เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I<Ethiopia>U : มี<เอธิโอเปีย>ระหว่างเราArmmie Born TobeBrave
บทที่ 12 <เรื่องเล่ารอบกองไฟ>
  • เหมือนเป็นธรรมเนียม สำหรับทริปนี้ 

    ที่หัวหน้าไกด์(ผู้หน้าตาดิบเถื่อน) จะนัดพวกเราทั้งเจ็ดคน ออกมาทานอาหารเย็นมื้อแรกด้วยกัน

    เพื่อแจ้งข่าวสาร อะไรต่อมิอะไร หรือการเตรียมตัว เรื่องที่จะต้องทำในวันพรุ่งนี้



    ยอมรับนะคะว่าวันนี้เป็นวันที่แสนหนักหนาและสูบพลังชีวิตของดิฉัน และเพื่อนๆไปแทบหมด

    ความร้อนทั้งวัน พัดเอาคุณงามความดีของการมีชีวิตอยู่ระเหยหายออกไป

    พวกเราเหลือเป็นซากปลาเค็มแห้งๆ  ที่ เหนียว และเหม็นมาก 

    ขี้เกลือคงขึ้นลามไปตั้งแต่หูยันฮี

    ดิฉันถึงกับบอกเจ๊เจนนิเฟอร์ว่า 

    “สวรรค์ในศาสนาคุณเป็นยังไงไม่รู้นะ แต่ของฉันเป็นห้องที่มีฝักบัวใหญ่ๆ และมีสบู่หอมๆ  แค่นั้นแหละ”

    เจ๊เจนก็ทำท่าคิดตามก่อนจะตอบกลับมาว่า

    “ของฉันก็คล้ายคุณแหละ แต่ชั้นทำความดีมานานกว่า ขอแชมพูด้วยขวดนึงแล้วกัน”

    ทากะซังหัวเราะพรืด  แล้วบอกว่า

    “สวรรค์ของพวกคุณนี่  ไม่ค่อยมีอะไรเลยเนอะ”

    ในใจฉันแอบคิดว่า ในอากาศร้อนขนาดนี้ ฉันอาจจะขอเปลี่ยนจากฝักบัว เป็นเห็นทากะซังเปลือยท่อนบน ก็คงเรียกว่าเป็นสวรรค์เหมือนกัน อิอิ(Eลามก)


    ตะวันเริ่มคล้อย อาหารก็ยังเตรียมไม่เสร็จ

    กลางคืนไม่ได้ทำให้อากาศเย็นขึ้นเลยในความรู้สึก

    พื้นดินด้านล่างคงรับความร้อนมาทั้งวัน เลยแผ่รังสีความร้อนใส่เรา

    ถ้าอาหารเย็นยังไม่เสร็จทันอีกสักชั่วโมง เราน่าจะได้กินเพื่อนร่วมทริปย่างที่สุกกำลังพอดี กินแทนได้


    กระท่อมไม้ของเมืองทุกกระท่อมดูเหมือนจะไม่มีคนเข้าไปอยู่เลยในตอนกลางคืน

    ตอกย้ำว่าหลังคานั้นทำหน้าที่กันแดด ไม่ได้กันอย่างอื่น

    เตียงไม้สานเมื่อกลางวันถูกยกออกมากลางแจ้ง จัดเป็นที่นอนอย่างดีสำหรับพวกเรา


    ที่ต้องออกมานอนกลางแจ้ง

    เพราะคิดว่า ขืนอยู่ข้างในกระท่อม ได้ อบเป็นไก่จริงๆแน่ๆ 

    หรืออย่างน้อยถ้าออกมานอนแห้งตายข้างนอก 

    คนก็น่าจะเห็นง่ายกว่า แห้งตายข้างใน เพื่อนๆจะได้ช่วยกันเอาน้ำหยอดช่วยเหลือทัน


    ระหว่างรอ เด็กๆในหมู่บ้านก็เข้ามาเล่นกับพวกเราค่ะ

    โดยเฉพาะทากะซัง ที่โดนเด็กกอดรัดฟันเหวี่ยง ขี่คอ ขนานใหญ่

    ทากะซังดูชอบ และยิ้มกว้างที่สุดเวลาเล่นกับเด็กๆ

    ส่วนดิฉันก็เช่นกัน มีเด็กคนนึง มาขอจับมือดิฉัน แล้วก็ไม่ยอมปล่อย จูงดิฉันเดินเล่นรอบหมู่บ้านไปเรื่อยๆ

    แล้วก็ขอให้สอนภาษาอังกฤษให้

    ดิฉันสอนศัพท์ง่ายๆเกี่ยวกับอวัยวะ โดยให้น้องบอกกลับมาเป็นภาษา Afar 

    เราเรียนรู้กันไประหว่างจูงมือ

    น้องดูตั้งใจที่จะจำภาษาอังกฤษมาก กระตือรือล้นให้ดิฉันทวนคำศัพท์ที่เขายังพูดไม่ได้ 

    แต่ดิฉันตั้งใจน้อยด้วยซ้ำที่จะเรียนรู้ภาษาเขา


    ก็คิดนะคะว่า 

    เด็กที่นี่ เค้าพยายามกันมากที่จะเรียนรู้

    ไม่ใช่แค่เด็กคนนี้คนเดียว แต่เด็กเอธิโอเปียภาพรวม ไม่ว่าจะตัวเล็กขนาดไหน ก็พูดภาษาอังกฤษได้ดีในระดับที่สื่อสารได้

    ไม่ได้จะเปรียบเทียบหรืออะไร 

    แต่เมื่อดิฉันมองไปรอบๆ เห็นบ้านที่ทำจากหินและไม้ ทะเลทรายสุดเวิ้งว้างไม่มีสัญญาณของการมีชึวิตอยู่ในรัศมีหลายสิบกิโลเมตรนี้

    ข้อจำกัดต่างๆมากมายในดินแดนนี้ แต่เด็กๆที่นี่ก็ตั้งใจและให้ความสำคัญกับการเรียนรู้

    ต้องขอบคุณใครสักคนที่เดินทางเข้ามาที่นี่ แล้วบอกพวกเขาว่า 

    สิ่งที่ทรงพลังที่สุดที่จะเปลี่ยนชีวิตในดินแดนนรกนี้ ให้เป็นสวรรค์

    ก็คือ “การศึกษา”


    ——————————————




     อาหารเย็นเตรียมเสร็จ

    มีแป้ง เส้น ผัก ไข่ เรียงกันเป็นบุฟเฟต์ อย่าถามหาวิญญาณของเนื้อสัตว์ ไม่มีให้เห็นตั้งแต่เข้าเขต Depression

    คิดเหตุผลได้สองอย่าง

    พื้นที่ร้อนตับระเบิด แห้งแล้งหนังปากแตก ณ จุดนี้ ใครที่ไหนจะลงทุนเลี้ยงปศุสัตว์ ถ้ามีมันจะต้องแพงมากๆ

    อีกข้อนึง ถึงซื้อเนื้อสัตว์มาแถวนี้ ความร้อนระดับนี้  ถ้าจะพูดว่าบูดภายในสิบนาที ก็ดูไม่เว่อร์เกิน


    หัวหน้าไกด์หน้าเหี้ยม เรียกพวกเราทุกคนเข้าไปล้อมวง สนธนา 

    ต่างคนต่างตักอาหารใส่จานตัวเอง แล้วไปนั่งที่เก้าอี้ที่จัดเป็นรูปครึ่งวงกลมอย่างดี 

    มีพี่หน้าเหี้ยมอยู่ตรงกลางวง

    และเอาไฟฉาย ขนาดใหญ่ มาตั้งข้างหลัง เสมือนเป็นกองไฟ 

    มันทำหน้าที่สองอย่าง

    หนึ่งคือขับเงาเป็นฉากหลังให้พี่หน้าเหี้ยมดูโดดเด่น น่าเกรงขาม ขึ้นมาในเงามืด 

    สองคือ ทำให้พวกเราทั้งเจ็ดต้องหยีตา หรือก้มหน้า เพราะความสว่างนั้นมันแยงตาซะจนน้ำตาจะไหล


    พี่เหี้ยมเริ่มพูดถึง แผนการพรุ่งนี้

    ว่าต้องระมัดระวังตัวอะไรยังไง ออกกี่โมง ไปไหน 

    เหมือนจะทั่วๆไป ทุกคนกินเสร็จก็พร้อมที่จะลุกขึ้น เอาไปเก็บจะได้รีบนอนเสียที

    ไม่ใช่เพราะง่วงหรอก

    แต่อยากจะรีบหลับ ให้เวลาแห่งความทรมานผ่านไปเร็วที่สุด


    แต่พี่เหี้ยม เรียกเราทุกคนไว้

    เขาบอกว่า เขามีเรื่องเล่าบางอย่างให้ฟัง


    ทุกคนนั่งลงอย่างเสียไม่ได้ หน้าตาถูกขัดใจเหมือนเด็กถูกห้ามดูการ์ตูนแล้วไล่ให้ไปทำการบ้าน


    พี่เหี้ยมเริ่มเล่า


    เริ่องเล่าของพี่เหี้ยมเล่าถึง ประวัติดินแดน  depression แห่งนี้

    เป็นดินแดนของชนชาว  Afar เหมือนกับชื่อแคว้น Afar

    พื้นที่อันแห้งแล้งทุรกันดานที่พวกเขาภาคภูมิใจ


    ใช่ค่ะ ดินแดนแห่งนี้ เป็นสถานที่ที่พบป้าลูซี่ ที่คนที่นี่เรียกว่าเป็นมนุษย์คนแรกของโลก 

    ประหนึ่งว่าดินแดนนี้เป็นต้นกำเนิด ของมวลมนุษยชาติ

    ชาว Afar ในดินแดนที่โหดร้ายแถบนี้ ทำการเกษตร เลี้ยงแพะ เลี้ยงอูฐประกอบกิจก๊อกๆ แก๊กๆ มีชีวิตอย่าสุขสงบ 

    จนวันหนึ่งกระแสแห่งการพัฒนาก็พัดเข้ามาในดินแดนอันสุขสงบแห่งนี้

    เหมืองเกลือผุดขึ้นรอบๆทะเลสาป Karum

    ลูกหลานป้าลูซี่ทั้งหลายที่เคยละทิ้ง ก็พากันแห่เข้ามาแสวงหาความร่ำรวยและความหวังที่จะมีชีวิตดีดีจากทองคำขาวที่มีอย่างมหาศาลในดินแดนนี้

    ความร้อนราวกับนรก คงจะน่าอยู่กว่า นรกแห่งความยากจนอดอยากในสมัยนั้นที่พวกเขาเผชิญ

    เมืองต่างๆ ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับขาว Afar และชาวอื่นๆ จำนวนมากที่เข้ามาแสวงหาชีวิตใหม่ 

    มันรุ่งเรืองถึงขนาดที่ว่า เมือง Dallol เป็นเมืองใหญ่ขึ้น จนมีทางรถไฟมาจอดเทียบท่า

    ขนทองคำเค็ม และชาว afar ไปมาหาสู่โลกภายนอกอย่างสะดวกสบาย

    ชีวิตในตอนนั้น ในนรกก็ไม่ได้แย่นัก เงินทองมันมีอำนาจ  ทำให้ที่นี่น่าอยู่ 


    แต่นิทานหรือหนังทุกเรื่องย่อมมีจุดพลิกผัน 

    เงามืดของสงครามหลายต่อหลายครั้งทาบทับดินแดนแห่งนี้ 

    เกลือที่เคยขายได้ ความต้องการก็น้อยลง แถมบริเวณโดยรอบก็มีการสู้รบกันฮึ่มฮั่ม

    เมืองที่เคยเย็นด้วยพลังของความมั่งคั่ง มันก็กลับมาร้อนนรกแตกอย่างที่มันควรจะเป็น

    แล้วใครจะอยากมาอยู่ในนรกให้ทรมานตัว ถ้าไม่ได้อะไร 

    รถไฟที่เคยมาจอดเทียบสถานี ก็ไม่มาอีกแล้ว

    เมือง Dallol ที่เคยคับคั่ง ก็กลายเป็นเมืองที่มีคนอยู่หรอมแหรม


    ยิ่งไปกว่านั้น

    หลังสงคราม

    การเมือง หรือเรื่องยากๆใดๆ ก็ทำให้ดินแดนแห่งนี้ ถูกแบ่งแยก

    ดินแดนในส่วนติดกับทะเลแดง 

    ขอแยกออกไปตั้งประเทศใหม่

    คือ ประเทศเอริเทรีย ในปี 1991


    ชาว Afar ส่วนใหญ่ ทำมาหากินไปวันๆ อย่างครอบครัวพี่เหี้ยม

    ทุกคนลืมตาตื่นขึ้นมาในวันหนึ่งอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่

    แล้วพบว่า ดินแดนของตัวเองถูกแยกเป็นสองประเทศไปแล้ว 

    ไม่เพียงแค่แยก แต่ไปมาหาสู่กันได้ไม่เหมือนเดิม

    มันก็คงจะไม่มีผลกระทบกับใคร

    ถ้าการแยกนี้ ไม่ได้ทำลายครอบครัวหลายครอบครัว 

    เหตุการณ์นี้ เราอาจจะนึกภาพ เทียบกับกำแพงเบอร์ลิน หรือการแยกเกาหลีเหนือเกาหลีใต้

    ครอบครัวหลายครอบครัว ถูกแยกออกจากกัน 

    ส่วนหนึ่งอยู่ในเอริเทรีย ส่วนหนึ่งยังอยู่ในเอธิโอเปีย


    แม่และน้องสาว รวมทั้งญาติฝ่ายแม่ ของพี่เหี้ยมเองก็ถูกแยกไปอยู่ฝั่งเอริเทรีย 

    พ่อ และพี่ชายน้องชาย ญาติฝ่ายพ่อ และพี่เหี้ยม หลุดมาอยู่ฝั่ง เอธิโอเปีย


    พี่เหี้ยมบอกว่า ชีวิตมันยากตั้งแต่ตอนนั้น

    แม่และญาติฝ่ายโน้นจะติดต่อมาหาเค้าได้แค่บางระยะเวลาเท่านั้น

    ส่วนตัวเขาเอง นั้นไม่มีสิทธิเลยที่จะติดต่อไปหาแม่และน้องสาว



    ไม่ใช่แค่เรื่องนี้เท่านั้น พี่เหี้ยมเล่าอีกว่า

    สภาพของเอธิโอเปียนั้นเหมือนเป็น free country พี่เหี้ยมจะใช้ชีวิตยังไงก็ได้ในนี้

    แต่อีกฝั่งนั้น มีข้อจำกัดเยอะแยะ แม่และน้องสาวถูกบังคับเรื่องต่างๆนานา ไม่มีอิสระเลยในชีวิต 


    สิ้นคำพูดนี้ พี่เหี้ยมคลำโทรศัพท์ในมือด้วยอารมณ์บางอย่าง 

    ดิฉันสัมผัสได้ถึง อารมณ์แห่งความโหยหาที่ผ่านออกมา


    ในตอนนั้นดิฉันก็พลันคิด 

    ว่าถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับชีวิตตัวเองจะเป็นยังไง 

    ไม่ต้องถึงขึ้นครอบครัวหรอก

    แค่คิดว่า วันนึงจะไม่ได้เจอเพื่อน ไม่เจอคนคุ้นเคย ที่เจอหน้ากันทุกวัน

    แค่นั้นมันก็ทำให้ดิฉันใจจะขาด


    เมื่อเล่าจบ พี่เหี้ยมบอกให้พวกเราแยกไปนอน 

    ฉันล้มตัวลงบนเตียงไม้สาน ถีบผ้าห่มและฝูกออกให้พ้นร่างกาย

    เพราะตอนนั้นแค่เสื้อบางๆที่ใส่อยู่ก็อับเหงื่อจนอยากจะถอดทิ้งให้หมด 

    ถ้าเจ๊เจนนิเฟอร์ไม่นอนข้างๆ

    พวกฝรั่งอเมริกัน ถอดผ้าผ่อนออกหมด จนเหลือแต่บิกินี่ตัวจิ๋ว

    ทากะซัง  เดินหายไปไหนก็ไม่รู้ สงสัยออกไปตั้งกล้องถ่ายอะไรสักอย่าง


    ดิฉันกระดกน้ำขวดที่สามเพื่อชดเชยเหงื่อที่ระเหยไปในอากาศที่ร้อนนรกแตกในคืนนั้น

    แม้จะเป็นกลางคืน

    ไอร้อนที่สะสมจากแดดมาทิ้งวัน ก็แผ่ใส่เราทุกคนอย่างร้อนผ่าว

    ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในตู้อบขนมที่เปิดไฟแรงสุด

    ลมพัดแรงตอนกลางคืนก็จริง

    แต่มันร้อนมาก เหมือนมีคนเปิดไดเป่าผมยักษ์ร้อนๆใส่เรา ในทุกทิศทาง


    ความร้อนดั่งนรก

    ทำให้ดิฉันคิดไปถึงเรื่องราวที่พี่เหี้ยมเล่าให้ฟัง

    ว่าคนสติดีที่ไหนจะมานอนอยู่ที่นี่ได้ทุกคืน

    ถ้าที่นี่ไม่มีเกลือ


    เอาเถอะ อย่างน้อยที่นี่ก็มีเกลือ


    ดิฉันนอนก่ายหน้าฝากนอนร้อนอยู่อย่างนั้น

    แหงนมองฟ้า มองดวงดาวที่ดารดาษ ทั่วท้องฟ้าที่ไม่มีเมฆบัง

    ดิฉันสาบานได้ว่า คืนนั้นเป็นคืนที่ดวงดาวสวยที่สุด เท่าที่เคยเห็นมา ติดอันดับต้นๆของชีวิต

    ที่ที่ไม่มีแสงไฟ ไม่มีแม้แต่บ้านเรือนถาวร ไม่มีแม้แต่ต้นไม้หรือหญ้าที่จะเจริญงอกงามได้ในพื้นดินอันแห้งแล้งผืนนี้ ที่ที่ทุกคนบอกว่าไม่ต่างอะไรจากนรก

    อย่างน้อยที่สุด

    ที่นรกนี้ ก็มีสิ่งสวยงาม บนท้องฟ้าในทุกๆคืน


    เค้าว่าดาวเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง

    นี่อาจจะกล่าวได้ว่า 

    ความหวังนั้นมีได้ทุกที่เสมอ 

    แม้แต่ในนรกก็ตาม



    .................


    อ่านบทก่อนหน้า บทที่ 11 <ทะเลสาบเกลือและฝูงอูฐ>


    อ่านบทต่อไป บทที่ 13  < สระนรก Dollo >



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in