เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
รวมมิตรpokchanymph
ใต้สีส้ม ในสีดำ
  • "ความรักที่แท้จริง ไม่ทำร้ายใคร"


    ศุกร์ 14 ตุลาคม 2559

    6.30 น.
    ตั้งนาฬิกาปลุกไว้เมื่อคืน เพราะหวังว่าจะได้สรุปเลคเชอร์ก่อนจะไปสอบมิดเทอมตอนบ่าย แต่สุดท้ายตัวขี้เกียจก็ชนะ ฟุบหลับลงต่อ

    7.30 น. 
    ขออีกนิดนะ วันนี้บรรยากาศอะไรก็อึมครึมไม่น่าลุกจากเตียง แม้แต่โทรทัศน์ก็เป็นสีหม่น เสียงสารคดีในโทรทัศน์ไม่คุ้นเคย เสียงทุ้มนุ่มของชายแปลกหน้าต่างกับเสียงผู้ประกาศข่าวหญิงที่แม่เคยเปิดฟังตอนเช้าที่ปลุกให้ตื่น
    "ไม่เบื่อหรอ บรรยากาศน่าหดหู่" 
    "นิดหน่อย แต่ฟังแล้วก็เพลินดีนะ"
    "บรรยากาศจะเป็นแบบนี้ไปอีกสักพักเลยมั้ง"
    "อืม"

    8.00 น.
    ลุกขึ้นตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์กระวนกระวาย อีก 5 ชั่วโมงสอบ สมองยังแบลงค์ รีบอ่าน รีบสรุปเนื้อหาที่จะสอบมิดเทอมตัวสุดท้าย 
    2 วันก่อนแพลนว่าจะไปหอศิลป์ที่ราชดำเนิน ไม่อยากไปวันนี้ เพราะที่อนุเสาวรีย์คนน่าจะเยอะเพราะเหตุการณ์ที่หลายๆ คนลืม
    วันนี้คนก็เยอะจริงๆ นะ แต่ไม่ใช่เพราะเหตุผลที่คิด

    10.00 น.
    สรุปสอบเสร็จแล้ว เหลือแค่อ่าน ในโซเชียลยังเป็นบรรยากาศเหมือนเมื่อวาน กรอบเมนชั่นในทวิตเตอร์มีทวีตจากเพื่อนถามว่า วันนี้ไปสอบหรอ ไม่หยุดหรอ
    ไม่รู้สิ มีสอบมิดเทอมกับเมคอัพคลาส

    10.30 น.
    นอติเตือนให้เห็นว่าเพื่อนคนหนึ่งเตือนว่าวันนี้ยังมีสอบอยู่นะ เมคอัพคลาสถึง 6 โมงเหมือนเดิม

    11.30 น.
    "ทำไรอยู่"
    --
    "เตรียมสอบอยู่หรอ ไม่เป็นไร แค่กำลังจะถามว่าสรุปมีเรียนมั้ย"
    "มีประกาศหยุดจากมหาลัยแล้วนะ"
    "อ่อ แต่แกมีสอบใช่มั้ย"
    "อืม"

    บรรยากาศนอกบ้านไม่ค่อครึกครื้นเท่าที่เคย เป็นวันศุกร์เหงาๆ มันไม่เหมือนวันศุกร์ในวันปีใหม่หรือสงกรานต์ ไม่มีเสียงหัวเราะจางๆ มาจากที่ไกลๆ
    หน้าปากซอยมีพี่วินสองสามคนยืนรอลูกค้าที่ต้องออกไปเรียน ไปทำงาน--ไปสอบ พี่วินใส่เสื้อสีส้มสดใสเหมือนเดิม แต่ใต้สีส้มอันนั้นมีเสื้อยืดสีดำบ้าง สีขาวบ้าง 


    ในรถสองแถวเก่าสีแดงจางๆ มีแต่คนใส่เสื้อสีดำขาว อย่างเดียวที่สดใสคือสีเข้มจากกระเป๋าของแต่ละคน มองออกไปข้างทางก็มีแต่ผู้คนแต่งตัวในสีทะมึน 
    บรรยากาศยังเหงาเหมือนเดิม

    12.05 น.
    รถไฟฟ้าคนเยอะกว่าที่คิด บนถนนคนเยอะกว่าปกติ ชะเง้อมองออกไปไม่ไกลนักเห็นหางแถวของคนที่กำลังต่อแถวขึ้นเรือ
    หลายๆ คนมีเป้าหมายเดียวกันวันนี้
    แต่หลายๆ คนก็มีเป้าหมายอื่นที่จะต้องทำ


    13.00-18.00 น.
    หิวจัง เมื่อยมือ สอบเสร็จก็เรียนต่อ เหนื่อยจัง
    "ผมขอโทษนะที่ต้องเรียนวันนี้จริงๆ มันไม่มีเวลาแล้ว"
    อาจารย์ขอโทษเป็นครั้งที่ 3 ตั้งแต่ตอนบ่าย เรามองปฏิทินในโทรศัพท์ ก็จริง เราเลื่อนสอบมาสองสัปดาห์แล้ว คนในห้องบางคนอาจจะอยากไปที่อื่น บางคนอาจจะอยากกลับบ้าน
    ไม่ได้ไปหอศิลป์แล้ว หอศิลป์กำลังจะปิด
    อีเวนต์ในเฟซบุ๊กขึ้นแคนเซิลอยู่เรื่อยๆ 
    โพสต์ในเฟซบุ๊กยังเป็นบรรยากาศทะมึน

    19.00 น.
    เดินกลับบ้านจะไปขึ้นรถ ผ่านร้านขายผ้าเก่าๆ ที่เห็นตั้งแต่เด็ก ลายผ้าสีสดใส ลายการ์ตูน แพทเทิร์นต่างๆ หายไปจากในกระจกโชว์ ม้วนผ้าที่คลี่ออกในกระจกเป็นสีดำล้วน ถึงจะมองผ่านกระจกเข้าไปในร้านยังเห็นม้วนผ้าสีสดใสเหมือนเดิม แต่หน้าร้านกลายเป็นสีโมโนโทนที่ไม่คุ้นตา

    20.00 น.
    กลับถึงบ้าน นั่งเล่นโซเชี่ยลเหมือนเดิม ในโทรทัศน์ยังมีเสียงไม่คุ้นหูเหมือนเดิม 
    เฟซบุ๊กมีหลายๆ โพสต์ที่ถูกพิมพ์ด้วยข้อความซ้ำๆ ว่า อยากให้เตือนในปีต่อๆ ไปกับเหตุการณ์นี้ 
    เราปิดเฟซบุ๊ก
    ถ้าเหตุผลของคนที่โพสต์ในตอนนั้นคืออยากให้ฟีเจอร์ On This Day เตือนในปีต่อไป เราไม่โพสต์ด้วยเหตุผลคล้ายกัน คือไม่อยากให้มันเตือน
    ไม่อยากดีลกับเรื่องที่พาให้เศร้าอีก

    เราเป็นคนเฉยๆ กับการ romanticize เรื่องเล่าต่างๆ แต่เราก็ไม่ได้ต่อต้าน 
    เราเข้าใจการแสดงความเห็นที่หลากหลาย แต่เราไม่เห็นด้วยกับการแสดงความเห็นที่ดูถูกความเป็นมนุษย์ทั้งของตัวเองและผู้อื่น

    คนรุ่นเราโตมากับเรื่องราวทุกๆ ปี ผ่านเรื่องเล่าหลายรูปแบบ
    เราโตมากับการผูกคนคนหนึ่งให้เป็นเหมือนคนในครอบครัว--เป็นพ่อ
    เรื่องแบบนี้ละเอียดอ่อน พอผูกเรื่องความตายกับความสัมพันธ์ คืนก่อนเลยนึกถึงแต่พ่อแม่พี่กับความตาย ความตายเป็นเรื่องปกติ ทุกคนเข้าใจ แต่หลายๆ คนไม่อยากยอมรับ
    เราไม่อยากยอมรับ

    21.00 น.
    "หดหู่จัง กำลังเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับความตาย เขียนต่อหรือเลิกดี"
    "คิดว่าไงอะ"
    "ไม่รู้อะ ดูสถานการณ์ก่อน ถ้ามันยังหดหู่แบบนี้แทบจะต้องใส่ Trigger Warning เลยนะ เราเขียนเองแค่คิดว่าจะพูดประโยคว่า ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ ยังเฟลเลย"
    "ดูอย่างรายการบันเทิงดิ อันนั้นต้องพักเลย"
    "หดหู่จัง"


    "ทำไมไม่ใส่เสื้อดำ"

    "เลิกคิดแทนคนอื่นได้แล้วทำไมไม่ใส่เสื้อดำ"

    "เมื่อวานทำอะไรอยู่"

    "ถ้ารายการเป็นแบบนี้ไปอีกเดือนนึง คนไม่หดหู่แย่เหรอ"

    "ทำไมยังยิ้มได้"

    "สมควรที่ปิดแล้วครับ เวลานี้ใครจะสุขได้"

    "พวกคนหาเช้ากินค่ำเขาไม่มีเงินจะซื้อเสื้อแบบคุณนะ"

    "เจอเสื้อเซลที่แพลตตินั่ม 500 บาทเว้ย"

    "อุปสงค์ อุปทานอะ เข้าใจมั้ย"

    "เลิกคิดแทนคนอื่นได้แล้ว"

    "ถึงเวลาเราจะตั้งคำถามนี้กันรึยัง"

    "เราไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเขา"

    "ยาม พนักงาน ก็ต้องทำงานมั้ย เขาจะใส่เสื้อดำยังไง"

    "____ is watching this live with you"

    "ร่วมลงชื่อต่อต้าน__"

    "สเตตัสเฟซบุ๊ก: ไม่อยากเปิดเฟซเลย เปิดมาก็เจออะไรหดหู่ :( 
    *พิมพ์ข้อความที่หดหู่*"

    เดินออกจากบ้าน หรือเปิดเน็ตก็เจอแต่สีขาวดำ บางทีก็มีเรื่องอะไรที่ทำให้ยิ้มได้หรือสีสดใสบ้างก็ยังดี ตลกดีที่หลายคนเอาความรักมาสร้างความชอบธรรมให้กับความรุนแรงบางอย่าง เห็นแล้วหดหู่ยิ่งกว่าเดิมจนแทบไม่อยากจะรับรู้
    กลายเป็นว่าพอดีลเรื่องชีวิตได้ก็มาเจอเรื่องรักรุนแรงอีก เฮ้อ

    แต่ละคนมีวิธีและระยะเวลาดีลกับความเศร้า ความหดหู่ที่ต่างกัน โลกคงจะอยู่ง่ายกว่านี้ถ้าเราเข้าใจแล้วก็ยอมรับความต่างกัน



    ใต้เสื้อสีส้มพี่วินก็เป็นสีดำ
    หน้าร้านขายเสื้อร้านนั้นมีแต่ผ้าสีดำ
    คนที่เดินผ่านใส่เสื้อขาวดำ
    รูปโปรไฟล์ของเพื่อนที่มีขาวดำ
    ฟิลเตอร์ grayscale ในเว็บไซต์
    ก้มลงมองเสื้อขาวของตัวเอง

    การคุมโทนเสื้อผ้าของคนรอบข้าง ไม่สามารถคุมใจ คุมเป้าหมายให้ทุกคนทำเหมือนกันได้หมด แต่ละคนก็มีงาน มีหน้าที่ มีทางที่ต้องเดินไป
    อย่าด่าคนที่หลีกเลี่ยงที่จะเศร้าหรือคนที่ไม่ได้ทำตามคุณ เพราะเราไม่รู้ว่าภายใต้เสื้อสีส้มหรือภายใต้เสื้อสีดำคนๆ นั้นกำลังยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ หรือคิดอะไรอยู่

    รอบตัวเป็นขาวดำ แต่ไม่ได้หมายความว่าใจจะต้องโมโนโทนตามเนอะ





  • บันทึกความทรงจำวันที่ 14 ตุลาคม 2559
    ไม่บันทึกวันที่ 13 เพราะหดหู่เกิน เขียนวันนี้ได้เพราะหายหดหู่ระดับนึงแล้วเด้อ
    ตอนแรกเปิดแท็ก fictober เห็นคนเลิกเล่นไปเลยก็มี หดหู่ ;_; เรายังเล่นนะ แค่โพสต์ลงในนี้เฉยๆ ไมไ่ด้ทวิตถี่ๆ ทุกวัน
    เราเห็นด้วยกับทวีตที่ยกมานะที่ว่าความรักที่แท้จริงไม่ทำร้ายใคร เพราะตอนนี้หลายๆ คนกำลังใช้ความรักทำร้ายคนอื่นกับตัวเองอยู่

    ประโยค Don't cover your eyes, let the light in มาจากเพลง Calm Down ของ Opus Orange  เพราะดีนะ


    เราว่าความเศร้าเป็นเรื่องปกติ เราต้องยอมรับที่จะเปิดโอกาสให้อารมณ์อื่นๆ เข้ามาบ้าง
    ถ้าใจตัวเองยังไม่พร้อมรับอารมณ์อื่นเข้ามาตอนนี้ ก็อย่าไปปิดตาคนอื่นไม่ให้รับมันเข้ามาเนอะ



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in