แคทพบเขาครั้งแรกตอนอายุสิบห้า
วันนั้นเธอได้ไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนสนิทร่วมชั้นมัธยมช่วงหน้าร้อน ยังจดจำได้ดีถึงเสียงหัวเราะและแสงแดดที่แผดเผาผิวขาว ๆ จนเป็นรอยแดง สัมผัสของน้ำทะเลยามหย่อนตัวลงไปช่วยคลายร้อนได้ไม่น้อย จนกระทั่งทุกอย่างเปลี่ยนเป็นความเลวร้ายในทันทีที่อาการตะคริวเข้าจู่โจมขาทั้งสองข้าง ร่างกายจมดิ่งลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว สำลักความเค็มของน้ำทะเลที่ไหลพรั่งพรูเข้าปากและจมูกจนแสบไปหมด
เธอนึกว่าตัวเองจะตายเสียแล้ว จนกระทั่งมองเห็นคลื่นฟองที่แตกกระจายเหนือหัว แล้วชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวตัวขึ้น สองแขนของเขาโอบกอดเธอจากใต้พื้นน้ำ ฉุดดึงเธอผ่านพ้นความตายอย่างฉิวเฉียด
แคทจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองหลังจากนั้น รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตัวเองนอนแผ่อยู่บนผืนทรายท่ามกลางผู้คนที่ล้อมหน้าล้อมหลังอย่างแตกตื่น สิ่งแรกที่ทำหลังจากได้สติคือดันตัวเองขึ้นแล้วกวาดตามองไปทั่วหวังจะได้เห็นหน้าชายผู้ช่วยชีวิต หากแต่มองหาเท่าไรก็กลับไม่พบใครคนนั้นที่ช่วยเธอเอาไว้ และที่น่าประหลาดใจก็คือไม่มีใครตอบได้เลยสักคนเดียวว่าคนที่ช่วยเธอคือใคร และเขาหายไปได้ยังไงในเวลาอันรวดเร็ว?
ตั้งแต่นั้นแคทก็ขนานนามเขาไว้ว่า ‘เทวดาประจำตัว’ มาตลอด
เขามาอีกครั้งตอนแคทอายุยี่สิบ
เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าผับตอนกลางคืน เลี้ยงฉลองสู่การเติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าสนุกที่จะได้จอยปาร์ตี้ร่วมกับเพื่อน ๆ ในมหาวิทยาลัย จนกระทั่งถึงตอนที่มีผู้ชายที่กำลังเมาคนหนึ่งพยายามจะขอเบอร์เธอ และแคทก็ปฏิเสธไปอย่างสุภาพเพราะไม่ได้รู้สึกปิ๊งเขา แต่คนคนนั้นกลับไม่ยอมจบง่ายๆ เขายังคงตื้อเธอหนักขึ้น เริ่มที่จะถึงเนื้อถึงตัว แล้วเหตุการณ์ก็เลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเธอปัดมืออีกฝ่ายที่พยายามคว้าแขนเธอออกไป ซึ่งทำให้ผู้ชายคนนั้นเริ่มจะโมโหแล้วตะคอกใส่เธอ แคทรู้สึกกลัวจับใจ ได้แต่ภาวนาขอให้ใครก็ได้ช่วยพาเธอออกไปจากตรงนี้ที
และเขาก็ปรากฏตัวขึ้นเสมือนรู้ว่าเธอต้องการความช่วยเหลือ ผู้ชายคนเดียวกับที่ช่วยชีวิตเธอไว้ที่ทะเลเมื่อห้าปีก่อน แคทไม่มีวันลืมใบหน้าของเขาได้เลย เขาโผล่เข้ามาขวางระหว่างเธอกับผู้ชายคนนั้น และไม่พูดพร่ำทำเพลง หมัดของเขาสาวเข้าที่ใบหน้าของคนที่คุกคามเธอทันที นั่นคือครั้งแรกที่แคทได้เห็นคนต่อยกันต่อหน้าต่อตาเธอ และมันทำให้เธอหวาดกลัวสิ้นดี โดยเฉพาะเมื่อเขาไม่ได้ออมแรงกับคู่กรณีเลยแม้แต่น้อย เธอกรีดร้องอย่างเสียขวัญเมื่อเห็นเลือดไหลอาบหน้าคนเมา แล้ววิ่งออกไปจากตรงนั้นโดยไม่ได้หันกลับไปมองอีก
แม้จะกลัวมากแค่ไหน แต่เมื่อยามเช้ามาเยือน เธอก็ได้แต่คิดเสียดายทีหลังที่วิ่งหนีออกมาก่อนที่จะได้พูดอะไรกับเขาสักคำ เพราะเธอเองก็อยากรู้มาตลอดว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่ เพียงแค่รู้ชื่อก็ยังดี
แต่เธอไม่ได้มีโอกาสนั้นอีก จนกระทั่งตอนอายุยี่สิบห้า
เธอแอบนึกเสียใจเหลือเกินเมื่อคิดถึงตัวเองตอนอายุยี่สิบห้า แม้จะโตเป็นผู้ใหญ่เข้าสู่วัยทำงานแล้วแต่ก็ยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจอะไรได้ดีมากพอ และแคทก็หยิ่งทะนงเกินกว่าจะตระหนักได้ถึงความขลาดเขลาของตัวเอง เธอตกหลุมรักกับนักธุรกิจชาวรัสเซียผู้ร่ำรวย อังเดร เซเทอร์ ที่แก่กว่าเธอเกือบยี่สิบปี หลังจากพบกันในงานประมูลศิลปะ และไม่ลังเลที่จะตกลงแต่งงานกับเขาเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากขอเธอแต่งงานที่ปารีส ทั้งที่พึ่งดูใจกันได้ไม่ถึงปีด้วยซ้ำ มันเป็นการตัดสินใจที่รีบร้อนเสียจนใครที่ได้ยินข่าวนี้ก็ต้องตกใจไปตาม ๆ กัน
ส่วนหนึ่งที่ทำให้แคทตัดสินใจรวดเร็วเช่นนี้นั่น เพราะเธอกำลังมีปัญหาระหองระแหงกับพ่อหัวโบราณที่แสนเจ้ากี้เจ้าการ และความดื้อรั้นในตัวเธอทำให้เธอเลือกที่จะแต่งงานเพื่อเป็นการแสดงออกให้พ่อได้เห็นว่าเธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถตัดสินใจทำอะไรได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องขอความคิดเห็นจากเขาอีกต่อไป และแคทก็พึ่งจะมาตระหนักได้ในภายหลังว่านั่นช่างเป็นวิธีการประชดพ่อได้โง่เง่าสิ้นดี
ในงานแต่งงานของเธอเอง เธอได้มีโอกาสเห็นเขาอีกครั้งหนึ่ง เขาสวมชุดสูทสีน้ำเงินยืนปะปนไปกับบรรดาแขกไฮโซชาวอังกฤษในงาน จ้องมองมาที่เธออย่างเปิดเผย เพียงชั่ววินาทีเท่านั้นที่เธอและเขาได้สบตากัน แต่แคทกลับรู้สึกเหมือนผ่านไปเป็นชั่วโมง จนกระทั่งว่าที่สามีเข้ามาโอบไหล่เธอไว้ หญิงสาวจึงกลับมาได้สติอีกครั้ง เธอหันไปยิ้มให้กล้องนักข่าวตามที่อังเดรชี้ชวน ก่อนจะหันไปมองหา ‘เทวดาประจำตัว’ อีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมอีกต่อไปแล้ว เขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าไม่เคยมีตัวตนมาก่อน แต่เธอรู้ว่านั่นคือเขาแน่ เธอรู้ดีว่าเธอไม่ได้ตาฝาด
แต่ที่น่าสงสัยก็คือ ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวจะต้องมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับเธอเสมอ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาปรากฏตัวขึ้นในวันที่เธอกำลังมีความสุขที่สุด มันเป็นเรื่องที่น่าแปลกเอามาก ๆ แต่ก็ทำให้แคทรู้สึกใจคอไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าการปรากฏตัวของ ‘เทวดาประจำตัว’
และลางสังหรณ์ของเธอก็ไม่ได้ผิดพลาดแต่อย่างใด เพราะชีวิตแต่งงานหลังจากนั้นของเธอไม่ต่างอะไรกับตกนรกทั้งเป็น
ในช่วงแรกทุกอย่างดูโรแมนติกเหมือนหลุดออกมาจากนิยายรักสักเรื่อง
สิ่งที่แคทกลัวที่สุดคือการไม่ได้เจอกับลูกตัวเอง และเธอรู้ว่าอังเดรสามารถทำได้จริงอย่างที่พูดทุกอย่าง หญิงสาวจึงต้องกล้ำกลืนเก็บงำความลับนี้ไว้ อดทนกับการคุกคามและการทำร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจจากสามีตัวเอง แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าชายหนุ่มที่แสนดีคนนั้นจะกลายมาเป็นสามีสารเลวได้ราวกับพลิกฝ่ามือง่ายๆ เช่นนี้
ด้วยความหวังลมๆ แล้ง ๆ เธอแอบภาวนาไปถึงเทวดาประจำตัว อ้อนวอนให้เขาโผล่มาช่วยเหลือเธออีกสักครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยโผล่มาให้เธอเห็นอีกเลย ไม่ว่าจะมีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นกับเธอมากแค่ไหนก็ตาม
จนกระทั่งห้าปีถัดมา ตอนที่แคทอายุสามสิบ เธอก็ได้เจอกับเขาอีกจนได้
มันไม่เหมือนกับทุกครั้งที่เขาปรากฏตัว ที่มักจะมาและก็หายไปอย่างปริศนา แต่ครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายเข้ามาหาเธออย่างเปิดเผย และเป็นครั้งแรกที่เธอได้มีโอกาสเห็นผู้ชายคนนี้ได้ในระยะใกล้ขนาดนี้ เขาดูไม่แก่ขึ้น และก็ไม่ได้ดูเด็กกว่าที่เธอเห็นครั้งแรก หน้าตาของเขาเหมือนเดิมเป๊ะราวกับว่าตลอดเวลาเป็นสิบปีที่ผ่านมาไม่ได้ส่งผลอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อย
คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวเมื่อสบตากับอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ตรงข้ามโต๊ะอาหาร หญิงสาวตื่นเต้นจนมือไม้สั่น มีหลายสิ่งหลายอย่างที่แคทอยากจะพูดกับเขาตลอดเวลาที่ผ่านมา หากแต่สายตาของชายหนุ่มปริศนากลับทำให้เธอต้องประหลาดใจ เพราะเขามองเธออย่างเช่นคนแปลกหน้า ทำเหมือนกับว่าไม่เคยพบเธอมาก่อน ทั้งที่เธอยังคงจำทุกเหตุการณ์ที่ได้เจอเขาอย่างแม่นยำเสมอ
มีบางอย่างไม่ปกติ เธอคิดเช่นนั้น ไม่ใช่แค่ท่าทีของเขาเท่านั้นที่แปลกไป แม้แต่ตัวเธอเองก็ด้วยที่รู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก และแคทก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องรู้สึกเช่นนี้เพียงเพราะพบว่าเขาดูเหมือนจะจำเธอไม่ได้เลย หญิงสาวได้แต่เม้มปากแน่น เธอเลือกที่จะเงียบจนกระทั่งเขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“ผมสามารถช่วยคุณได้แคท แค่ให้ผมพบสามีคุณ”
มันเป็นข้อเสนอ ข้อเสนอที่จะช่วยให้เธอหลุดพ้นจากสามีตัวเองหากว่าเธอช่วยให้เขาเข้าใกล้อีกฝ่ายได้ แคทรู้ว่าเขามีแผนที่จะทำอะไรบางอย่างกับอังเดร หากแต่เธอไม่สนใจหรอกว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ เธอสนเพียงแค่ว่าเขาช่วยเธอได้จริงหรือเปล่า
“ทำไมฉันต้องเชื่อคุณด้วย”
“เพราะผมคือความหวังเดียวของคุณ”
ประโยคนั้นทำให้หญิงสาวแย้มรอยยิ้มบาง ๆ ลึก ๆ ในใจเธอรู้ดีว่าเขาพูดถูก ทุกครั้งที่มีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นในชีวิตเธอ ผู้ชายคนนี้จะเป็นคนเดียวที่เข้ามาช่วยเธอไว้เสมอ เขาคือความหวังเดียวของเธอมาตลอด ความหวังที่จะช่วยฉุดดึงเธอออกจากนรกขุมนี้ เหมือนครั้งที่เขาฉุดดึงเธอขึ้นจากน้ำทะเลตอนเธออายุสิบห้า
เธอเชื่อใจเขาอย่างไม่มีข้อแม้
ถึงจะไม่รู้เลยว่าเขาต้องการจะทำอะไร แคทก็เชื่อใจเสมอว่าเขาจะต้องช่วยเธอได้แน่ แม้แต่ในตอนที่อังเดรกำลังล็อกคอและจ่อปืนมาที่เธอก็ตาม หญิงสาวร่ำไห้อย่างหวาดกลัว มองดูเขาที่อยู่อีกฝั่งของกระจก ดวงตาชายหนุ่มเบิกกว้าง กระเสือกกระสนที่จะดิ้นให้หลุดจากการถูกจับโดยลูกน้องของสามีเธอ
“ฉันจะบอกแกว่าพลูโทเนียม
แคทสบตากับเขาผ่านกระจก มองเห็นความตื่นกลัวภายในดวงตาคู่นั้นของเขา ความกลัวที่จะเห็นเธอจากไป และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอได้มองตาเขา ก่อนที่ตัวเองจะถูกยิงที่หน้าท้องด้วยฝีมือของอังเดร ความเจ็บปวดลุกลามอย่างรวดเร็วไปพร้อม ๆ กับความวุ่นวายที่ก่อตัวขึ้นหลังสิ้นเสียงปืน แต่เธอไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว เมื่อเปลือกตาปิดลงและความมืดก็กลืนกินทุกอย่างรอบตัว
หญิงสาวคิดว่าชีวิตของเธอเองจะจบลงไปแล้วด้วยซ้ำ หากไม่ได้ฟื้นขึ้นมาอีกรอบบนเตียงเหล็กเก่า ๆ โดยมีผู้ชายสองคนอยู่ล้อมรอบ คนหนึ่งเธอไม่คุ้นเอาเสียเลย แต่อีกคนเธอจำได้ดี เป็นเขาเอง เทวดาประจำตัว
“เธอโอเคไหม”
ฤทธิ์ของยาชาที่ฉีดเข้ากระแสเลือดทำให้หญิงสาวรู้สึกมึนเบลอไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดอย่างชัดเจน แคทจึงส่ายหน้าแทนคำตอบ เพราะเธอไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะพูดด้วยซ้ำ หากแต่กลับมีใครอีกคนหนึ่งพูดแทรกเข้ามาแทน
“เธอไม่โอเคหรอก กระสุนย้อนกลับจะทำให้เธอตายภายในสามชั่วโมงเท่านั้นแหละ”
“เราต้องช่วยเธอนะนีล”
“เราช่วยเธอได้ แต่เราต้องย้อนเวลาเพื่อให้แผลที่เธอถูกยิงย้อนกลับมาสมานตัวเอง และมันก็จะวุ่นวายเอามาก ๆ ด้วย”
สองหนุ่มถกเถียงกันอย่างเคร่งเครียด แม้แคทจะรู้สึกมึน ๆ อยู่ก็ตาม แต่เธอก็เริ่มจะเข้าใจในสิ่งที่พวกเขากำลังพูด ไม่ว่าจะ
ในหัวเริ่มประติประต่อเรื่องราวเข้าด้วยกัน และมันก็น่าเหลือเชื่อเกินกว่าที่เธอจะทำใจเชื่อได้ ไม่ว่าจะเรื่องของการย้อนเวลา หรือเรื่องที่ว่าสามีเธอต้องการจะทำลายโลกนี้ หากแต่สถานการณ์รอบข้างทำให้แคทยอมรับความน่าเหลือเชื่อนี้ได้ในที่สุด เมื่อเธอถูกพาย้อนเวลาผ่านเครื่องประตูหมุนโดยคนทั้งสอง
มันเหมือนกับปาฏิหาริย์ก็ว่าได้ ที่เธอรอดตายอีกครั้งด้วยการช่วยเหลือของเขา เทวดาประจำตัวของเธอ
เมื่อมีจุดเริ่มต้นย่อมมีจุดจบในไม่ช้า ในช่วงเวลาที่เธอหายดี มันเป็นช่วงเดียวกับการที่กลุ่มเทเน็ท
เวลาเหลือน้อยลงทุกขณะแล้ว เธอยืนอยู่หน้าเครื่องย้อนเวลาอย่างกระสับกระส่าย สายตามองไปยังกลุ่มทหารที่เดินกันวุ่นวายอยู่ด้านนอก เฝ้ามองหาใครบางคนที่อยากเจอก่อนที่จะจากไป ซึ่งก็ใช้เวลาเพียงไม่นานนัก เมื่อแคทเห็นว่าเขากำลังเดินเข้ามาหาเธอ ราวกับว่าเขาเองก็อยากเจอเธอก่อนที่จะจากไปเช่นกัน
“คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้นะ”
“ฉันอยากจะทำมัน”
เธอรู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอ ไม่ต่างอะไรกับที่เธอเองก็เป็นห่วงเขาเช่นกัน ความเงียบปกคลุมไปทั่วเมื่อต่างคนต่างก็ไม่พูดอะไรอีก ฝ่ามือทั้งคู่สอดประสานกันแนบแน่น หน้าผากจรดแนบชิดใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของกันและกัน เธอจูบที่ข้างแก้มเขาก่อนจะมองตากันอย่างเงียบเชียบ
ที่ผ่านมาแคทกลัวมาตลอดว่าเขาจะไม่มีตัวตนอยู่จริง เป็นเพียงแค่ภาพหลอนในหัวที่ปรากฏขึ้นแล้วเลือนหายไปเสียเฉย ๆ ตลอดเวลาห้าปีก่อนหน้านี้เธอหมดหวังไปแล้วกับการได้เจอเขา จนกระทั่งในวันนี้ ความอบอุ่นที่ชัดเจนจากฝ่ามือและหน้าผากของเขา แทนคำตอบของทุกความสงสัยในใจเธอ
มันคือเรื่องจริง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริงทั้งหมด
“ฉันจะได้เจอคุณอีกไหม?”
ความหวังเล็กๆ ก่อตัวขึ้นในใจของหญิงสาว แคทไม่อยากให้เขาหายไปอีกแล้วเหมือนกับทุกครั้ง และชายหนุ่มตรงหน้าก็ให้คำตอบกับเธอด้วยรอยยิ้มกว้าง
“เราจะได้เจอกันอีกแน่ ฉันสัญญา”
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายจากเขา ก่อนที่เราทั้งคู่จะจากกัน เพื่อไปทำภารกิจของตัวเอง ภารกิจที่อาจต้องแลกด้วยชีวิต เพื่อจะช่วยให้โลกนี้ดำเนินอยู่ต่อไปอย่างที่ควรเป็น
ตอนนี้เธออายุสามสิบห้าแล้ว และเธอยังจดจำทุกรายละเอียดที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้ดี
ภารกิจสำเร็จไปด้วยดี สามีเฮงซวยผู้เป็นต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายถูกยิงตายด้วยฝีมือของเธอ และทางฝั่งของเขาก็สามารถชิง
สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ และเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงเขา ก็คือโทรศัพท์ธรรมดาเครื่องหนึ่งที่เขาให้ไว้กับเธอก่อนที่จะจากกันไปในภารกิจสุดท้าย พร้อมกับคำพูดที่เป็นเหมือนคำมั่นสัญญาของเขา “โทรมาถ้ารู้สึกไม่ปลอดภัย”
โทรศัพท์เครื่องนั้นเปรียบเสมือนตัวแทนของเขา ทุกครั้งที่แคทสัมผัสมันเธอจะรู้สึกได้เสมอว่ามีเขาเฝ้ามองดูเธอและคอยปกป้องอยู่ห่าง ๆ แรกเริ่มเธอเชื่อฟังเขาเป็นอย่างดี และมักจะโทรหาชายหนุ่มในเวลาที่รู้สึกว่ามีอะไรผิดแปลกอย่างที่อีกฝ่ายกำชับเอาไว้ แต่ทุกครั้งที่โทรไป เธอไม่เคยได้ยินเสียงตอบกลับจากเขาเลยสักครั้ง มันเหมือนกับว่าเธอกำลังโทรคุยอยู่คนเดียว จนหญิงสาวก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาได้รับฟังในสิ่งที่เธอพูดไปจริงหรือเปล่า
แต่ถึงอย่างนั้นแคทก็ยังโทรหาเขาต่อไป และเริ่มโทรไปบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าจะไม่ได้มีเรื่องอันตรายอะไรให้โทรหา แต่เพียงเพราะแค่เธอคิดถึงเขาเท่านั้น เธอโทรไปเล่าถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ได้เจอในแต่ละวันผ่านโทรศัพท์เครื่องนั้น ไม่ว่าจะเรื่องจริงจังไปจนถึงเรื่องไร้สาระที่ได้พบเจอ ทำเสมือนว่ากำลังพูดคุยถึงเรื่องราวของตัวเองกับเขาอยู่จริง ๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยโต้ตอบใด ๆ กลับมาก็ตาม
และแคทก็ได้แต่แอบหวังว่าสักวันหนึ่ง เธอจะได้ยินเสียงของเขาอีกครั้งจากปลายสายเสียที
แต่เธอก็ไม่เคยได้ยินเสียงของเขาเลย...
จนถึงตอนนี้ห้าปีก็ผ่านพ้นไปแล้ว โดยที่ไม่มีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นกับเธออีก และชีวิตประจำวันก็เต็มไปด้วยความเรียบง่ายแสนสงบที่ติดจะน่าเบื่อไปบ้างในบางครั้ง ในช่วงบ่ายของวันเสาร์นั้นอากาศร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษ เธอใช้เวลาอยู่กับตัวเองในร้านกาแฟร้านโปรดตรงหัวมุมถนน มือข้างหนึ่งยกแก้วคาปูชิโนขึ้นมาจิบเล็กน้อย ส่วนมืออีกข้างก็จดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือแฟรงแกนสไตน์ของแมรี เชลลีย์ ไปด้วย
อันที่จริงแคทไม่ได้อ่านหนังสือมานานมากแล้วนับตั้งแต่ที่แต่งงานกับอังเดร เรื่องวุ่นวายทั้งหลายทำให้เธอไม่มีโอกาสได้ผ่อนคลายตัวเองเลยสักที การตายของอังเดรจึงเป็นเหมือนกับการเกษียณตัวเองจากเรื่องเลวร้ายทั้งหมด เธอกลับมานอนหลับได้เต็มอิ่มอีกครั้ง และพยายามมีความสุขกับชีวิตใหม่ง่าย ๆ ที่เป็นอยู่
ใช่ มันยังเป็นแค่ความพยายามที่จะมีความสุขเท่านั้น ในเมื่อความทรงจำของเธอยังคงนึกถึงใครอีกคนที่ห่างหายไปอยู่ตลอดเวลา และลึก ๆ ในใจเธอก็หวังว่าเขาจะกลับมาอีกครั้ง แม้ว่ามันจะดูไม่มีวี่แววเลยก็ตามที
มือเรียววางหนังสือลงกับโต๊ะ ก่อนจะล้วงหยิบโทรศัพท์จากในกระเป๋าตัวเองขึ้นมา นึกลังเลอยู่นิดหน่อยว่าควรจะโทรไปดีไหม แต่ท้ายที่สุดเธอก็กดโทรออก แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าจะไม่มีเสียงของเขาตอบกลับมา หญิงสาวกลั้นใจเล็กน้อยตอนยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู และเตรียมจะเล่าเรื่องชีวิตประจำวันของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังเหมือนที่ทำเป็นประจำ
แต่วันนี้กลับแตกต่างออกไปจากทุกวัน เมื่อจู่ ๆ เธอได้ยินเสียงจากปลายสายว่า “สวัสดี”
แคทเบิกตากว้าง เธอหันขวับมองรอบตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตกใจยิ่งกว่าเก่าเมื่อเห็นว่าเขามายืนอยู่ข้างหลังเธอตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“ว่าไง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
ชายหนุ่มส่งยิ้มกว้างให้กับเธอก่อนจะถือวิสาสะเดินอ้อมเข้ามานั่งโต๊ะเดียวกัน ในขณะที่หญิงสาวยังคงนั่งนิ่งด้วยความตกใจ สายตาพิจารณาชายตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ เขายังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง เส้นผม ดวงตา จมูก ปาก และการแต่งตัวของเขา ทุกอย่างไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
แคทเม้มปากแน่น เธอเกือบจะร้องไห้ด้วยซ้ำที่ได้เห็นคนตรงหน้าอีกครั้ง อยากจะบอกให้เขาได้รู้เหลือเกินว่าที่ผ่านมาเธอคิดถึงเขามากแค่ไหน แต่ประโยคที่เปล่งออกมาด้วยเสียงที่สั่นพร่ากลับเป็นคำว่า “นายหายไปไหนมาตั้งนาน”
เขาไหวไหล่ราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าสนใจอะไรนัก “ก็ไปลาพักร้อนนิดหน่อย แล้วก็....”
ความทรงจำมากมายไหลวนกลับมาในห้วงคำนึง ตั้งแต่ตอนที่เธออายุสิบห้า อายุยี่สิบ อายุยี่ห้า และอายุสามสิบ ทุกช่วงเวลาเดือดร้อนในชีวิตที่มีเขาปรากฏตัวเข้ามาช่วยได้อย่างทันท่วงทีเสมอ ตอนนี้เธอเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วว่าเขาทำได้อย่างไร มันไม่ใช่ความบังเอิญแต่คือความตั้งใจ เขาเฝ้าดูแลเธอมาตลอดเสมอมาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้
ถึงตรงนี้แคทก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป เธอร้องไห้ออกมาเหมือนเด็ก ๆ ไม่สนว่าเสียงสะอื้นจะทำให้คนอื่นในร้านตกใจแค่ไหน เธอไม่สนใจอะไรอีกแล้วนอกจากผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอเท่านั้น หญิงสาวเช็ดน้ำตาของตัวเองในขณะที่ยังจ้องเขาอย่างไม่ละสายตา เพราะกลัวเหลือเกินว่าถ้าเผอเรอไปเพียงนิดเดียว คนตรงหน้าอาจจะหายไปจากเธออีกครั้ง
....เธอไม่อยากให้เขาหายไปอีกแล้ว
“
รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏบนหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของเขา ชายหนุ่มเอื้อมมือมากุมมือเธอเอาไว้ และแคทรู้สึกได้ว่าฝ่ามือของเขาอบอุ่นกว่าทุกครั้ง เขายกมือเธอขึ้นก่อนจะจรดริมฝีปากที่ฝ่ามือของเธออย่างนิ่มนวล ใช้สัมผัสนี้ทดแทนรอยประทับของคำสัญญานับจากนี้ต่อไป...
“
...ว่าเทวดาประจำตัวคนนี้จะไม่ไปจากเธออีกแล้ว
The End
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in