังนั่นแหละคือช่วงเวลาที่คุณได้ย้อนกลับมา
ในนิยายย้อนเวลาแทบทุกเรื่อง ล้วนมีจุดหมายปลายทางของเรื่องราวเสมอ
ย้อนเวลาเพื่อแก้ไขชะตากรรมในอดีต ย้อนเวลาเพื่อเป็นใหญ่เป็นโต แกรี่ ซู แมรี่ ซู ให้เต็มที่
คุณอ่านนิยายพวกนี้จาก AO3 จนแทบจะเดาพล็อตเรื่องของนิยายเหล่านี้ได้หมดแล้ว แต่ทว่าพอมันดันเกิดขึ้นจริงกับคุณ คุณไม่สามารถเดาห่าอะไรได้เลยสักอย่างเดียว
และสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือคุณดันไม่รู้วิธีเดินทางกลับไปสู่ยุคปัจจุบันเสียด้วยสิ
คุณคิดว่าคำตอบนี้คงน่าจะอยู่ในบ้านของลุงเจคนั่นแหละ อาจจะมีสมุดบันทึกที่มีรายละเอียดของทฤษฎีย้อนเวลาซึ่งน่าจะมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับคุณ แต่เพราะคุณดันทะลึ่งเปิดประตูเข้ามาก่อน เลยกลายเป็นว่าคุณโผล่มาที่นี่โดยไม่มีความรู้และไม่มีอะไรติดตัวสักอย่างเดียว นอกจากจดหมายบ้า ๆ ของลุงเจค กระเป๋าเงิน และไอโฟนหนึ่งเครื่อง
ไม่มีเหตุผล พระเจ้า พลังพิเศษโกง ๆ หรือคำอธิบายใด ๆ ทั้งนั้น…แม้แต่ทวิตเตอร์หรืออินเทอร์เน็ตก็ไม่มีให้ เฮงซวยสุด ๆ
แค่คิดว่าต้องใช้ชีวิตโดยไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็รู้สึกอยากตายเสียแล้ว
ไม่มีเวลาสำหรับการคร่ำครวญ เมื่อสิ่งที่สำคัญกว่าคือการใช้ชีวิตยังไงให้เป็นปกติสุขโดยไม่เป็นบ้าไปเสียก่อนในยุค 50s
คุณถอนหายใจแล้วกวาดตามองทุกสิ่งอย่างรอบตัวคุณอย่างพิจารณาถี่ถ้วน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั่วท้องถนนบิลสตรีทของย่านเมมฟิสที่คุณอาศัยอยู่ในช่วงเวลาแห่งอดีตกาลจะมีแต่คนผิวดำเดินพลุกพล่านเต็มไปหมด การเหยียดผิวที่รุนแรงในยุคนั้นทำให้คนขาวและคนดำแยกกันอยู่เป็นเอกเทศอย่างชัดเจน นั่นกลายเป็นเรื่องยากสำหรับคุณในฐานะลูกผสมที่แตกต่างทั้งจากคนดำและคนขาว
ความรู้สึกแปลกแยกของคนที่อยู่กึ่งกลางระหว่างสองเชื้อชาติ และกึ่งกลางระหว่างอดีตกับอนาคต ตอกย้ำชัดเจนในทุกครั้งที่หายใจ นี่ไม่ใช่ที่ของคุณ คุณรู้ดีแก่ใจ และคุณไม่ต้องการจะตายอยู่ที่นี่ คุณจำเป็นต้องเอาตัวรอดในอดีตและกลับไปสู่ปัจจุบันอย่างมีลมหายใจและมีอวัยวะครบทั้งสามสิบสองประการให้ได้
การดิ้นรนอย่างงกเงิ่นของคุณตลอดทั้งวันอย่างมุ่งมานะ ทำให้ในเวลาไม่นานคุณก็ได้กลายมาเป็นเด็กเสิร์ฟในบาร์ดนตรีแห่งหนึ่ง มันเป็นอาชีพที่ไม่จำเป็นต้องใช้วุฒิการศึกษาหรือมีประวัติใด ๆ นอกจากนี้คุณเองก็เคยทำงานพิเศษเป็นเด็กเสิร์ฟมาก่อนแล้วสมัยเรียนไฮสคูล ประสบการณ์ที่พอมีจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับการขายผ้าเอาหน้ารอดระหว่างที่หาทางกลับสู่ยุคปัจจุบันของตัวเอง ซึ่งคุณทำใจไว้แล้วว่าอาจจะต้องใช้เวลานานเป็นปี หรือเลวร้ายก็นั้นก็อาจจะหลายสิบปีเลยก็ได้
สิ่งหนึ่งที่คุณสังเกตได้หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต นั่นคือดนตรีเป็นความบันเทิงเพียงหนึ่งเดียวสำหรับกลุ่มคนดำ พวกเขาคลั่งไคล้การร้องและการเต้นยังกับว่าจะไม่มีโลกนี้อีกแล้วในวันพรุ่งนี้ ทุกค่ำคืนบาร์ดนตรีจะเต็มไปด้วยเสียงเพลงจากนักร้องทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นสารพัดมากมายแทบจะตลอดเวลา
แบร์รี่ผู้เป็นเจ้าของร้านและเจ้านายของคุณเคยโอ้อวดอยู่บ่อยครั้งว่าบาร์ของเขาคือจุดเริ่มต้นของนักร้องชื่อดังหลายต่อหลายคน ซึ่งเขาไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด มีหลายครั้งด้วยกันที่นักร้องโด่งดังจะมารำลึกความหลังครั้งเก่ากับผับแห่งนี้ มานั่งฟังเพลงบ้าง หรือบ้างก็มาร่วมร้องเพลงด้วยก็มี
ในฐานะติ่งเกาหลีที่จำหน้าสมาชิกวงบีทีเอสได้ครบทั้งเจ็ดคน คุณยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่ได้รู้จักคุ้นเคยหรือชื่นชอบนักร้องดังของยุค
หนึ่งในคนดังขาประจำของบาร์ที่คุณค่อนข้างจะซี้ด้วยก็หนีไม่พ้นบีบีคิงส์
เขาเป็นคนนิสัยดีขี้เล่น และมักจะกึ่งหยอกกึ่งจีบคุณทุกครั้งที่เจอหน้า แต่ความสัมพันธ์ของคุณและเขาไม่เคยพัฒนาไปมากกว่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการปิดกั้นตัวเองของคุณ คุณรู้ดีว่าคุณไม่ใช่คนในยุคนี้ และมันคงไม่ดีแน่ถ้าไปยุ่มย่ามอะไรที่อาจจะเปลี่ยนแปลงอดีตและส่งผลเสียไปถึงอนาคตได้ มันเป็นบทเรียนชั้นดีที่คุณได้รับจากการเคยดูหนังแนวย้อนเวลามาแล้วหลายเรื่อง
“รู้ไหมว่าคืนนี้มี
ชายหนุ่มหันมาขยิบตาให้คุณแล้วยิงคำถามต่อทันที “แล้วคืนนี้เธอจะมาดูหรือเปล่า ฉันว่าฉันจะร้องสักเพลงสองเพลงแหละ”
“นี่เป็นคำถามที่ตลกมากรู้ตัวไหม” คุณตอบกลับอย่างเบื่อหน่าย ระมัดระวังไม่ให้เขาแย่งแก้วไปจากมือคุณได้รอบที่สอง “ฉันมีเวรทำงานที่นี่ยันตีสอง ยังไงก็ต้องได้ฟังพวกนายร้องเพลงแน่นอนอยู่แล้วล่ะ”
“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องเวลาทำงานของเธอสักหน่อย ฉันอยากให้เธอตั้งใจฟังฉันร้องแบบจริงจังนะเข้าใจไหม”
อีกฝ่ายแสดงสีหน้าท่าทางน่าสงสารเสียเต็มประดา ซึ่งดูก็รู้ว่าการแสดงล้วน ๆ แต่คุณก็อดใจอ่อนไม่ได้อยู่ดี “โอเค ถ้าแบร์รี่ไม่ด่าฉันก็จะแอบอู้ไปดูนายร้องเพลงแล้วกัน”
แบร์รี่ไม่เคยด่าอยู่แล้ว พอมีการแสดงฟรีในบาร์ทีไรเขาก็เอาแต่สนุกไปกับพวกนักดนตรีจนไม่สนใจอะไรเลยด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับบรรดาแขกหรี่ทั้งหลายที่ดูเหมือนจะรีบดื่มรีบเมากันตั้งแต่ค่ำ กลายเป็นว่าแม้ว่าคนจะเยอะและวุ่นวายแต่งานก็ไม่หนักอย่างที่คิดไว้ ประมาณสี่ทุ่มกว่าก็แทบไม่มีอะไรให้ทำแล้ว คุณจึงทำตามที่ไรลีย์ร้องขอด้วยการแอบหลบมารับชมและรับฟังการแสดงดนตรีสดอยู่ไม่ห่างจากเวทีมากนัก
การแสดงตอนนี้เป็นของลิตเติ้ลริชาร์ด
เมื่อเหล้าแก้วที่สองหมดลง หูของคุณก็ได้เสียงร้องอย่างตื่นเต้นดังออกมาจากข้างนอกขึ้นมาถึงข้างใน นั่นดึงดูดความสนใจของคุณอย่างรวดเร็ว คุณขยับตัวไปที่หน้าต่างแล้วชะโงกไปถนนข้างล่างอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คุณก็มองได้ไม่ชัดนักนอกจากกลุ่มหนุ่มสาวผิวดำมากมายที่กำลังวิ่งกรูเข้าหาใครสักคนหนึ่ง อาจจะเป็นคนดังอีกคนล่ะมั้ง คุณคิดเช่นนั้น โดยไม่ได้ตระหนักสักนิดว่าต้นเหตุความแตกตื่นของมวลชนกำลังมุ่งหน้าตรงมาที่บาร์แห่งนี้
และกว่าคุณจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ก็ตอนที่มองเห็นไรลีย์เดินเข้ามาหาคุณพร้อมกับคนคนนั้น–ผู้ชายผิวขาวคนเดียวในย่านเมมฟิสค่ำคืนนี้
ผอม สูง หน้าตาดี มีเมคอัพบนใบหน้า และทรงผมปาดเจลเป็นเอกลักษณ์เหมือนกับปู่ของคุณอย่างกับแกะ
ต่อให้คุณไม่ได้รู้จักหลายคนในยุคนี้ แต่คงยากที่จะบอกว่าไม่รู้จักเอลวิส เพรสลีย์ ราชาแห่งร็อกแอนด์โรลล์และไอค่อนของอเมริกาได้
“เพื่อนของฉันกำลังมีปัญหานะ ฉันเลยพาเขาหลบมาที่นี่” ไรลีย์ตบบ่าลูกค้าคนใหม่ของร้านอย่างสนิทสนม แล้วผายมือมาที่คุณซึ่งยังคงอึ้งอยู่ “รู้จักกันไว้สิ นี่เอลวิสนะ”
คุณฉีกยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติสักนิด มือเช็ดกระโปรงสองถึงสามครั้งแล้วจึงยื่นมือไปจับมืออีกฝ่ายอย่างประหม่า เป็นครั้งแรกเลยทีเดียวที่คุณตื่นตกใจกับการเจอคนดังเช่นนี้ และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือเขาดูดีมาก เอลวิสในวัยหนุ่มหล่อเหลามีเสน่ห์หยาดเยิ้มยิ่งกว่าไอดอลเกาหลีที่คุณปลื้มหนักหนา ไม่แปลกเลยที่สาว ๆ รุ่นย่ายายคลั่งไคล้เขามากมายขนาดนี้
เอลวิสไม่ได้ร่วมแสดง Jam Session ด้วย เขาแค่มานั่งร่วมวงกับคุณและไรลีย์ สายตาทอดมองการแสดงของลิตเติ้ลริชาร์ดอย่างเคร่งเครียดผิดปกติ คุณพอจะเดาได้อยู่ว่าเขาเครียดเรื่องอะไร
เรื่องราวที่เอลวิส เพรสลีย์ ถูกทางการจับตามองเพราะการแสดงดนตรีที่ยั่วยวนทางเพศต่อสตรีมากเกินไปกำลังเป็นข่าวโด่งดังที่ประกาศผ่านวิทยุ หนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์ทุกช่อง น่าตลกที่คุณไม่ได้รู้สึกว่าการแสดงของเอลวิสดูมากไปเลยสักนิด ถ้าเทียบกับการแสดงในยุคปัจจุบันที่คุณจากมา
ไรลีย์ต้องขึ้นแสดงต่อจากลิตเติ้ลริชาร์ด เขาหันมาบอกลาคุณกับเอลวิสก่อนจะไปเปิดการแสดงของตัวเองบนเวทีเล็ก ๆ ในบาร์อย่างรวดเร็ว ทว่าเอลวิสกลับไม่ได้อยู่ดูเพื่อนสนิทตัวเอง เขาคีบบุหรี่ไว้ในปากแล้วหลบออกไปเงียบ ๆ ทางระเบียงผ่านช่องหน้าต่างบานใหญ่ คุณได้แต่มองตาม ก้ำกึ่งอยู่ในใจว่าควรจะตามอีกฝ่ายออกไปหรือควรจะนั่งอยู่ที่เดิมดี
ในที่สุดความอยากรู้อยากเห็นบวกกับความกังวลเล็กน้อยก็ชนะจนได้ คุณเดินไปตามทางเดียวกับเอลวิส ชะโงกหน้าผ่านหน้าต่าง และเห็นอีกฝ่ายพ่นควันบุหรี่ออกจากริมฝีปากตัวเอง ดวงหน้าคมตามแบบฉบับชายหนุ่มยุคเก่าเหม่อมองท้องถนนที่เต็มไปด้วยแสงสียามค่ำคืน เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาว่าเขาคิดอะไรอยู่เมื่อเงามืดของตึกใหญ่ทาบทับใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง
“ทำไมถึงไม่เข้าไปข้างในล่ะ” นั่นเป็นสิ่งที่คุณคิด แต่คนที่เอ่ยปากถามกลับเป็นเอลวิสแทนเสียอย่างนั้น คุณประหลาดใจที่เขารู้ว่าคุณอยู่ตรงนี้ ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้หันมามองคุณเลยด้วยซ้ำ
“ฉันแค่ออกมาสูดอากาศนะ” เป็นคำแก้ตัวที่ไม่น่าเชื่อถืออย่างแรง แต่คุณก็คิดเหตุผลดี ๆ แบบอื่นไม่ออก ถ้าให้บอกว่าเป็นห่วงคนที่เพิ่งเจอหน้ากันไม่นานก็คงพิลึกน่าดู “แล้วคุณล่ะทำไมถึงออกมาตรงนี้ ไม่ไปดูไรลีย์เหรอ”
“ฉันเห็นเขาแสดงมาหลายร้อยครั้ง แล้วแบ่งให้คนอื่นได้ดูบ้างจะเป็นไรไป” เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยื่นบุหรี่ให้คุณ คุณรับมาตามมารยาทแล้วคาบมันไว้ในปากบ้าง รู้สึกประหม่านิดหน่อยตอนที่อีกฝ่ายโน้มตัวเข้าใกล้เพื่อจุดไฟให้คุณ กลิ่นน้ำหอมผู้ชายอบอวลในจมูก “เธอสนิทกับไรลีย์ด้วยเหรอ”
“เขาเป็นคนดี ค่อนข้างติดดินเลยล่ะ ไม่ได้หยิ่งเหมือนคนดังทั่วไป”
“แล้วเธอคิดว่าฉันหยิ่งไหม”
“ฉันเพิ่งเจอคุณครั้งแรก คงบอกอะไรมากไม่ได้หรอก”
เอลวิสยิ้มให้กับคำตอบของคุณ ภาพเขาตอนยิ้มดูดีกว่าตอนหน้าบึ้งเป็นไหน ๆ คุณอยากพูดออกไปแบบนั้น แต่ก็เก็บไว้ในใจแทน “สงสัยฉันคงต้องเจอเธอบ่อย ๆ แล้วมั้ง เผื่อเธอจะได้คิดว่าฉันไม่หยิ่ง”
“คงจะยากหน่อยสำหรับคุณนะ ในเมื่อคุณโด่งดังออกขนาดนี้”
พอได้ยินคำว่าโด่งดังจากปากคุณ เอลวิสก็ถอนหายใจยาวเหยียดด้วยความเหนื่อยหน่าย น่าตลกที่ใคร ๆ ในวงการล้วนอยากจะโด่งดังในระดับเดียวกับเขา แม้แต่ตัวเขาในสมัยก่อนก็เช่นกัน วาดฝันถึงการขึ้นเวทีใหญ่ เงินทอง แฟนคลับ กลายเป็นว่าพอได้มาอยู่ในสถานะคนดังเข้าจริง ๆ ชายหนุ่มกลับรู้สึกอยากโยนทุกอย่างทิ้งไปเสียเหลือเกิน
เพราะทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ และราคาของเขาก็คือสารพัดปัญหาที่กำลังรุมเร้าจากตาแก่คร่ำครึที่กำลังจ้องทำลายอาชีพการงานของเขาไม่เว้นแต่ละวัน
“เธอเห็นฉันใน The Steve Allen Show
ไม่รู้ว่าเพราะความเมาหรือความอัดอั้นตันใจที่ทำให้นักร้องดังหลุดระบายความรู้สึกกับคนนอกที่ไม่ได้รู้จักกันอย่างคุณ คุณนั่งมองอีกฝ่ายเงียบ ๆ ด้วยไม่แน่ใจว่าควรจะพูดอะไรออกไปดีไหม ครู่หนึ่งคุณรู้สึกว่าแผ่นหลังของเขาเมื่อมองผ่านม่านหมอกควันบุหรี่ช่างดูเล็กจ้อย เหมือนเด็กผู้ชายมากกว่าจะเป็นชายหนุ่ม คำว่าน่าสงสารผุดขึ้นในหัวของคุณไม่หยุดหย่อน คุณเม้มปากแน่นอย่างชั่งใจและในที่สุดก็เอ่ยปากออกไป
“เชื่อฉันเถอะ พวกเขาไม่กล้าทำอะไรคุณหรอกน่า อย่างมากก็แค่ขู่เท่านั้น อย่าลืมสิว่าคุณเป็นคนดังและเป็นคนขาว มีคนขาวกี่คนกันเชียวที่ต้องเข้าคุกเพราะแค่ท่าเต้นนะ”
เสียงของคุณดึงดูดความสนใจของเอลวิสทันที เขาหันมาทางคุณด้วยท่าทางตั้งใจรับฟังเต็มที่ คุณสบตากับเขาแล้วกระแอมไอเล็กน้อย นิ้วข้างหนึ่งชี้ตรงไปที่ถนนเบื้องล่างจากชั้นสองที่คุณและเขาอยู่ด้วยกัน
“ถ้าเป็นฉันหรือคนอื่นที่นี่ แค่เดินข้ามถนนเส้นนั้นก็อาจจะถูกยิงตายได้ทุกเมื่อ แต่ไม่ใช่สำหรับคุณหรอก คุณคือเอลวิส เพรสลีย์นะ คนทั่วไปจะจดจำชื่อคุณไปได้อีกหลายสิบปี แต่จะไม่มีใครจำชื่อคนพวกนั้นได้สักคน อย่าให้พวกเขามาทำให้คุณหงอ”
มีความเงียบอยู่นานก่อนที่ชายหนุ่มจะยิ้มบางเบาออกมาอีกครั้ง อารมณ์ขุ่นมัวก่อนหน้านี้จางหายไปโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเพราะอะไร อาจจะเพราะความพยายามปลอบใจของคุณ หรือความจริงใจในคำพูดที่แจ่มชัดจนเอลวิสรู้สึกได้ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เขาได้รับเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนที่พร้อมจะประจบประแจงทุกอย่าง
คุณไม่เหมือนใครที่เขาเคยเจอนับตั้งแต่โด่งดังเป็นพลุแตก เอลวิสคิดเช่นนั้น ประกายบางอย่างปรากฏในแววตาของเขายามที่จดจ้องมองคุณ “ชื่อของฉันจะถูกจำไปอีกหลายสิบปีงั้นเหรอ? เธอพูดเหมือนกับเธอมาจากอนาคตอย่างนั้นแหละ”
ถ้าในภาษาเบสบอล ประโยคของเอลวิสเมื่อสักครู่นับได้ว่าเป็นโฮมรันที่ทำให้คุณถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปชั่วขณะ เพราะมีชนักติดหลังอยู่จึงลนลานเป็นพิเศษ ถึงกับคิดไปด้วยซ้ำว่า เขารู้หรือเปล่า แต่ก็ตระหนักได้ว่ามันคงเป็นแค่คำพูดล้อเลียนธรรมดาจากเขาเท่านั้น
คุณลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก โดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าทุกปฏิกิริยาของคุณอยู่ภายใต้การสังเกตของเอลวิสทั้งหมด
“ไม่ต้องให้ฉันบอกมันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ใครจะลืมเดอะคิง
‘จะตายอย่างถูกลืมหรือจะมีชีวิตเพื่อสร้างสิ่งยิ่งใหญ่’ ประโยคนี้ของลุงเจคแวบเข้ามาในหัวตอนที่คณเอ่ยปากออกไป คุณคิดว่ามันเป็นคำพูดที่เข้ากับชายตรงหน้าเหลือเกิน เพราะแม้ว่าเขาจะจากไปนานแล้วในยุคของคุณ แต่ชื่อและเพลงของเขาก็ยังเป็นที่พูดถึงยาวนานโดยที่เจ้าตัวไม่มีโอกาสได้รับรู้ความยิ่งใหญ่ที่เคยสร้างไว้แม้แต่น้อย แต่คุณรู้ดีอยู่แล้วเพราะคุณมาจากอนาคตนั่นเอง
น่าเศร้าที่เมื่อคิดถึงตัวคุณเองแล้ว ไม่มีทางเลยที่จะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้ตัวเองได้ ในเมื่อคุณเป็นแค่คนธรรมดาที่หลงมาผิดที่ผิดทางโดยบังเอิญ ไม่วันใดก็วันหนึ่งก็ต้องกลับไปยังที่ที่จากมา ทั้งยังไม่มีครอบครัวหรือคนรักให้ห่วงหา ไม่แคล้วว่าในที่สุดก็คงลงเอยด้วยการอยู่คนเดียวและจากไปคนเดียวโดยที่ไม่มีใครสักคนจดจำได้
โมเม้นยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตที่เคยทำก็คงเป็นแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้น ช่วงเวลาที่ได้ยืนคุยและปลอบใจเอลวิส เพรสลีย์นี่แหละ
คุณไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่คุณพูดได้ผลหรือไม่ แต่อย่างน้อยที่สุดเอลวิสก็ดูสดใสมากขึ้นกว่าเดิม เขากอดอกแล้วเหล่มองมาที่คุณอย่างประหลาดใจก้ำกึ่งขี้เล่นอยู่ในที “เมื่อกี้เธอบอกว่าเธอไม่ใช่แฟนคลับฉันอย่างนั้นเหรอ
“เอ่อ…อย่าเข้าใจผิดนะ ฉันไม่ได้เกลียดคุณ คือแค่คุณไม่ใช่ไทบ์ของฉันเท่านั้นเอง”
“โอ้โห้ เจ็บจี๊ดเลยแฮะ” ชายหนุ่มยกมือกุมอกทำท่าทางประหนึ่งว่าเจ็บปวดเหลือหลายกับคำพูดของคุณ จนคุณเองยังอดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมา “นี่ฉันต้องอกหักตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มจีบเลยหรือไงนะ”
ความทีเล่นทีจริงทำให้คุณไม่มั่นใจว่าเขากำลังพูดเล่นหรือพูดจริงกันแน่ และเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายเป็นถึงหนุ่มคนดังที่ฮอตที่สุดในอเมริกา ณ ตอนนี้ คุณก็ฟันธงทันทีว่าการหยอดคุณก็คงเป็นแค่หนึ่งในมุกตลกของเขาเท่านั้น คุณส่ายหัวให้ตัวเองกับความคิดไร้สาระก่อนจะตอบไป “คุณพูดแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนที่คุณเจอเลยหรือไงเอสวิส”
“ไม่นะ สาบานได้เลย”
คำตอบอย่างรวดเร็วของชายร่างสูงตรงหน้าทำให้คุณประหลาดใจ และประหลาดใจยิ่งกว่าเดิมเมื่ออีกฝ่ายสาวเท้าเข้ามาหา ก่อนจะยื่นหน้าเข้าใกล้คุณเสียจนคุณสัมผัสได้ถึงลมหายใจอบอุ่นตัดกับอากาศเย็นเฉียบยามราตรีของย่านเมมฟิส
ดูท่าจะไม่ใช่แค่เอลวิสคนเดียวที่เมา คุณเองก็คงไม่ต่างกันนัก ทั้งที่มั่นใจอย่างยิ่งว่าตัวเองคอแข็งชนิดที่ว่าเหล้าราคาถูกแค่สองแก้วไม่มีทางทำอะไรคุณได้ แต่ตอนนี้คุณกลับร้อนผ่าวอย่างไร้สาเหตุตั้งแต่ปลายเท้าไล่ถึงศีรษะ คุณรู้สึกได้โดยไม่จำเป็นต้องมองกระจกด้วยซ้ำว่าแก้มของตัวเองกำลังแดงจัด ขนลุกชูชันในทุกพื้นที่ที่ฝ่ามือของชายหนุ่มหล่อเหลาแตะสัมผัส คุณได้แต่ยืนนิ่งเหมือนคนบื้อตอนที่เขาจุมพิตคุณอย่างนุ่มนวล ดูดกลืนลมหายใจของคุณราวกับเป็นของหวาน หัวใจของคุณเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะราวกับว่าจะทะลุออกมาจากอกเสียให้ได้
และเขารู้แน่ โอ้! คุณรู้ว่าเขาต้องรู้ เพราะเขาแทบจะแนบชิดเป็นหนึ่งเดียวกับคุณเลยนี่น่า
คุณคล้ายว่าจะหายใจไม่ออกหากว่าเขาไม่ถอยออกจากคุณเสียก่อน รอยยิ้มมุมปากของเอลวิสให้ความรู้สึกเจ้าเล่ห์แต่ก็มีเสน่ห์เหลือร้ายอย่างปฏิเสธไม่ได้ น่าตลกที่คุณกำลังเขินอายอย่างแรงกับผู้ชายที่คุณมั่นใจว่าไม่ใช่ไทบ์สไตล์โอปป้าเกาหลีของคุณเลยสักนิด
สรุปได้ว่าชอบผู้ชายหล่อไม่ว่าชาติไหนก็ตาม นั่นคือสัจธรรมของชีวิตตัวเองที่คุณเพิ่งจะค้นพบสำหรับวันนี้
“อยากไปเที่ยวด้วยกันสักหน่อยไหม แค่เราสองคน” เสียงกระซิบของเอลวิสดังชัดแจ๋วข้างหู คุณชั่งใจไม่น้อยสำหรับข้อเสนอนี้ ทว่าคุณรู้ดีว่านี่ยังไม่ถึงเที่ยงคืนด้วยซ้ำ อีกนานทีเดียวกว่าจะถึงเวลาเลิกงาน ไหนจะไรลีย์ที่ยังคงแสดงบนเวทีอยู่อีก คิดได้อย่างนั้นคุณจึงส่ายหน้า
“ฉันยังไม่ได้ดูไรลีย์แสดงเลย อีกอย่างฉันยังไม่เลิกงานด้วย”
“ไม่เอาน่า ไรลีย์ไม่ได้แสดงแค่วันนี้วันเดียวเสียหน่อย แล้วก็ไม่มีใครที่นี่สนใจหรอกว่าเราทั้งคู่จะหายไปไหน”
ถ้ามองดูอย่างผิวเผินแค่ภายนอก เอลวิสคงไม่ต่างอะไรกับผู้ชายทั่วไปที่พยายามตามตื๊อผู้หญิงที่ตัวเองปิ๊งให้ออกไปเดทด้วย แต่เพราะคุณยืนอยู่ใกล้เขามาก มากพอที่จะมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขาได้และเห็นอะไรมากกว่าที่เป็นอยู่ สิ่งที่สะท้อนกลับมาคือความโดดเดี่ยวซ่อนอย่างแนบเนียนใต้ใบหน้าหล่อเหลา ความโดดเดี่ยวในฐานะลูกชายคนเดียว ความโดดเดี่ยวของคนที่กำลังหลงทาง ความโดดเดี่ยวที่ต้องแบกรับความคาดหวังของคนอื่นเพียงลำพัง
ไรลีย์พูดถูกต้องที่ว่าเอลวิสกำลังมีปัญหา มันหนักหนาเสียจนแม้แต่เจ้าตัวก็อาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แต่ที่แน่ ๆ เขาไม่อาจอยู่คนเดียวได้ในคืนนี้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องมาที่นี่ และเป็นเหตุผลเดียวกันที่เขากำลังขอให้คุณหนีไปกับเขา
แค่คืนนี้คืนเดียวก็พอ
คุณเผลอกำหมัดโดยไม่รู้ตัวเมื่อตระหนักได้ว่าเขาเองก็อาจมองเห็นข้างในของคุณได้เช่นเดียว และรับรู้ได้ถึงความโดดเดี่ยวที่คุณพยายามปกปิดเอาไว้ มันคือความโดดเดี่ยวจากการยึดถือความจริงที่ว่าคุณมาจากโลกของอนาคต คุณคือคนเดียวที่กำลังเผชิญชะตากรรมนี้ แม้จะพูดความจริงออกไปก็ไม่มีทางที่คนอื่นจะเข้าใจ และคุณไม่อาจเป็นอะไรได้เลยนอกจากคนไร้ตัวตนไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน ไม่มีใครเคียงข้างและไม่มีที่ไหนที่เป็นที่ของคุณอย่างแท้จริง
คุณปฏิเสธไม่ได้ว่าบางทีคุณอาจต้องการเขามากพอ ๆ กับที่เขาต้องการคุณ
จะเป็นโชคชะตาเล่นตลก หรือเพียงแค่ความบังเอิญจากหนึ่งในล้านที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มันก็ได้ชักนำให้คนโดดเดี่ยวสองคนจากต่างยุคสมัยได้มายืนอยู่ตรงหน้ากันและกันจนได้
คุณไม่ได้สนใจอีกแล้วว่าการกระทำบ้าบิ่นของคุณครั้งนี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นในอนาคตหรือไม่ ก็แค่คืนเดียวคงไม่เป็นอะไรนักหรอก คุณปลอบใจตัวเองอย่างนั้นในตอนที่จับมือคนตรงหน้าแทนคำตอบสุดท้ายของคุณ พร้อมที่จะตามเขาไปทุกที่ในค่ำคืนนี้
ความทรงจำหลังจากนั้นเจือจางเหลือเกิน ทว่าคุณจดจำได้ดีถึงความอบอุ่นของมือใหญ่ที่กำรอบมือของคุณ เสียงหัวเราะคนสองคนประสานกันเป็นหนึ่งเดียวตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน สวมกอดและจูบกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าระหว่างท่องไปทั่วถนนบิลสตรีทตั้งแต่เหนือจรดใต้อย่างไร้ทิศทาง ก่อนในที่สุดจะมาบรรจบที่ห้องของคุณในตอนเกือบรุ่งสาง
คุณหลับเป็นตายอยู่บนเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน ไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่ามีใครอีกคนนอนเบียดเสียดอยู่ข้าง ๆ คุณตลอดเวลา หรือแม้กระทั่งตอนที่เอลวิสลุกขึ้นจากเตียงแล้วแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มมองคุณอยู่หลายครั้งอย่างลังเลว่าควรจะปลุกคุณดีหรือไม่ แต่เมื่อเห็นคุณนอนหลับสนิทเหมือนเด็ก ๆ เขาก็ตัดสินใจว่าควรปล่อยให้คุณนอนพักผ่อนเอาแรงให้เต็มอิ่มจะดีกว่า
อพาร์ตเมนท์ของคุณไม่ต่างอะไรกับรูหนูถ้าเทียบกับคฤหาสน์หรูหราของนักร้องดังอย่างเอลวิส ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาใส่ใจนักในเมื่อเขาเองก็เติบโตจากครอบครัวฐานะยากจนมาก่อน และแม้จะรู้ว่ามันค่อนข้างเสียมารยาท แต่ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะสำรวจสิ่งต่าง ๆ ในห้องพักของคุณอย่างสนอกสนใจ
และในบรรดาข้างของทั้งหมดที่คุณมี สิ่งที่ดึงดูดสายตาเอลวิสที่สุดกลับเป็นเพียงแผ่นกระดาษพับเรียบร้อยที่วางไว้เด่นหราอยู่บนโต๊ะเล็กข้างที่นอนของคุณนั่นเอง
แรงกระตุ้นบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ชักจูงเอลวิสให้หยิบมันขึ้นมา ไม่ต่างจากคุณคราวที่รีบร้อนเปิดอ่านจดหมายจากลุงเจคครั้งแรกด้วยความอยากรู้อยากเห็น จนได้ล่วงรู้ความลับของการย้อนเวลาจากเนื้อหาที่อยู่ในจดหมาย…
และจดหมายฉบับเดียวกันก็ได้อยู่ในมือของเอลวิสเป็นที่เรียบร้อย ในระหว่างที่คุณยังหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ดวงตาสีฟ้าสว่างของชายหนุ่มกำลังไล่อ่านถ้อยคำบนจดหมายอย่างตั้งใจ และได้รับรู้ถึงความลับที่ไม่ควรจะมีใครรู้นอกจากคุณเท่านั้น
บางครั้งจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ มักนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลที่คาดไม่ถึงเสมอ เสมือนการกะพือปีกเพียงเล็กน้อยของผีเสื้อที่อยู่ในสวนดอกไม้ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องจนกลายเป็นพายุลูกใหญ่ในอนาคตข้างหน้า
เช่นเดียวกันกับเรื่องราวต่อจากนี้ ที่เริ่มต้นขึ้นจากแค่การตัดสินใจเล็ก ๆ ของคุณในค่ำคืนเดียวเท่านั้น การยุ่งเกี่ยวในสิ่งที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งได้เปลี่ยนแปลงเส้นชะตาชีวิตไปสู่สิ่งที่ไม่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก และนั่นก็มากเกินพอแล้วที่จะส่งผลกระทบร้ายแรงซึ่งอาจทำให้ชะตากรรมของคุณและเขาต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
ทั้งหมดนี้จะดำเนินอย่างไรต่อไปก็ขึ้นอยู่กับคุณเท่านั้น
(The End or To be Continue?)
____________________
Talk :
เกร็ดความรู้ : การแสดงเพลง Hound Dog ใน The Steve Allen Show เดือนตุลาคม ปี 1956 เป็นการแสดงที่ Elvis Presley เกลียดที่สุด เขาได้กล่าวถึงในภายหลังว่าการแสดงครั้งนั้นคือการหยามเกียรติของเขาอย่างที่สุด
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in